อดีตคณบดีนิติ มธ. ชี้ถ้ามองว่ารบ.นี้ช่วยให้สืบทอดอำนาจรัฐประหาร ก็มองได้ว่ารัฏฐาธิปัตย์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4181307
อดีตคณบดีนิติ มธ. ชี้ถ้ามองว่ารบ.นี้ช่วยให้สืบทอดอำนาจรัฐประหารตามรธน.60 ก็มองได้ว่ารัฏฐาธิปัตย์ แต่หากมองแง่ดี อาจถือเป็น ‘
รัฏฐาธิปัตย์มุมกลับ’
จากกรณีที่ นายสัตวแพทย์
ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ถึงกรณีวิธีการจะยกเลิกคำสั่ง คสช.ว่า สามารถใช้ มติคณะรัฐมนตรียกเลิกได้ เพราะตอนนี้รัฐบาลนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ยกเลิกได้อยู่แล้วนั้น
เมื่อวันที่ 15 กันยายน นาย
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
ถ้ามองว่ารัฐบาลนี้ช่วยให้มีการสืบทอดอำนาจรัฐประหารต่อไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ หากสามารถควบคุมกลไกอำนาจรัฐและองค์กรอิสระได้ทั้งหมด
หากมองในแง่ดีก็อาจถือได้ว่าเป็น “รัฏฐาธิปัตย์มุมกลับ” ที่ต้องการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์เดิมนั่นเองลบล้างผลพวงของการรัฐประหารด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญ2560 แล้วตั้ง สสร.ขึ้นมาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่มีการยกเว้นว่าจะไม่แตะหมวดใดหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดเลย
https://www.facebook.com/t.panat/posts/7082015758477126
สมชัย จับตางบรายจ่ายปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 11.9% หนี้สาธารณะพุ่งอีก 8 แสนล้านบาท
https://www.matichon.co.th/election66/movement/news_4181332
สมชัย จับตางบรายจ่ายปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 11.9% หนี้สาธารณะพุ่งอีก 8 แสนล้านบาท รวม 12 ล้านล้าน
เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอดีตกรรมาธิการงบประมาณ 2566 โพสต์เฟซบุ๊ก “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ด้วยข้อความระบุว่า
จับตางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567
มติ ครม. เมื่อวานเรื่องหนึ่งที่แทบไม่มีการพูดกันเลย คือ วาระที่ 5 เรื่อง ครม. ให้ความเห็นชอบ แผนการคลังระยะปานกลาง (2567-2570) ที่จะใช้เป็นกรอบการจัดทำงบประมาณ ในช่วง 4 ปีนี้
จากตารางที่นำเสนอ จะเห็นสิ่งที่ผิดปกติคือ การประมาณการรายได้ปี 2567 เพิ่มขึ้น 11.9% ในขณะที่ทุกปีอยู่ประมาณ 3-4% เท่านั้น
การประมาณการรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นได้ ถึง 9.3% ในขณะที่ปีอื่น ๆ ทุกปี จะเพิ่มสูงสุดไม่เกิน 3.2%
ดูในรายการหนี้สาธารณะคงค้าง ตอนนี้ 11.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.97 ต่อ GDP แล้ว พอปี 67 ยกขึ้นเป็น 12.0 ล้านล้าน หรือ ร้อยละ 64.0 ต่อ GDP
ดูจบ พอเดาได้ ว่า นโยบายที่ต้องใช้เงินอย่างมากมายของรัฐบาลในปี 2567 มาจากไหน
1. จากงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการประมาณรายได้ที่เพิ่มขึ้นแบบ หลอกตัวเองว่า ฉันจะมีเงินในกระเป๋าเพิ่ม
2. จากการกู้ อีกราว 8 แสนล้านบาท ที่ทำให้หนี้สาธารณะ ขึ้นไปเป็น 12 ล้านล้านบาท ซึ่งหากเอาตัวเลขยอดใช้คืนปีละแสนล้าน แบบที่รัฐบาลในอดีตตั้ง ตอนนี้ใช้เวลาใช้คืนที่ยังไม่รวมดอกเบี้ย 120 ปี
ใคร หรือหน่วยราชการใด มีอำนาจหน้าที่ ช่วยกันคิด ช่วยกันติดตาม และ ช่วยกันหาทางออกให้เกิดความเหมาะสมด้วย อย่าเอาแต่ ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย
สมชัย ศรีสุทธิยากร
อดีตกรรมาธิการงบประมาณ 2566
14 กันยายน 2566
ที่มาเอกสาร : มติ ครม. 13 กันยายน 2566
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/859009269125026?ref=embed_post
อสังหาเหนือ-อีสาน สต๊อกเหลือขายแสนล้าน เปิดโผ 5 ทำเลขายดี ขายอืด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4181177
อสังหาเหนือ-อีสาน สต๊อกเหลือขายแสนล้าน เปิดโผ 5 ทำเลขายดี ขายอืด
เมื่อวันที่ 14 กันยายน นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ครึ่งแรกปี 2566 พบมีอุปทานพร้อมขาย 16,985 หน่วย มูลค่า 67,516 ล้านบาท เป็นอาคารชุด 1,421 หน่วย มูลค่า 4,221 ล้านบาท บ้านจัดสรร 15,564 หน่วย มูลค่า 63,295 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 1,654 หน่วย มูลค่า 6,379 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 1,707 หน่วย มูลค่า 6,822 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 15,278 หน่วย มูลค่า 60,694 ล้านบาท
ภาคเหนือเหลือขาย 6 หมื่นล้าน
“
ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในภาคเหนือ แม้ผู้ประกอบการจะปรับกลยุทธ์การเปิดขายโครงการใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นกำลังซื้อได้ โดยจะเห็นได้จากภาพรวมจำนวนหน่วยเสนอขายลดลงอย่างต่อเนื่อง” นาย
วิชัยกล่าว
นาย
วิชัยกล่าวว่า ด้านอุปทานในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีที่อยู่อาศัยเสนอขาย 16,985 หน่วย มูลค่า 67,516 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -14.3 % มูลค่าลดลง -11.7 % เป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 1,654 หน่วย มูลค่า 6,379 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -47.8% และ-52.4 % ตามลำดับ ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งแรกปี 2566 จำนวน 15,278 หน่วย มูลค่า 60,694 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง-9.1 % มูลค่าลดลง -7.7%
เชียงรายขายช้า-พิดโลกยอดลิ่ว
นาย
วิชัยกล่าวว่า โดย 5 ทำเล มีหน่วยเหลือขายมากสุด คือ
1.ในเมืองเชียงราย 1,489 หน่วย มูลค่า 6,509 ล้านบาท
2.สันทราย 1,376 หน่วย มูลค่า 4,742 ล้านบาท
3.บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,304 หน่วย มูลค่า 6,019 ล้านบาท
4.สารภี 1,296 หน่วย มูลค่า 4,993 ล้านบาท
5.สนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,233 หน่วย มูลค่า 4,395 ล้านบาท โดยระดับราคาที่เหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5 ล้านบาท จำนวน 5,475 หน่วย มูลค่า 22,831 ล้านบาท
ด้านดีมานด์ช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 1,707 หน่วย มูลค่า 6,822 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 1,547 หน่วย มูลค่า 6,390 ล้านบาท อาคารชุด 160 หน่วย มูลค่า 432 ล้านบาท โดยทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรก
คือ 1.ในเมืองพิษณุโลก 173 หน่วย มูลค่า 595 ล้านบาท 2.ดรีมแลนด์ 151 หน่วย มูลค่า 1,262 ล้านบาท 3.สารภี 134 หน่วย มูลค่า 383 ล้านบาท 4.สันทราย 122 หน่วย มูลค่า 429 ล้านบาท และ 5.สนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 117 หน่วย มูลค่า 494 ล้านบาท
อีสานสต๊อกเหลือขาย 4.4 หมื่นล้าน
นาย
วิชัยกล่าวว่า สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ในครึ่งแรกปี 2566 มีจำนวนอุปทานพร้อมขาย 14,721 หน่วย มูลค่า 50,859 ล้านบาท เป็นอาคารชุด 2,812 หน่วย มูลค่า 5,444 ล้านบาท บ้านจัดสรร 11,909 หน่วย มูลค่า 45,415 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,007 หน่วย มูลค่า 10,297 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 1,892 หน่วย มูลค่า 6,854 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 12,829 หน่วย มูลค่า 44,006 ล้านบาท โดย นครราชสีมา และ ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2 ในทุกด้าน
นายวิชัยกล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกปี 2566 ที่อยู่อาศัยเสนอขาย 14,721 หน่วย มูลค่า 50,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.6 % และมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.6% มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,007 หน่วย มูลค่า 10,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.9% และ 72.4 % ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย 12,829 หน่วย มูลค่า 44,006 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 22.8% มูลค่าเพิ่มขึ้น 25.5%
ทำเล ‘จอหอ’ ขายอืด ‘บ้านเป็ด’ ขายดี
โดย 5 ทำเลมีหน่วยเหลือขายมากที่สุด 1.จอหอ 1,606 หน่วย มูลค่า 5,173 ล้านบาท 2.ในเมืองนครราชสีมา 1,196 หน่วย มูลค่า 4,990 ล้านบาท 3.ม.ขอนแก่น 1,115 หน่วย มูลค่า 1,994 ล้านบาท 4.บ้านใหม่-โคกกรวด 979 หน่วย มูลค่า 2,884 ล้านบาท 5.หัวทะเล 942 หน่วย มูลค่า 3,103 ล้านบาท โดยระดับราคาที่เหลือขายมากที่สุดคือ 2-3 ล้านบาท จำนวน 3,986 หน่วย มูลค่า 10,706 ล้านบาท
ด้านที่อยู่อาศัยมีขายได้ใหม่ 1,892 หน่วย มูลค่า 6,854 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 1,593 หน่วย มูลค่า 6,303 ล้านบาท และอาคารชุด 299 หน่วย มูลค่า 551 ล้านบาท
ทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.บ้านเป็ด 241 หน่วย มูลค่า 1,110 ล้านบาท 2.ในเมืองนครราชสีมา 229 หน่วย มูลค่า 895 ล้านบาท 3.จอหอ 189 หน่วย มูลค่า 658 ล้านบาท 4.บึงแก่นนคร 141 หน่วย มูลค่า 633 ล้านบาท และ 5.ม.ขอนแก่น 132 หน่วย มูลค่า 282 ล้านบาท
JJNY : ชี้รบ.นี้ช่วยให้สืบทอดก็มองได้ว่ารัฏฐาธิปัตย์│สมชัยจับตางบรายจ่ายปี 67│สต๊อกเหลือขายแสนล้าน│“นาซา”ยังไม่พบหลักฐาน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4181307
อดีตคณบดีนิติ มธ. ชี้ถ้ามองว่ารบ.นี้ช่วยให้สืบทอดอำนาจรัฐประหารตามรธน.60 ก็มองได้ว่ารัฏฐาธิปัตย์ แต่หากมองแง่ดี อาจถือเป็น ‘รัฏฐาธิปัตย์มุมกลับ’
จากกรณีที่ นายสัตวแพทย์ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดแรก ถึงกรณีวิธีการจะยกเลิกคำสั่ง คสช.ว่า สามารถใช้ มติคณะรัฐมนตรียกเลิกได้ เพราะตอนนี้รัฐบาลนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ยกเลิกได้อยู่แล้วนั้น
เมื่อวันที่ 15 กันยายน นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า
ถ้ามองว่ารัฐบาลนี้ช่วยให้มีการสืบทอดอำนาจรัฐประหารต่อไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ หากสามารถควบคุมกลไกอำนาจรัฐและองค์กรอิสระได้ทั้งหมด
หากมองในแง่ดีก็อาจถือได้ว่าเป็น “รัฏฐาธิปัตย์มุมกลับ” ที่ต้องการใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์เดิมนั่นเองลบล้างผลพวงของการรัฐประหารด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญ2560 แล้วตั้ง สสร.ขึ้นมาเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ โดยไม่มีการยกเว้นว่าจะไม่แตะหมวดใดหรือเรื่องหนึ่งเรื่องใดเลย
https://www.facebook.com/t.panat/posts/7082015758477126
สมชัย จับตางบรายจ่ายปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 11.9% หนี้สาธารณะพุ่งอีก 8 แสนล้านบาท
https://www.matichon.co.th/election66/movement/news_4181332
สมชัย จับตางบรายจ่ายปี 67 รายได้เพิ่มขึ้น 11.9% หนี้สาธารณะพุ่งอีก 8 แสนล้านบาท รวม 12 ล้านล้าน
เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอดีตกรรมาธิการงบประมาณ 2566 โพสต์เฟซบุ๊ก “สมชัย ศรีสุทธิยากร” ด้วยข้อความระบุว่า
จับตางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567
มติ ครม. เมื่อวานเรื่องหนึ่งที่แทบไม่มีการพูดกันเลย คือ วาระที่ 5 เรื่อง ครม. ให้ความเห็นชอบ แผนการคลังระยะปานกลาง (2567-2570) ที่จะใช้เป็นกรอบการจัดทำงบประมาณ ในช่วง 4 ปีนี้
จากตารางที่นำเสนอ จะเห็นสิ่งที่ผิดปกติคือ การประมาณการรายได้ปี 2567 เพิ่มขึ้น 11.9% ในขณะที่ทุกปีอยู่ประมาณ 3-4% เท่านั้น
การประมาณการรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้นได้ ถึง 9.3% ในขณะที่ปีอื่น ๆ ทุกปี จะเพิ่มสูงสุดไม่เกิน 3.2%
ดูในรายการหนี้สาธารณะคงค้าง ตอนนี้ 11.2 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 62.97 ต่อ GDP แล้ว พอปี 67 ยกขึ้นเป็น 12.0 ล้านล้าน หรือ ร้อยละ 64.0 ต่อ GDP
ดูจบ พอเดาได้ ว่า นโยบายที่ต้องใช้เงินอย่างมากมายของรัฐบาลในปี 2567 มาจากไหน
1. จากงบประมาณรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น จากการประมาณรายได้ที่เพิ่มขึ้นแบบ หลอกตัวเองว่า ฉันจะมีเงินในกระเป๋าเพิ่ม
2. จากการกู้ อีกราว 8 แสนล้านบาท ที่ทำให้หนี้สาธารณะ ขึ้นไปเป็น 12 ล้านล้านบาท ซึ่งหากเอาตัวเลขยอดใช้คืนปีละแสนล้าน แบบที่รัฐบาลในอดีตตั้ง ตอนนี้ใช้เวลาใช้คืนที่ยังไม่รวมดอกเบี้ย 120 ปี
ใคร หรือหน่วยราชการใด มีอำนาจหน้าที่ ช่วยกันคิด ช่วยกันติดตาม และ ช่วยกันหาทางออกให้เกิดความเหมาะสมด้วย อย่าเอาแต่ ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับนาย
สมชัย ศรีสุทธิยากร
อดีตกรรมาธิการงบประมาณ 2566
14 กันยายน 2566
ที่มาเอกสาร : มติ ครม. 13 กันยายน 2566
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/859009269125026?ref=embed_post
อสังหาเหนือ-อีสาน สต๊อกเหลือขายแสนล้าน เปิดโผ 5 ทำเลขายดี ขายอืด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4181177
อสังหาเหนือ-อีสาน สต๊อกเหลือขายแสนล้าน เปิดโผ 5 ทำเลขายดี ขายอืด
เมื่อวันที่ 14 กันยายน นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคเหนือ 5 จังหวัด ครึ่งแรกปี 2566 พบมีอุปทานพร้อมขาย 16,985 หน่วย มูลค่า 67,516 ล้านบาท เป็นอาคารชุด 1,421 หน่วย มูลค่า 4,221 ล้านบาท บ้านจัดสรร 15,564 หน่วย มูลค่า 63,295 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 1,654 หน่วย มูลค่า 6,379 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 1,707 หน่วย มูลค่า 6,822 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 15,278 หน่วย มูลค่า 60,694 ล้านบาท
ภาคเหนือเหลือขาย 6 หมื่นล้าน
“ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในภาคเหนือ แม้ผู้ประกอบการจะปรับกลยุทธ์การเปิดขายโครงการใหม่ แต่ก็ยังไม่สามารถฟื้นกำลังซื้อได้ โดยจะเห็นได้จากภาพรวมจำนวนหน่วยเสนอขายลดลงอย่างต่อเนื่อง” นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวว่า ด้านอุปทานในช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีที่อยู่อาศัยเสนอขาย 16,985 หน่วย มูลค่า 67,516 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -14.3 % มูลค่าลดลง -11.7 % เป็นโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 1,654 หน่วย มูลค่า 6,379 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน -47.8% และ-52.4 % ตามลำดับ ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย ณ ครึ่งแรกปี 2566 จำนวน 15,278 หน่วย มูลค่า 60,694 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลง-9.1 % มูลค่าลดลง -7.7%
เชียงรายขายช้า-พิดโลกยอดลิ่ว
นายวิชัยกล่าวว่า โดย 5 ทำเล มีหน่วยเหลือขายมากสุด คือ
1.ในเมืองเชียงราย 1,489 หน่วย มูลค่า 6,509 ล้านบาท
2.สันทราย 1,376 หน่วย มูลค่า 4,742 ล้านบาท
3.บ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด 1,304 หน่วย มูลค่า 6,019 ล้านบาท
4.สารภี 1,296 หน่วย มูลค่า 4,993 ล้านบาท
5.สนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 1,233 หน่วย มูลค่า 4,395 ล้านบาท โดยระดับราคาที่เหลือขายมากที่สุดคือ 3.01-5 ล้านบาท จำนวน 5,475 หน่วย มูลค่า 22,831 ล้านบาท
ด้านดีมานด์ช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ 1,707 หน่วย มูลค่า 6,822 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 1,547 หน่วย มูลค่า 6,390 ล้านบาท อาคารชุด 160 หน่วย มูลค่า 432 ล้านบาท โดยทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรก
คือ 1.ในเมืองพิษณุโลก 173 หน่วย มูลค่า 595 ล้านบาท 2.ดรีมแลนด์ 151 หน่วย มูลค่า 1,262 ล้านบาท 3.สารภี 134 หน่วย มูลค่า 383 ล้านบาท 4.สันทราย 122 หน่วย มูลค่า 429 ล้านบาท และ 5.สนามบิน-ม.แม่ฟ้าหลวง 117 หน่วย มูลค่า 494 ล้านบาท
อีสานสต๊อกเหลือขาย 4.4 หมื่นล้าน
นายวิชัยกล่าวว่า สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด ในครึ่งแรกปี 2566 มีจำนวนอุปทานพร้อมขาย 14,721 หน่วย มูลค่า 50,859 ล้านบาท เป็นอาคารชุด 2,812 หน่วย มูลค่า 5,444 ล้านบาท บ้านจัดสรร 11,909 หน่วย มูลค่า 45,415 ล้านบาท มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,007 หน่วย มูลค่า 10,297 ล้านบาท มีโครงการขายได้ใหม่ 1,892 หน่วย มูลค่า 6,854 ล้านบาท ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 12,829 หน่วย มูลค่า 44,006 ล้านบาท โดย นครราชสีมา และ ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2 ในทุกด้าน
นายวิชัยกล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกปี 2566 ที่อยู่อาศัยเสนอขาย 14,721 หน่วย มูลค่า 50,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.6 % และมูลค่าเพิ่มขึ้น 8.6% มีโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด 3,007 หน่วย มูลค่า 10,297 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48.9% และ 72.4 % ขณะที่ที่อยู่อาศัยเหลือขาย 12,829 หน่วย มูลค่า 44,006 ล้านบาท จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้น 22.8% มูลค่าเพิ่มขึ้น 25.5%
ทำเล ‘จอหอ’ ขายอืด ‘บ้านเป็ด’ ขายดี
โดย 5 ทำเลมีหน่วยเหลือขายมากที่สุด 1.จอหอ 1,606 หน่วย มูลค่า 5,173 ล้านบาท 2.ในเมืองนครราชสีมา 1,196 หน่วย มูลค่า 4,990 ล้านบาท 3.ม.ขอนแก่น 1,115 หน่วย มูลค่า 1,994 ล้านบาท 4.บ้านใหม่-โคกกรวด 979 หน่วย มูลค่า 2,884 ล้านบาท 5.หัวทะเล 942 หน่วย มูลค่า 3,103 ล้านบาท โดยระดับราคาที่เหลือขายมากที่สุดคือ 2-3 ล้านบาท จำนวน 3,986 หน่วย มูลค่า 10,706 ล้านบาท
ด้านที่อยู่อาศัยมีขายได้ใหม่ 1,892 หน่วย มูลค่า 6,854 ล้านบาท เป็นบ้านจัดสรร 1,593 หน่วย มูลค่า 6,303 ล้านบาท และอาคารชุด 299 หน่วย มูลค่า 551 ล้านบาท
ทำเลที่มีหน่วยขายได้สูงสุด 5 อันดับแรก คือ 1.บ้านเป็ด 241 หน่วย มูลค่า 1,110 ล้านบาท 2.ในเมืองนครราชสีมา 229 หน่วย มูลค่า 895 ล้านบาท 3.จอหอ 189 หน่วย มูลค่า 658 ล้านบาท 4.บึงแก่นนคร 141 หน่วย มูลค่า 633 ล้านบาท และ 5.ม.ขอนแก่น 132 หน่วย มูลค่า 282 ล้านบาท