JJNY : ก้าวไกลพร้อมมาก คิวเพียบอภิปราย│“นักวิชาการ”ฝากการบ้านครม.│หดหู่ ชุลมุนแย่ง"ข้าวสาร"โรงทาน│ค้าปลีกในปากีสถานสไตก์

ก้าวไกล พร้อมมาก คิวเพียบอภิปราย ครม.เศรษฐา1 วันแถลงนโยบาย
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7847055
 
 
“ก้าวไกล” ลับมีดเตรียม อภิปรายวันแถลงนโยบาย “ครม.เศรษฐา1 “ จองกฐิน แก้รัฐธรรมนูญ – ยกเลิกเกณฑ์ทหาร ลั่น พร้อมมาก
 
เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2566 นายกรุณพล เทียนสุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึง การเตรียมอภิปรายของพรรคก้าวไกล ในวันแถลงนโยบายรัฐบาล ว่า เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เมื่อคณะรัฐมนตรีแถลงนโยบาย ฝ่ายค้านจะต้องอภิปรายนโยบายของรัฐบาล โดยทางพรรคก้าวไกลให้ สส.ของพรรคเลือกนโยบายของรัฐบาลที่สนใจ เพื่อหาข้อมูลว่านโยบายนั้นๆ จะมีปัญหาหรือไม่ แต่ละคนจะต้องนำข้อมูลที่มี ไปเสนอต่อกรรมการบริการพรรค เพื่อให้คัดชื่อเสนอเป็นผู้อภิปรายต่อไป

ส่วนประเด็นหลักที่จะมีการหยิบมาอภิปราย คือ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่าจะแก้ไขโดย สสร. ที่มาจากการแต่งตั้ง หรือ มาจากการเลือกตั้ง การยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร นโยบายปฏิรูปกองทัพ รวมถึงเรื่องของพลังงาน ที่เราอยากตั้งคำถามกับรัฐบาลว่า ทำไมถึงยกตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ให้กับพรรคเดิม เข้ามากับกำดูแล เพราะใน 4 ปีที่ผ่านมาก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในส่วนนี้ได้
 
นายกรุณพล กล่าวว่า ขณะนี้ต้องรอฟังแถลงการณ์ก่อน ตอนนี้เป็นเพียงการเก็งข้อสอบ แต่หากแถลงเหมือนสมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมตรี ก็น่าจะโดนทุกดอก เพราะเป็นการนำทุกประเด็นมายำรวมกัน แต่เราค่อนข้างเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยเองก็เคยเป็นรัฐบาลมา คงจะแถลงเป็นรูปธรรม สามารถจับต้องได้
 
เมื่อถามว่าพรรคก้าวไกลพร้อมอภิปรายหรือไม่ นายกรุณพล กล่าวว่า เราพร้อมมาก ตอนนี้มีคนลงชื่ออภิปรายเกือบ 60 คน ซึ่งทางพรรคจะคัดเลือกอีกครั้งว่าจะมีผู้อภิปรายกี่คน เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาที่ทางสภาฯให้มา



“นักวิชาการ” ฝากการบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_607480/

“นักวิชาการ” ฝากการบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ” “นณริฏ” รบ.ทำนโยบายให้สอดคล้องกัสถานการณ์ดิจิตอล1หมื่น อาจทำเงินเฟ้อ ด้าน”ธนิต”ชี้ ควรเร่งทำ quick win กระตุ้นศก.-แก้หนี้ครัวเรือน ขณะที่”เกียรติอนันท์” แนะทลายกรอบการศึกษา upskill reskill การศึกษาสู่แรงงานไทย ส่วน”นิติรัตน์” บอกรัฐควรส่งเสริมรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า ลดความเหลื่อมล้ำ
 
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จัดงานราชดำเนินเสวนา”การบ้าน ครม.เศรษฐา1 แก้วิกฤตประเทศ” โดยมี ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสสถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI), ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย, ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ ผู้ประสานงานเครือข่าย We Fair
 
โดยดร.นณริฏ กล่าวว่า จากผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ฝ่ายอนุรักษ์นิยม หันมามาสนับสนุนเสรีนิยม และรัฐสวัสดิการมากขึ้น ในระยะยาวจะเห็นนโยบายใหม่ๆมากขึ้น ส่วนรัฐบาลเศรษฐา1 เมื่อรวมกับ 2 ลุง (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)
 
ก็จะรวมฝ่ายอนุรักษ์นิยม เสรีนิยม และรัฐสวัสดิการ เข้าด้วยกัน ซึ่งคาดหวังอยากเห็นนโยบายที่ไม่เอื้อต่อนายทุน ,นโยบายที่ลดความเหลี่ยมล้ำ ให้โอกาส ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง นโยบายที่ไม่แจกเงินโดยไร้ความรับผิดชอบ ความจำเป็น ต่อการแจก และเป็นภาระทางการคลัง รวมถึงนโยบายพัฒนาทุนนิยมแบบโลกยุคใหม่ รักษาขนมธรรมเนียมแบบเหมาะสม ไม่อยากให้เกรงกลัวต่างๆชาติมากเกินไป ดังนั้น จึงจะเป็นนโยบายที่ร่วมกันได้ทุกฝ่าย
 
ทั้งนี้ ความท้าทายของเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด ที่เป็นเรื่องท้าทายของรัฐบาลเศรษฐา 1 ในระยะยาวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ภาครัฐต้องจัดคนเพื่อเข้ามาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องคิดใหม่ทำใหม่ เช่น ภาคการท่องเที่ยว ถ้าต้องการจำนวนคนเข้ามากขึ้น ก็ต้องอุดหนุนทรัพยากรที่เรามี ,ด้านอาหาร ความต้องการอาจจะมากขึ้น แต่คุณภาพอาหารไม่ได้ดีขึ้นก็ต้องปรับปรุง
    
ส่วนความท้าทายระยะสั้นรัฐบาลจะต้องต่อสู้กันระหว่างแรงกดดันที่ประชาชน อยากให้รัฐบาลทำตามที่หาเสียงไว้ แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน ก็ต้องคัดกรองว่านโยบายไหนบ้างยังจำเป็นที่ต้องทำอยู่ นโยบายไหนเหมาะสมกับช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน
 
พร้อมฝากเสนอรัฐบาลในเรื่องเงินดิจิตอล 10,000 บาท ที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นได้ แต่ก็ต้องดูความเหมาะสมของสถานการณ์ แต่ก็ต้องดูว่าต้องกระตุ้นเท่าไหร่ ถ้ากระตุ้นเยอะไปอาจจะทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ หรือเอามาทำรัฐสวัสดิการอย่างอื่นแทน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก จะต้องทำให้ประชาชนลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มเรื่องของความพอเพียงหรือต้องมีเงินออม ซึ่งควรจะเป็นเรื่องแรกๆที่รัฐบาลจะต้องทำ เรื่องกระจายอำนาจ เพื่อให้มีการดูแลพัฒนาในพื้นที่มากขึ้น และการต่อยอดสิ่งที่มีอยู่แล้วอย่าง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อเข้าถึงคนหมู่มาก และต้องทำให้คนยืนได้ด้วยตัวเอง
 
ส่วนดร.ธนิต มองว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นตัวเลือกที่ไม่มีทางเลือก เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และไม่ต้องเรียนรู้งานมาก เพราะมาจากภาคธุรกิจ แต่สภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะที่บอบช้ำต่อเนื่องมาหลายปี จากการรัฐประหาร และตลอด 9 ปี ที่ผ่านมา รัฐบาลเน้นไปที่ความมั่นคงมากกว่าเศรษฐกิจ รวมถึงยังต้องเจอวิกฤตโลก ปัญหาสภาพคล่อง และหนี้เปราะบาง ที่ล้วนติดลบหดตัวอย่างหนัก ดังนั้น รัฐบาลใหม่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยมีมาตรการ quick win คือ การแก้ปัญหาระยะสั้นที่ต้องทำให้เสร็จภายใน 3 เดือน แม้บางนโยบายอาจไม่ตอบโจทย์ความหวังของประชาชน แต่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ ได้แก่ ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงินต่างๆ เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง, แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และหนี้ธุรกิจ, โปรโมทภาคท่องเที่ยว, แก้ปัญหาส่งออกหดตัว, ทบทวนแนวทางการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท และปริญญาตรี 25,000 บาท หากจะปรับจริงควรเป็นเดือนพฤษภาคมปีหน้า และควรทยอยปรับ โดยไม่จำเป็นต้องเฉลี่ยเท่ากัน เพื่อให้ภาคเอกชนมีเวลาปรับตัว หรือปรับให้น้อยลงให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ,การกระตุ้นเศรษฐกิจกระเป๋าเงินดิจิตอล 10,000 บาท ที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะหาเงินมาจากไหน
 
เพื่อไม่ให้กระทบกับการเงินการคลัง และหนี้ของประเทศในอนาคต รวมถึงจะแจกเมื่อใด แจกอย่างไร เนื่องจากประชาชนคาดหวังว่ารัฐบาลจะแจกทุกปี ซึ่งโจทย์นี้ถือเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมา โดยเฉพาะการลงทุนจากต่างชาติ
 
นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับแรงงาน ยกระดับทักษะแรงงาน โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจ แรงงานที่มีอายุ เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีทันสมัยแบบก้าวกระโดด และควรมีสวัสดิการที่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
 
ขณะที่ดร.เกียรติอนันท์ กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องแก้วิกฤติที่จะเกิดขึ้น 3 โจทย์คือ วิกฤติที่มาก่อนเวลา วิกฤตที่ตามมาจากอดีต และวิกฤตที่รัฐบาลผิดพลาดหรือสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งรัฐบาลต้องระวังให้ดี โดยในส่วนการศึกษาและแรงงาน เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน การศึกษาจะต้องปรับให้ตรงกับแรงงานที่ต้องการ และต้องได้รับ Upskill Reskill ให้เร็วที่สุด นโยบายการศึกษา ต้องทำเลย ทำใหญ่ ทำเพื่อให้เกิดแรงงานในไทย ส่วนอีก 4 ปีข้างหน้า ต้องระวังการศึกษา และความเหลื่อมล้ำที่จะเกิดขึ้นระยะยาวหากเกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้วถ้าไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ก็จะเกิดการความเหลื่อมล้ำรอบใหม่ ถ้าไม่แก้วันนี้จะเป็นปัญหาในอนาคต การแก้ในวันนี้ได้ก็จะปลดล็อกปัญหาในอดีตและวิกฤตในอนาคต ถ้าทำได้จะทำให้ภาคการบริหารรัฐบาลจะดีมาก
 
ทั้งนี้ ยังมีกลุ่มเปราะบางทางเศรษฐกิจที่ต้องการใช้รัฐสวัสดิการมาอุ้ม เพื่อที่จะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นถ้าหากจัดสวัสดิการด้านการศึกษาดี สิ่งที่ได้จะไม่ได้สูญเปล่า เช่น การฝึกงานแล้วมีค่าจ้าง เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ ดังนั้นเราต้องเริ่มต้นคำถามยากๆเกี่ยวกับการศึกษา เช่น วิชาที่สอนเหมือนกัน ทำไมทุกโรงเรียนต้องทำซ้ำ ทำเหมือนๆกัน ต้องตั้งคำถามว่าจำเป็นไหมที่ครูต้องสอนเหมือนกันทั้งหมด ถ้ามีคนสอนเก่งๆแล้วสอนในเวลาเดียวกันเปิดทีวีอัดคลิปไปเปิด แล้วครูในห้อง เป็นครูที่จะสรุปบทเรียนแล้วสอนต่อ แบบนี้คุณภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ จะใกล้เคียงกับปล่อยให้ครูต่างคนต่างสอน อีกทั้งวิธีการออกข้อสอบต้องออกแบบให้เหมาะกับเด็กแต่ละคน แต่อยู่เนื้อหาเรื่องเดียวกัน เป็นต้น
 
กระทรวงการศึกษาและกระทรวงอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรมจะต้องเป็นกระทรวงต้นๆที่หลุดออกจากกรอบก่อนที่ได้ตอบ แม้จะมีคนตั้งความหวังกับกระทรวงเหล่านี้น้อย แต่ถ้าทำสำเร็จจะดีที่สุด ที่สำคัญคือต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางการศึกษา และรัฐมนตรีที่เข้ามาต้องทุบกำแพง เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะได้แค่เสียงปรบมือแต่จะไม่ได้คะแนนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
 
ด้านนายนิติรัตน์ กล่าวว่า จากการรับฟังข้อเสนอจาก 14 พรรคการเมือง เห็นว่า รัฐบาลใหม่ควรส่งเสริมรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า พร้อมมองว่า อาจจะนำเงิน 5 แสนกว่าล้าน ที่จะใช้กับนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไปใช้กับนโยบายรัฐสวัสดิการอื่น เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากประเทศไทยยังมีผู้มีรายได้น้อยอยู่จำนวนมาก ตกอยู่ในสถานการณ์ส่งต่อความจน รวมถึงสังคมยังมีความเหลื่อมล้ำ สถานการณ์เปราะบาง ผู้สูงอายุเข้าไม่ถึงรัฐสวัสดิการ คนตกงาน เด็กหลุดจากระบบการศึกษา และเมื่อเปรียบเทียบชุดข้อเสนอของพรรคการเมืองที่เป็นรัฐมนตรี พบว่า แต่ละพรรคการเมือง มีนโยบายไม่ตรงกับกระทรวงที่ดูแล ดังนั้น ต้องมองไปข้างหน้า ปรับเปลี่ยน หรือ จัดลำดับความสำคัญนโยบายเร่งด่วน และปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และไม่ควรลดสวัสดิการที่ให้ประชาชน แต่ควรปรับให้เพิ่มขึ้นมากกว่า และให้เน้นเรื่องปฏิรูปภาษี ปฏิรูปกองทัพ เพื่อให้มีเงินเพิ่ม ไปเติมงบสวัสดิการ เพื่อให้กำแพงของคนรวยที่สร้างขึ้นมีความสมดุลกับผู้มีรายได้น้อย เชื่อจะทำให้เกิดความเท่าเทียม ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมให้ดีขึ้นได้



หดหู่ใจ คลิปคนชุลมุนรุมแย่ง "ข้าวสาร" โรงทาน จนทำให้เจ้าภาพบาดเจ็บ
https://www.thairath.co.th/news/society/2722219

โซเชียลวิจารณ์สนั่น คลิปชาวบ้านรุมแย่ง "ข้าวสาร" ที่แจกในงานโรงทาน จนเกิดเหตุชุลมุน ดันโต๊ะชน "เจ้าภาพ" ที่จัดงานได้รับบาดเจ็บ จนร้องไห้ออกมา
 
วันที่ 3 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลายเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ เมื่อผู้ใช้บัญชี TikTok @wannoi...9494 ที่ได้โพสต์คลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ของการทำบุญเลี้ยงโรงทานที่วัดแห่งหนึ่ง พร้อมระบุข้อความว่า ข้าวสาร 100 กว่าถุง หายวับไปในพริบตา มีคนเจ็บตัวด้วย ถ้าต่อแถวเข้ามาทีละคน คงได้ครบทุกคน แถมไม่ต้องมีคนเจ็บตัวอีก
 
ทั้งยังระบุข้อความในคลิปต่อมาอีกว่า แย่งกันจนชนคนที่เขามาทำทานให้จนอัดกับโต๊ะ เห็นแก่ได้จริงๆ คนเรานี่ เขามาทำบุญทำทานให้ แต่ต้องมาเจ็บตัว เพราะคนที่เห็นแก่ได้
 
หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ควรจะต้องมีความสำรวมและเกรงใจกันมากกว่านี้ ทั้งยังแนะนำอีกว่า หากรอต่อแถวรับของแจกด้วยความเป็นระเบียบ ก็จะไม่มีใครเจ็บตัว ได้รับของทุกคน เจ้าภาพได้บุญที่แจกทาน ส่วนคนรับก็จะได้อานิสงส์ไปด้วย.

ขอบคุณข้อมูลจาก TikTok @wannoi...9494 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่