รัฐบาลทำบัตรสวัสดิการแห่งรัฐท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นประชานิยมไม่ต่างอะไรกับพรรคทักษิณ เป็นการแจกปลาไม่ใช่แจกเบ็ด
แต่รัฐบาลก็ได้พิสูจน์ผลงานให้ประจักษ์แล้วว่าทำเพื่อประชาชนเพิ่มคุณภาพชีวิต ลดความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาอาชีพให้
ในการหาเสียงครั้งนี้ จึงไม่มีพรรคใดๆบอกจะยกเลิกนโยบายนี้ นอกจากพรรคอนาคตใหม่ ที่จะยกเลิกและนำไปแจกในรูปแบบอื่นๆ
เช่นแจกเงินให้วัยศึกษา อายุ 18 ปีขึ้นไป คนละ 2,000 บาททุกเดือนเป็นต้น ทั้งๆที่มีนโยบายเรียนฟรี และการกู้เงินกยศ.อยู่แล้ว
ผลงานดำเนินงานของรัฐบาลก็ไม่ได้ ทำให้รัฐบาลมีปัญหาเรื่องการเงืนการคลังแต่อย่างใด อย่างปีนี้ก็ได้ดำเนินการต่อไปค่ะ...
คนจนได้เฮอีก!ครม.ทุ่ม4.3พันล้านเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก6เดือน
15 ม.ค.62- นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบขยายเวลาโครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ต่อไปตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.62 หลังจากโครงการสิ้นสุดไปเมื่อเดือน ธ.ค.61 วงเงินเพื่อใช้ดำเนินการจำนวน 4,370 ล้านบาท เป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการ 4,145,397 ราย โดยจะใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และให้กระทรวงการคลังดำเนินการเสนอขอรับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2562 งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมมีผลบังคับใช้
เขากล่าวว่า สำหรับโครงการฯระยะที่ 2 นี้ จะให้ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาลงทะเบียนเพื่อเข้าอบรมพัฒนาคุณภาพชีวิต หลังผ่านการอบรมจะรับเงินเพิ่มจากระยะแรกที่หากมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินเพิ่มรายละ 200 บาทต่อเดือน จากโครงการระยะแรกได้รายละ 300 บาท รวมเป็น 500 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เมื่อผ่านการฝึกอบรมจะได้รับเงินเพิ่มรายละ 100 บาทต่อเดือน จากระยะแรกรับรายละ 200 บาท รวมเป็น 300 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินที่ได้รับเพิ่มรายละ 200 บาท และ 100 บาท ในระยะที่ 2 นี้ ครม.เคยมีมติผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเบิกออกมาใช้เป็นเงินสดได้ผ่านตู้เอทีเอ็มและสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้แล้วก่อนหน้านี้ ส่วนเงินที่ได้รับในโครงการระยะที่ 1 รายละ 300 บาท และ 200 บาท มติ ครม.เดิมกำหนดให้จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าประชารัฐเท่านั้นมีระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเดือน ก.ย.62
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ครม.ยังได้เห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายเงินในส่วนที่ได้รับในโครงการระยะที่ 1 รายละ 300 บาท และ 200 บาทต่อเดือน ซึ่งเดิมกำหนดให้จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าประชารัฐเท่านั้น ปรับใหม่ให้สามารถเบิกเป็นเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มและสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ 200 บาท และ 100 บาทต่อเดือน เหลือเงินสำหรับที่จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าประชารัฐจำนวน 100 บาท โดยกำหนดให้เบิกเป็นเงินสดช่วงเวลาตั้งแต่เดือนก.พ.-เม.ย.2562 หรือเป็นเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ เหตุผลที่ให้ปรับเปลี่ยนมาเบิกเป็นเงินสดได้รายละ 200บาท และ 100 บาทต่อเดือนรอบนี้ เนื่องจากเมื่อต้นปีมีผลสำรวจระบุว่า ประชาชนต้องการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าที่ไม่อยู่ในร้านค้าประชารัฐจำนวนมาก
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการพบว่า จากจำนวนผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14.5 ล้านคน มีผู้เข้าร่วมโครงการฯระยะที่ 2 จำนวน 4,145,397 ราย ซึ่งได้รับการพัฒนาแล้วจำนวน 3,267,941 ราย และจากผลการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ข้อมูล ณ สิ้นปี 61 สามารถติดตามได้ จำนวน 2,607,195 ราย หรือคิดเป็น 80% ของผู้ที่พัฒนาแล้ว โดยพบว่าหลังเข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 บาทต่อปี จำนวน 1,566,353 ราย แบ่งเป็นจำนวนที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,451,237 ราย และรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อปี จำนวน 115,116 ราย ส่วนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านการพัฒนาแล้ว แต่ยังมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 1,012,727 ราย คงเหลือ 1,040,842 ราย หรือคิดเป็น 50%
https://www.thaipost.net/main/detail/26633
จากนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐแม้จะช่วยคนรายได้น้อยได้ในระดับหนึ่ง แต่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ก็ยังคงอยู่
วาทกรรมรวยกระจุก จนกระจาย ถูกนำมาใช้โจมตีรัฐบาล ว่าทำโครงการเอื้อนายทุนให้รวยขึ้นๆ
ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐคงห่วงใยคนที่เป็นแรงงานระดับล่างที่ยังไม่พัฒนาฝีมือ ได้เงินค่าแรงขั้นต่ำที่น้อยอยู่
การจ้างแรงงาน ดีกว่าการแจกเงิน จึงได้ผุดนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาเพื่อแก้ปัญหาให้ชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพราะในขณะที่แรงงานอื่นได้รับค่าแรงเกิน 400 บาทไปแล้ว
ขณะที่เราจะผลักดันค่าแรงงานขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวัน อาชีวศึกษา 18,000 บาทต่อเดือน และปริญญาตรี 20,000 ต่อเดือน ทั้งหมดไม่สูงเกินไป เผลอๆ อาจจะต่ำเกินไป หรือไม่ก็ไม่ทราบ นโยบายเราเน้นเรื่องคุณภาพ ต้องทำให้คนมีความหวัง ในส่วนผู้ใช้แรงงานเราจะดูแลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
https://thestandard.co/thailandelection2562-phalang-pracharat-party-13/
ดิฉันเชื่อมั่นว่า...พรรคพลังประชารัฐสืบสานงานต่อมาจากรัฐบาลจะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะได้สร้างผลงานให้ประจักษ์
ไม่เคยทำได้ในรัฐบาลอื่น ทั้งดูแลประชาชนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ยุคไหนจะได้เห็นผลงานจากรัฐบาลอย่างนี้บ้างคะ......?
หรือจะอยากเห็นแบบนี้คะ....?
ดิฉันมั่นใจ..พรรคที่จะสืบสานงานต่อจากรัฐบาล จะไม่ทำให้ผิดหวัง
เพราะมีลุงตู่มาคุมงานต่อ
ไม่ไว้ใจพรรคไหนเท่าพลังประชารัฐอีกแล้วค่ะ
🌡มาลาริน/จากสวัสดิการแห่งรัฐไปสู่การจ้างงานของพรรคพลังประชารัฐ ลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ดูแลคุณภาพชีวิตของประชาชน
แต่รัฐบาลก็ได้พิสูจน์ผลงานให้ประจักษ์แล้วว่าทำเพื่อประชาชนเพิ่มคุณภาพชีวิต ลดความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม พัฒนาอาชีพให้
ในการหาเสียงครั้งนี้ จึงไม่มีพรรคใดๆบอกจะยกเลิกนโยบายนี้ นอกจากพรรคอนาคตใหม่ ที่จะยกเลิกและนำไปแจกในรูปแบบอื่นๆ
เช่นแจกเงินให้วัยศึกษา อายุ 18 ปีขึ้นไป คนละ 2,000 บาททุกเดือนเป็นต้น ทั้งๆที่มีนโยบายเรียนฟรี และการกู้เงินกยศ.อยู่แล้ว
ผลงานดำเนินงานของรัฐบาลก็ไม่ได้ ทำให้รัฐบาลมีปัญหาเรื่องการเงืนการคลังแต่อย่างใด อย่างปีนี้ก็ได้ดำเนินการต่อไปค่ะ...
คนจนได้เฮอีก!ครม.ทุ่ม4.3พันล้านเติมเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอีก6เดือน
15 ม.ค.62- นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบขยายเวลาโครงการมาตรการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐระยะที่ 2 ต่อไปตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.62 หลังจากโครงการสิ้นสุดไปเมื่อเดือน ธ.ค.61 วงเงินเพื่อใช้ดำเนินการจำนวน 4,370 ล้านบาท เป้าหมายผู้เข้าร่วมโครงการ 4,145,397 ราย โดยจะใช้จ่ายจากเงินงบประมาณรายจ่ายภายใต้กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก และให้กระทรวงการคลังดำเนินการเสนอขอรับจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ2562 งบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เมื่อร่างพระราชบัญญัติการจัดประชารัฐสวัสดิการเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคมมีผลบังคับใช้
เขากล่าวว่า สำหรับโครงการฯระยะที่ 2 นี้ จะให้ประชาชนที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาลงทะเบียนเพื่อเข้าอบรมพัฒนาคุณภาพชีวิต หลังผ่านการอบรมจะรับเงินเพิ่มจากระยะแรกที่หากมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อปี จะได้รับเงินเพิ่มรายละ 200 บาทต่อเดือน จากโครงการระยะแรกได้รายละ 300 บาท รวมเป็น 500 บาทต่อเดือน ส่วนผู้ที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เมื่อผ่านการฝึกอบรมจะได้รับเงินเพิ่มรายละ 100 บาทต่อเดือน จากระยะแรกรับรายละ 200 บาท รวมเป็น 300 บาทต่อเดือน ซึ่งเงินที่ได้รับเพิ่มรายละ 200 บาท และ 100 บาท ในระยะที่ 2 นี้ ครม.เคยมีมติผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเบิกออกมาใช้เป็นเงินสดได้ผ่านตู้เอทีเอ็มและสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้แล้วก่อนหน้านี้ ส่วนเงินที่ได้รับในโครงการระยะที่ 1 รายละ 300 บาท และ 200 บาท มติ ครม.เดิมกำหนดให้จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าประชารัฐเท่านั้นมีระยะเวลาสิ้นสุดโครงการเดือน ก.ย.62
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ครม.ยังได้เห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนการใช้จ่ายเงินในส่วนที่ได้รับในโครงการระยะที่ 1 รายละ 300 บาท และ 200 บาทต่อเดือน ซึ่งเดิมกำหนดให้จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าประชารัฐเท่านั้น ปรับใหม่ให้สามารถเบิกเป็นเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มและสาขาของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ได้ 200 บาท และ 100 บาทต่อเดือน เหลือเงินสำหรับที่จะต้องใช้จ่ายผ่านร้านค้าประชารัฐจำนวน 100 บาท โดยกำหนดให้เบิกเป็นเงินสดช่วงเวลาตั้งแต่เดือนก.พ.-เม.ย.2562 หรือเป็นเวลา 3 เดือน ทั้งนี้ เหตุผลที่ให้ปรับเปลี่ยนมาเบิกเป็นเงินสดได้รายละ 200บาท และ 100 บาทต่อเดือนรอบนี้ เนื่องจากเมื่อต้นปีมีผลสำรวจระบุว่า ประชาชนต้องการจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าที่ไม่อยู่ในร้านค้าประชารัฐจำนวนมาก
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการพบว่า จากจำนวนผู้ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 14.5 ล้านคน มีผู้เข้าร่วมโครงการฯระยะที่ 2 จำนวน 4,145,397 ราย ซึ่งได้รับการพัฒนาแล้วจำนวน 3,267,941 ราย และจากผลการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ข้อมูล ณ สิ้นปี 61 สามารถติดตามได้ จำนวน 2,607,195 ราย หรือคิดเป็น 80% ของผู้ที่พัฒนาแล้ว โดยพบว่าหลังเข้าร่วมโครงการมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 บาทต่อปี จำนวน 1,566,353 ราย แบ่งเป็นจำนวนที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,451,237 ราย และรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อปี จำนวน 115,116 ราย ส่วนผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ผ่านการพัฒนาแล้ว แต่ยังมีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจำนวน 1,012,727 ราย คงเหลือ 1,040,842 ราย หรือคิดเป็น 50%
https://www.thaipost.net/main/detail/26633
จากนโยบายสวัสดิการแห่งรัฐแม้จะช่วยคนรายได้น้อยได้ในระดับหนึ่ง แต่ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ก็ยังคงอยู่
วาทกรรมรวยกระจุก จนกระจาย ถูกนำมาใช้โจมตีรัฐบาล ว่าทำโครงการเอื้อนายทุนให้รวยขึ้นๆ
ดังนั้น พรรคพลังประชารัฐคงห่วงใยคนที่เป็นแรงงานระดับล่างที่ยังไม่พัฒนาฝีมือ ได้เงินค่าแรงขั้นต่ำที่น้อยอยู่
การจ้างแรงงาน ดีกว่าการแจกเงิน จึงได้ผุดนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมาเพื่อแก้ปัญหาให้ชนชั้นแรงงานไร้ฝีมือให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
เพราะในขณะที่แรงงานอื่นได้รับค่าแรงเกิน 400 บาทไปแล้ว
ขณะที่เราจะผลักดันค่าแรงงานขั้นต่ำ 400-425 บาทต่อวัน อาชีวศึกษา 18,000 บาทต่อเดือน และปริญญาตรี 20,000 ต่อเดือน ทั้งหมดไม่สูงเกินไป เผลอๆ อาจจะต่ำเกินไป หรือไม่ก็ไม่ทราบ นโยบายเราเน้นเรื่องคุณภาพ ต้องทำให้คนมีความหวัง ในส่วนผู้ใช้แรงงานเราจะดูแลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
https://thestandard.co/thailandelection2562-phalang-pracharat-party-13/
ดิฉันเชื่อมั่นว่า...พรรคพลังประชารัฐสืบสานงานต่อมาจากรัฐบาลจะไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะได้สร้างผลงานให้ประจักษ์
ไม่เคยทำได้ในรัฐบาลอื่น ทั้งดูแลประชาชนและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ
ยุคไหนจะได้เห็นผลงานจากรัฐบาลอย่างนี้บ้างคะ......?
หรือจะอยากเห็นแบบนี้คะ....?
ดิฉันมั่นใจ..พรรคที่จะสืบสานงานต่อจากรัฐบาล จะไม่ทำให้ผิดหวัง
เพราะมีลุงตู่มาคุมงานต่อ
ไม่ไว้ใจพรรคไหนเท่าพลังประชารัฐอีกแล้วค่ะ