อยากแยกกันอยู่กับสามี เพราะเบื่อญาติสามี!!!

สวัสดีค่ะ....
     ที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพราะอยากขอคำแนะนำ คำชี้แนะจากคนในพันทิป เพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับความอึดอัด ความอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้นอย่างไร อยากรู้ว่าสิ่งที่เราคิดและรู้สึก มันคือความคิดของคนที่จิตใจคับแคบหรือไม่ ขอเรียบเรียงปัญหาชีวิตคู่ที่อึดอัดทีละข้อเลยนะคะ

1. เรากับสามีคบหาดูใจกันมานาน ประมาน 12 ปี  ใช้ชีวิตคู่มาแล้ว 3 ปี แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สามีเป็นฝ่ายเข้าๆหาบ้านเราตลอด เราไม่ค่อยได้ไปบ้านสามีเพราะว่าทัศนคติและความคิดของบ้านเราและบ้านสามีไม่ค่อยลงรอยกันสักเท่าไหร่ เวลาคุณพ่อกับคุณแม่ของเราไปบ้านสามี กลับมาบ้านทีไรจะไม่ค่อยสบอารมณ์แทบทุกครั้ง ทัศนคติที่ว่านี่เกี่ยวกับ ความคิดด้านการใช้ชีวิต การศึกษา การทำงาน เป็นต้น

2. อย่างที่กล่าวไปว่า...คุณพ่อกับคุณแม่ของเราเคยไปบ้านสามี แต่...ฝั่งผู้ใหญ่ที่บ้านสามีไม่เคยมาบ้านเราและมาหาคุณพ่อ คุณแม่ของเราที่บ้านเลยสักครั้ง
3. เราคบหาดูใจกับสามีจนเรียนจบ ยังไม่ได้ทำงาน แต่เราเกิดตั้งท้องลูกคนแรก ซึ่งเราคลอดก่อนกำหนด ลูกของเรามีชีวิตอยู่ได้แค่ 1เดือน 15 วัน ในตู้อบและอยู่ในห้อง ICU เด็ก (ตลอดการมีชีวิตอยู่ของเค้า... เค้าอยู่ใน รพ.คลอดเวลา) ตอนนั้นเรา2คนยังไม่มีงานทำ ค่าใช้จ่ายใน รพ. คุณพ่อและคุณแม่เราเป็นคนจัดการทั้งหมด ซึ่ง หมดไปประมาน 2××,××× บ. ฝั่งบ้านสามีนั้นไม่เคยปริปากถามเรื่องค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น แต่ช่วนออกค่าใช้จ่ายเป็นเงิน จำนวน 250บ. ค่าชุดเด็กอ่อน  1ชุด.

3. เรากับสามีตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ เพราะว่าสามีสอบงานราชการได้  (สามีรับราชการเป็นชั้นผู้น้อย เงินเดือน 1×,××× บ.) โดยที่คุณพ่อและคุณแม่ของเราไม่ได้เรียกค่าสินสอด เพราะเห็นว่าสามีเราเป็นคนดีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยทำเรื่องเหลวไหลเลย ท่านจึงคิดว่าไม่ได้เรียกสินสอดก็คงไม่เสียหายอะไร แค่เด็ก2คนรักกันก็พอแล้ว เพราะว่าไม่ได้สนใจสังคมรอบข้าง   และสามีเงินเดือนน้อย แทบจะไม่มีเงินเก็บ
สิ่งสำคัญคือ คุณพ่อไม่อยากให้เราแต่งงาน ได้แค่บอกว่า ถ้าไม่รักลูกสาวพ่อแล้วให้พากลับมาส่งที่บ้าน อย่าตบตีและทิ้งขว้าง (บ้านสามีเคยพูดเรื่องค่าสินสอดค่ะ แต่จะให้แค่5×,×××บ.)

4. ตอนนี้เรามีลูกกับสามี 1 คน แล้วค่ะ ลูกชายของเราอยู่กับคุณตาคุณยาย ท่านขอหลานไปเลี้ยงเอง เพราะหลังจากที่เรามาอยู่กับสามีแล้วท่านทั้ง2บอกว่าเหงามากและกลัวว่าเงินเดือนของสามีเราจะไม่พอเลี้ยงหลาน ตอนนี้เราอยู่กับสามีแค่2คนที่บ้านพัก(ตั้งแต่มีหลาน ฝั่งบ้านสามีไม่เคยถามเรื่องค่าใช้จ่ายของหลานเลย เราไม่ได้ต้องการให้เค้าช่วยนะคะ แค่อยากเห็นน้ำใจ แค่อยากให้ถามบ้าง)

5. ตอนที่เรากับสามีเริ่มใช้ชีวิตด้วยกัน ในบ้านพักมีแค่ ที่นอน ตู้เย็น โต๊ะญี่ปุ่นไว้ทานข้าว จานชามช้อนอย่างละไม่เกิน5ชิ้น และรถจักรยายนต์กลางเก่ากลางใหม่1คัน

6. คุณพ่อของเราเกษียนอายุราชการ กลับไปอยู่บ้านที่ ตจว. ก่อนไปคุณพ่อกับคุณแม่ได้ทิ้งข้าวของเครื่องใช้ไว้ให้เราและสามีไว้ใช้ต่อ ซึ่งสิ่งของในบ้านตอนนี้เป็นของบ้านเก่าเรา 90% และเรากับสามีซื้อรถยนต์คันแรกที่เป็นของเราเอง ซึ่งซื้อต่อจากคุณพ่อในราคาที่ศูนย์ประเมินมาให้ (ปล.วันที่ขนของจากบ้านพักของคุณพ่อมาบ้านสามีญาติฝั่งสามีมาช่วยขนของด้วยค่ะ และเอาของบางชิ้นไปใช้ที่บ้านโดยที่ไม่ถามเราที่เป็นเจ้าของก่อนเลย มีของอยู่1ชิ้น ที่เราบอกว่าเราจะใช้ น้าของสามีทำสีหน้าไม่พอใจใส่เราแล้วเอาของลงจากรถมาคืนแบบประชด)

7. ตอนนี้ฝั่งทางบ้านสามีเริ่มเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตคู่ของเรา ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาฝั่งบ้านสามีไม่เคยเข้ามาดูดำดูดีเลย ที่บอกว่าเข้ามาวุ่นวาย เช่น มาขอยืมรถยนต์ใช้อาทิตย์ละ2วัน ซึ่งฝั่งบ้านสามีไม่เคยคิดที่จะซื้อรถยนต์เป็นของตัวเองเพราะให้เหตุผลว่าขับไม่เป็น เงินหลักแสนซื้อได้แค่รถยนต์คันเดียว แต่ถ้าซื้อรถจักรยานยนต์ใช้เงินแค่หลัก2-3หมื่น เอาเงิน3-4-5แสน มาซื้อรถจักรยานยนต์หลายๆคันดีกว่า คนที่บ้านจะได้ใช้ได้อย่างทั่วถึง (ขอยกตัวอย่างแค่เรื่องเดียวนะคะ เพราะเป็นเรื่องที่เราอึดอัดใจที่สุด)

8. เราบอกสามีไปว่าไม่อยากให้ฝั่งญาติสามียืมรถยนต์อีก ถ้าแต่ถ้าให้สามีเราขับรถไปรับ-ส่ง แบบนี้เราพอหยวนให้ได้ แต่ถ้าจะยืมไปขับเองทั้งวัน เราไม่ให้ และตอนนี้ฝั่งบ้านสามีใช้รถเราไปรับ-ส่งเป็นเวลา2อาทิตย์แล้วค่ะ

10. สามีของเรารับราชการได้ก็เพราะที่บ้านเราเคี่ยวเข็น แนะนำ หาหนังสือให้อ่าน แนะนำทุกอย่าง เพราะที่บ้านเราเอ็นดูสามี อยากให้สามีเรามีอนาคตที่ดี เพราะอัธยาศัยดีและเป็นคนดี ส่วนคนที่บ้านของสามีเองไม่เคยสนใจเรื่องการเรียน อนาคต และความเป็นอยู่ของสามีเราเลย ตอนเรียนจบมัธยมปลายที่บ้านของสามีไม่เคยสนใจเลยว่าลูกหลานของตัวเองจะเรียนอะไรต่อ..แม้แต่ตอนที่สามีจะบรรจุรับราชการ เรื่องชุดเครื่องแบบหรือเครื่องหมายทั้งหมดบ้านเราก็เป็นฝ่ายช่วยหาร้านและตัดชุด(ค่าตัดชุดสามีเป็นคนออกเงินเอง) ซึ่งถ้าเป็นบ้านอื่นพ่อแม่พี่น้องเค้าคงตื่นเต้นดีใจกัน...
   ปล.คนที่บ้านของสามีทำงานโรงงานกันหมด (ขออภัยถ้าพาดพิงถึงอาชีพโรงงานนะคะ)

     เราดูเหมือนคนจิตใจคับแคบ คิดเล็กคิดน้อยมากไหมคะ ที่เราคิดว่าฝั่งบ้านสามีเราคิดเอาแต่ได้อย่างเดียว เวลาพวกเราลำบาก ไม่เคยเห็นฝั่งบ้านสามีมาวุ่นวายเลย เราแค่คิดว่าฝั่งบ้านสามีเอาเปรียบบ้านเราทุกอย่าง สิ่งที่เราคิดมันดูแย่เกินไปไหมคะ
     เราผิดไหมคะที่มีความคิดว่าไม่อยากให้ความช่วยเหลือฝั่งบ้านของสามีเลยเวลาที่เค้าออกปากขอความช่วยเหลือ...ซึ่งก็ได้แต่คิดน่ะค่ะ เพราะเราก็ช่วยแทบทุกครั้ง
    ความคิดที่อยู่ในหัวของเราตอนนี้คือ อดทนอยู่ตรงนี้ไปก่อน ถ้าเราสอบบรรจุราชการได้ เราจะย้ายกลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่ ตจว. ไปเลี้ยงลูกแบบแม่เลี้ยงเดี่ยวที่นั่น ส่วนกับสามีเราไม่ได้คิดจะหย่าแต่จะเจอกันเดือนละครั้ง เราแค่เบื่อญาติของเค้า อยากไปให้ไกลจากตรงนี้ค่ะ

     ปล.ตอนนี้เรากับสามีไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันกับญาติฝั่งสามี บ้านที่เราอยู่ตอนนี้ห่างจากบ้านฝั่งสามีประมาน5กม. ค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่