สวัสดีครับผมอยากมาแชร์ประสบการณ์
ในเรือนจำหรือที่ใครๆเรียกว่า "คุก"
ก่อนที่จะเขียนกระทู้นี้ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ถูกฝากขังในเรือนจำเพราะว่าการที่ถูกฝากขังในครั้งนี้ผมได้เจอกับรักที่ตามหามาตลอด.....🙂
---EP.1---
ผมจะเล่าเริ่มจาก ชีวิตของผมก้าวเข้าสู่อายุ 27 ปี เป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ใช้ชีวิตปกติทั่วไป จนค่ำคืนนึงไปเที่ยวกลางคืนพบเจอกับผู้ชายคนนึงชื่อว่า ภูมิ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตธรรมดาๆ ของผม
ผมกับภูมิแลก LINE กันในคืนนั้นและติดต่อพูดคุยนัดกันไปกินข้าวแล้วก็คบหากัน ใช้ชีวิตด้วยกันแบบคู่รักทั่วไป ผมSupport เขาเพราะเขาเป็นผู้ชาย ดูแลเขาและซื้อของให้เขาทุกอย่างที่เค้าอยากได้ (มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่ไปชอบผู้ชาย ก็ต้องใช้เงินซื้อความสุขเป็นธรรมดา)
ณ ตอนนั้น ไม่ได้คิดหรอกเค้าจะรักไม่รักแต่ได้เขาแล้วก็เปย์นิดนึง 555+ 😅
เวลาผ่านไป 1 ปี จากที่เป็นผู้ให้ ภูมิก็เริ่มมีของขวัญมาให้บ้าง จนกระทั่งวันครบรอบ 1 ปี ภูมิโอนเงินมาให้ และบอกกับผมว่าอยากซื้ออะไรก็ซื้อนะตัวเอง คือตอนนั้น รู้สึกดีใจสุดๆ (เขาเห็นฉันความสำคัญ) 😅😅
และหลังจากนั้น 6 เดือน ผมก็ได้รับหมายเรียกจากตำรวจ มีใจความว่า ภูมิแฟนเราขายของ ลูกค้าโอนเงินแต่ไม่ได้ส่งของให้ลูกค้า จำนวน 72,000 บาท และมีการสืบบัญชีว่าภูมิโอนเงินมาให้เราต่อ
เมื่อเราได้รับหมายเรียกจากทางตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจรีบติดต่อหาภูมิซึ่งภูมิบอกว่าไม่เป็นไรเราเคลียร์จัดการแล้วเดี๋ยวลูกค้าจะไปถอนแจ้งความ
ได้ฟังอย่างนั้นก็สบายใจ !!! แต่ความจริงแล้วภูมิปล่อยให้เรื่องนี้ เลยตามเลยและไม่ได้จัดการอย่างที่บอกกับผม
ภูมิคิดว่าคงไม่มีอะไร เดี๋ยวเรื่องก็คงเงียบไป ปรากฏว่าผู้เสียหาย ตามเรื่องกับทางตำรวจและยังมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขารู้จักทำให้การไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกตำรวจเลยออกหมายจับ (ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ผมมาทราบทีหลัง)
ผมยังจำได้ดีวันนั้นวันที่ 22 กันยายน 2565
HR บริษัทที่ผมทำงาน *พอดีว่าผมสนิทกันเป็นการส่วนตัว* HR มาบอกผมว่า บริษัทมีการตรวจประวัติอาชญากรรมทุกปี และปรากฏว่าเธอมีหมายจับนะเธอรีบไปเคลียร์หมายและฉันจะได้ส่งรายงานได้ (ผมลืมบอกไปว่าบริษัททำเกี่ยวกับภาษีหากมีประวัติอาชญากรรมทางบริษัทจะไล่ออก HR จึงบอกเป็นการส่วนตัวและให้ไปจัดการให้เสร็จให้หมายนั้นถอนออกจากระบบไปเพื่อที่จะสามารถทำงานต่อไปได้ตามปกติ)
เมื่อผมรู้อย่างนั้นก็รีบไปที่สถานีตำรวจ พอไปถึงตำรวจ ประจำคดีก็ได้แจ้งผมว่าคุณไม่มาตามหมายเรียกไม่มาให้ปากคำ ก็ดำเนินการตามขั้นตอน เพราะผู้เสียหายก็ตามเรื่องมาตลอด (ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธมากเพราะผมไม่รู้เรื่องเลย😡 โทรไปต่อว่าภูมิแฟนที่คบกัน แต่ก็ไม่ทำให้ได้ประโยชน์อะไร) คดีที่ถูกกล่าวหา คือคดีใหญ่มาก ฉ้อโกงประชาชนและนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ผมก็เลยสอบถามทางตำรวจว่าทำไมถึงเป็นคดีฉ้อโกงประชาชนทั้งๆที่ ภูมิเค้าไม่ได้ส่งของให้ลูกค้าเพียงคนเดียว
ตำรวจจึงตอบว่าผู้เสียหายแจ้งว่าโพสลงบนโซเชียล Facebook เปิดสาธารณะนั่นเป็นเหตุว่า มีผู้เห็นโพสต์ได้เป็นจำนวนมากจึงตั้งข้อหาเป็นการฉ้อโกงประชาชน
ณ ตอนนั้นผม อธิบายความรู้สึกไม่ถูกทั้งโกรธทั้งเครียดว่าตัวเองต้องมาเจอกับอะไร
ผมจึงทำประกันตัวชั้นโรงพักด้วยเงินสด 150,000 บาท
และในวันที่ 15 ตุลาคม ตำรวจส่งฟ้องอัยการ ผมทำการประกันตัวชั้นอัยการต่อด้วยหลักประกันเดิม
อัยการนัดส่งฟ้องต่อศาล ในวันที่ 30 พฤษจิกายน 2565
เวลาก็ผ่านไปไวมากๆ (ขอแจ้งก่อนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นผมก็ไม่ได้แจ้งให้กับทางครอบครัวทราบเพราะคิดว่าจะสามารถจัดการได้เอง)
ตอนนั้นคือเครียดมากปรึกษาทนายความและก็ได้คำตอบว่าไม่เป็นอะไรอัยการฟ้องต่อศาลก็ให้การปฏิเสธและก็ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เดิม เราประกันตัวมาตลอดตั้งแต่ชั้นโรงพัก ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ยังไงศาลก็ให้ประกันตัว พอผมได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจขึ้นมาบ้าง
และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ก็มาถึง
วันนั้นผมใส่เสื้อสีขาวกางเกงสีขาวตามที่หมอดูบอก
**ขอเล่าเรื่องหมอดูสักนิดนึงนะครับ**
(โดยส่วนตัวก็ไม่ได้เชื่อหมอดูสักเท่าไหร่แต่หมอดูท่านนี้เป็นหมอดูที่ทำนายชีวิตของผมมา 5 ปี และก็ไม่เคยมีอะไรที่ไม่เกิดขึ้นตามที่หมอดูได้ทำนายเลย #หมอดูแม่นสุดๆ และหมอดูท่านนี้ก็ยังเป็นหมอดูท่านเดียวกับที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้กับผม ซึ่งหลังจากที่หมอดูเปลี่ยนชื่อและนามสกุลชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในด้านที่ดี การเงิน เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างชัดเจนจากที่ไม่เคยจับเงิน 100,000 เงิน 1,000,000 ผมก็ได้จับและได้สัมผัสกับการมีชีวิตของการมีเงิน การงานที่ดีหาเงินได้ง่าย อะไรอะไรมันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหมด ทำให้ผมเชื่อในหมอดูท่านนี้มาก)
โดยวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ผมนัดคิวดูหมอ หมอดูทำนายว่ายังไงก็ไม่ติดคุกเพราะว่ามองไม่เห็นเลยว่าจะติด แต่แปลกมันมีภาพมาลางๆ เห็นว่าวันเกิดในเดือนมกราคมที่จะมาถึงอยู่ในคุก แต่พื้นดวงคือไม่ติดคุกแน่ๆ
ยังไงก็ไม่ติดเชื่อหมอ
เอาหละ หมอดูที่ทำนายชีวิตมา 5 ปีไม่เคยทำนายพลาด สบายใจขึ้น คงไม่มีอะไรไม่ติดแน่นอน
เดินทางไปศาลในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
เข้าไปรายงานตัวที่อัยการจังหวัดเชียงใหม่ อัยการส่งฟ้องต่อศาล
จากอัยการก็มาที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่
รอศาลเรียก
ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ตอนนั้นเป็นเวลา 14:00 น. ผมเดินลงไปที่ใต้ศาล เพื่อรอเวลาขึ้นศาล ตอนนั้นยังเป็นช่วงที่โควิดระบาดโดยออกศาลผ่านวิดีโอไม่ได้ขึ้นไปบนบัลลังก์
บรรยากาศคุกใต้ศาลมันช่างน่ากลัวอากาศเย็นแปลกๆ แต่ด้วยทั้งหมอดูและทนายก็ค่อนข้างเป็นที่มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้
ภูมิเป็นจำเลยที่ 1 และผมเป็นจำเลยที่ 2
เวลา 15:30 น. ศาลเรียก ผมทั้งสองคนให้การปฏิเสธ ศาลไม่ได้คัดค้านการประกันตัวแต่ศาลขอให้เพิ่มหลักประกัน เป็นคนละ 200,000 บาท
จาก 15:30 น. และจะต้องทำการประกันก่อน 16:00 น.
ผมจะต้องหาเงินอีก 50,000 บาท ตอนนั้นผมตกใจมากทำอะไรไม่ถูกโทรศัพท์ก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะว่าอยู่ในห้องขังใต้ศาล แล้วเงินสดผมก็ไม่ได้มีเยอะสิ่งที่ทำได้คือการกดบัตรเครดิตกดเงินสดออกมา ใครล่ะ? จะไปกดให้ แต่ชีวิตเราไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ผมไม่ได้บอกญาติ และภูมิก็ไม่ได้มีพ่อแม่หรือญาติไปในวันนั้นเช่นกัน
ผมไม่รู้จะทำยังไงและผมก็ไม่รู้ว่าหากประกันตัวไม่ทันผมจะต้องไปอยู่ที่ไหน ยังไงต่อกับชีวิต และในที่สุดผมก็ไม่สามารถเตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวได้ทันเวลา ตำรวจบอกผมว่า ไม่เป็นไร ประกันพรุ้งนี้ก็ได้ ด้วยความเหนื่อยล้าตั้งแต่ 9 โมงเช้า และภูมิก็อยู่ด้วยกันผมก็ถอดใจที่จะวิ่งเต้นและคิดว่าเดี๋ยวพรุ้งนี้ค่อยว่ากัน
เอาล่ะ ชีวิตของผมจะเป็นยังไงบ้าง 17:30 น. เสียงคุณตำรวจเปิดประตูห้องขัง และให้ทุกคนเดินตามมา ขึ้นรถของเรือนจำ รวมกับผู้ต้องขังที่ออกศาลในวันนั้น ผมเริ่มใจไม่ดีไม่ยอมคุยกับใครเลย ภูมิจับมือผมไว้ตลอดและบอกกับผมว่า ไม่เป็นอะไรนะเราไปด้วยกันเราจะอยู่ด้วยกันเราจะไม่ทิ้งเธอ
ในใจคิด เอาว่ะ!!! ยังมีผู้ชายอยู่ข้างๆ หมอดูทำนายไว้ละ ยังไงก็ไม่เข้าคุก
พอไปถึงเรือนจำผมก็ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่ที่เขาเรียกว่าคุกจริงๆ ผมคิดว่าจะเหมือนสถานีตำรวจเราจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้เราจะสามารถติดต่อญาติได้
เมื่อรถผ่านประตูเหล็กและประตูเหล็กปิดอัตโนมัติ เจ้าหน้าที่เรือนจำให้ทุกคนลงจากรถ และให้ผู้ต้องขังเก่าที่ออกศาลแก้ผ้าแล้วก็ถอดตรวนที่เท้า ตอนนั้นจิตใจคือต่ำสุดๆ ว่าเราจะโดนแบบนั้นหรือเปล่า เราไม่สามารถทำได้แน่ๆ
และเมื่อผู้ต้องขังเก่า ถอดตรวนเสร็จ ก็ให้ผ่านประตูเหล็กอีกบานนึงเข้าไป
ทีนี้คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใครที่มีกระเป๋าเขาก็ให้นำเงินสดทั้งหมดและของมีค่าทั้งหมดออกมากองเอาไว้ตรงหน้า ของทุกชิ้นจะถูกฝากเอาไว้และเงินสด จะถูกฝากเข้าบัญชีชื่อของแต่ละคน เพื่อที่จะใช้แสกนซื้อของข้างใน
และเมื่อการฝากของและฝากเงิน เสร็จสิ้น สิ่งที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอในชีวิตก็มาถึง
เจ้าหน้าที่สั่งให้ทุกคนแก้ผ้าออกหมดไม่เหลือเลยสักชิ้นต่อหน้าทุกคนที่เข้าไปพร้อมกันเกือบ 20 คน ตอนนั้นผมอายมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ว่าจะรวยหรือจน จะเติบโตมาอย่างไร ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด ตอนที่เจ้าหน้าที่สั่งให้แก้ผ้าจิตใจแย่สุดๆ
ก็กั้นไจทำให้มันเสร็จเสร็จไป จากการตรวจร่างกายก็เดินไปเพื่อถ่ายรูปทำประวัติ ผู้ต้องขังใหม่
พอทำประวัติเสร็จสอบประวัติเสร็จ ก็พาเดินไปยังแดน 4
ไปยังห้องกักตัวที่จะต้องอยู่ในนี้เป็นเวลา 15 วัน
ก่อนที่จะขึ้นห้องทางเรือนจำจะแจกผ้า 3 ผืน โอ้โหกลิ่นของผ้าคือสำหรับเรารับไม่ได้จริงๆ กลิ่นมันแรงมาก
จากชีวิตนอนที่นอนปูด้วยท็อปเปอร์ขนห่านและหมอนขนเป็ด อะไรกันผมต้องปรับตัวยังไง
พอไปถึงห้องกักตัว ผ้า 3 ผืน
ผ้าผืนที่ 1 เอาไว้ปู
ผ้าผืนที่ 2 เอาไว้ห่ม
และผืนที่ 3 เอาไว้หนุนเป็นหมอน
คืนนั้นผมไม่คุยกับใครเลย ปรับตัวไม่ได้มีแต่ร้องไห้และคิดว่าทำไมหมอดูทำนายผิด และทำไมต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วย จิตตกฟุ้งซ่านสุดๆ
เช้าวันต่อมามีอาหารมาส่ง ผมกินเพียงข้าวหนึ่งช้อนและก็ไม่กินต่อ จากชีวิตที่กินอาการในห้าง หรือสั่งแกร๊ป ตัดบัตรเครดิต กินตามใจ ต้องมาเจอกับการกินข้าวในถุงร้อน ไม่มีถ้วย ไม่มีอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่ในห้องกัก กางถุงร้อนออกและใช้ช้อนตัก ทำไม่ได้จริงๆ พอผมไม่กินต่อ คนที่อยู่ในห้องก็มาขอแล้วก็เอาไปกิน ณ ตอนนั้นคือแบบ ฉันควรทำยังไงกับชีวิตติดต่อใครก็ไม่ได้โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้
งานจะเป็นยังไงลางานมาครึ่งวันแล้วหายไปเลย รถจอดอยู่ศาลจะเป็นยังไงบ้าง ก่อนเข้ามาไม่แจ้งใครเลยแม้แต่ครอบครัว คิดว่าจะไปจัดการด้วยตัวเองไม่กล้าบอกใครเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าบอกใครให้รู้ว่าเรามีคดีความ สังคมที่ทำงานออฟฟิต หากรู้คงเอาไปพูดลับหลังกันสนุกปาก....
อดทนดื่มเพียงน้ำเปล่า และน้ำเปล่าในคุกไม่ใช่น้ำเปล่าแบบที่ ทุกคนคิด จากชีวิตของผมซื้อน้ำกินเป็นแพคๆ การกินน้ำในคุกคือน้ำ จากก๊อกประปา กลิ่นแรงสุดๆ แต่ทำไงได้ ในห้องกัก ยังไงก็ต้องกิน ซื้ออะไรก็ไม่ได้
เวลาที่""เจ็บใจ"" ที่สุดในชีวิตก็มาถึง
เสียงประกาศดังขึ้น 17:30 น.
รายชื่อผู้ต้องขังปล่อยตัว
มีชื่อของแฟนผม
พ่อและแม่ภูมิทำการประกันตัวลูกของเขา
แต่ผมไม่มีใครไปเดินเรื่องประกันตัวให้เพราะไม่ได้บอกใครเอาไว้เลย
ผมเสียใจมาก ต้องอยู่ต่อเพียงลำพัง
ภูมิเดินมากอดผมแล้วบอกว่า เราจะช่วยเธอ จะไม่ทิ้งเธอ พรุ้งนี้เราจะไปเดินเรื่องที่ศาลประกันเธอ
เสียงประตูก็เปิดขึ้นและนำตัวผู้ที่ถูกประกันตัวออกจากห้องเพื่อไปเข้ากระบวนการปล่อยตัวต่อไป
เอาล่ะชีวิตยังไงต่อดี ---- ผมอยู่ในห้องกักตัวต่อเป็นเวลา 15 วัน ภูมิก็หายไปเลย (ตอนนั้นผมแค้นมาก) พอลง จากห้องกัก ก็จะไปอยู่ในแดนแรกรับ ผมต้องไปเจอคนมากหน้าหลายตา ตอนนั้นคือทำไมชีวิตถึงมาอยู่จุดนี้ได้คิดวนไปวนมา
ผมจะอยู่ยังไง และเจอรักแท้ รักที่ตามหาได้ยังไงมาต่อ EP.2 นะครับ #ชีวิตในเรือนจำ
มีใครติดตามอ่านบ้าง ขอคอมเม้นท์กำลังใจหน่อยครับ
EP.1 ครั้งหนึ่งในเรือนจำ ฉันได้พบรักที่ฉันตามหามาตลอด
ในเรือนจำหรือที่ใครๆเรียกว่า "คุก"
ก่อนที่จะเขียนกระทู้นี้ตัวผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ถูกฝากขังในเรือนจำเพราะว่าการที่ถูกฝากขังในครั้งนี้ผมได้เจอกับรักที่ตามหามาตลอด.....🙂
---EP.1---
ผมจะเล่าเริ่มจาก ชีวิตของผมก้าวเข้าสู่อายุ 27 ปี เป็นมนุษย์เงินเดือนทำงานในบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ใช้ชีวิตปกติทั่วไป จนค่ำคืนนึงไปเที่ยวกลางคืนพบเจอกับผู้ชายคนนึงชื่อว่า ภูมิ และนี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงชีวิตธรรมดาๆ ของผม
ผมกับภูมิแลก LINE กันในคืนนั้นและติดต่อพูดคุยนัดกันไปกินข้าวแล้วก็คบหากัน ใช้ชีวิตด้วยกันแบบคู่รักทั่วไป ผมSupport เขาเพราะเขาเป็นผู้ชาย ดูแลเขาและซื้อของให้เขาทุกอย่างที่เค้าอยากได้ (มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่ไปชอบผู้ชาย ก็ต้องใช้เงินซื้อความสุขเป็นธรรมดา)
ณ ตอนนั้น ไม่ได้คิดหรอกเค้าจะรักไม่รักแต่ได้เขาแล้วก็เปย์นิดนึง 555+ 😅
เวลาผ่านไป 1 ปี จากที่เป็นผู้ให้ ภูมิก็เริ่มมีของขวัญมาให้บ้าง จนกระทั่งวันครบรอบ 1 ปี ภูมิโอนเงินมาให้ และบอกกับผมว่าอยากซื้ออะไรก็ซื้อนะตัวเอง คือตอนนั้น รู้สึกดีใจสุดๆ (เขาเห็นฉันความสำคัญ) 😅😅
และหลังจากนั้น 6 เดือน ผมก็ได้รับหมายเรียกจากตำรวจ มีใจความว่า ภูมิแฟนเราขายของ ลูกค้าโอนเงินแต่ไม่ได้ส่งของให้ลูกค้า จำนวน 72,000 บาท และมีการสืบบัญชีว่าภูมิโอนเงินมาให้เราต่อ
เมื่อเราได้รับหมายเรียกจากทางตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจรีบติดต่อหาภูมิซึ่งภูมิบอกว่าไม่เป็นไรเราเคลียร์จัดการแล้วเดี๋ยวลูกค้าจะไปถอนแจ้งความ
ได้ฟังอย่างนั้นก็สบายใจ !!! แต่ความจริงแล้วภูมิปล่อยให้เรื่องนี้ เลยตามเลยและไม่ได้จัดการอย่างที่บอกกับผม
ภูมิคิดว่าคงไม่มีอะไร เดี๋ยวเรื่องก็คงเงียบไป ปรากฏว่าผู้เสียหาย ตามเรื่องกับทางตำรวจและยังมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เขารู้จักทำให้การไม่ไปรายงานตัวตามหมายเรียกตำรวจเลยออกหมายจับ (ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้ผมมาทราบทีหลัง)
ผมยังจำได้ดีวันนั้นวันที่ 22 กันยายน 2565
HR บริษัทที่ผมทำงาน *พอดีว่าผมสนิทกันเป็นการส่วนตัว* HR มาบอกผมว่า บริษัทมีการตรวจประวัติอาชญากรรมทุกปี และปรากฏว่าเธอมีหมายจับนะเธอรีบไปเคลียร์หมายและฉันจะได้ส่งรายงานได้ (ผมลืมบอกไปว่าบริษัททำเกี่ยวกับภาษีหากมีประวัติอาชญากรรมทางบริษัทจะไล่ออก HR จึงบอกเป็นการส่วนตัวและให้ไปจัดการให้เสร็จให้หมายนั้นถอนออกจากระบบไปเพื่อที่จะสามารถทำงานต่อไปได้ตามปกติ)
เมื่อผมรู้อย่างนั้นก็รีบไปที่สถานีตำรวจ พอไปถึงตำรวจ ประจำคดีก็ได้แจ้งผมว่าคุณไม่มาตามหมายเรียกไม่มาให้ปากคำ ก็ดำเนินการตามขั้นตอน เพราะผู้เสียหายก็ตามเรื่องมาตลอด (ตอนนั้นผมรู้สึกโกรธมากเพราะผมไม่รู้เรื่องเลย😡 โทรไปต่อว่าภูมิแฟนที่คบกัน แต่ก็ไม่ทำให้ได้ประโยชน์อะไร) คดีที่ถูกกล่าวหา คือคดีใหญ่มาก ฉ้อโกงประชาชนและนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ผมก็เลยสอบถามทางตำรวจว่าทำไมถึงเป็นคดีฉ้อโกงประชาชนทั้งๆที่ ภูมิเค้าไม่ได้ส่งของให้ลูกค้าเพียงคนเดียว
ตำรวจจึงตอบว่าผู้เสียหายแจ้งว่าโพสลงบนโซเชียล Facebook เปิดสาธารณะนั่นเป็นเหตุว่า มีผู้เห็นโพสต์ได้เป็นจำนวนมากจึงตั้งข้อหาเป็นการฉ้อโกงประชาชน
ณ ตอนนั้นผม อธิบายความรู้สึกไม่ถูกทั้งโกรธทั้งเครียดว่าตัวเองต้องมาเจอกับอะไร
ผมจึงทำประกันตัวชั้นโรงพักด้วยเงินสด 150,000 บาท
และในวันที่ 15 ตุลาคม ตำรวจส่งฟ้องอัยการ ผมทำการประกันตัวชั้นอัยการต่อด้วยหลักประกันเดิม
อัยการนัดส่งฟ้องต่อศาล ในวันที่ 30 พฤษจิกายน 2565
เวลาก็ผ่านไปไวมากๆ (ขอแจ้งก่อนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นผมก็ไม่ได้แจ้งให้กับทางครอบครัวทราบเพราะคิดว่าจะสามารถจัดการได้เอง)
ตอนนั้นคือเครียดมากปรึกษาทนายความและก็ได้คำตอบว่าไม่เป็นอะไรอัยการฟ้องต่อศาลก็ให้การปฏิเสธและก็ประกันตัวด้วยหลักทรัพย์เดิม เราประกันตัวมาตลอดตั้งแต่ชั้นโรงพัก ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ยังไงศาลก็ให้ประกันตัว พอผมได้ยินอย่างนั้นก็สบายใจขึ้นมาบ้าง
และวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 ก็มาถึง
วันนั้นผมใส่เสื้อสีขาวกางเกงสีขาวตามที่หมอดูบอก
**ขอเล่าเรื่องหมอดูสักนิดนึงนะครับ**
(โดยส่วนตัวก็ไม่ได้เชื่อหมอดูสักเท่าไหร่แต่หมอดูท่านนี้เป็นหมอดูที่ทำนายชีวิตของผมมา 5 ปี และก็ไม่เคยมีอะไรที่ไม่เกิดขึ้นตามที่หมอดูได้ทำนายเลย #หมอดูแม่นสุดๆ และหมอดูท่านนี้ก็ยังเป็นหมอดูท่านเดียวกับที่เปลี่ยนชื่อและนามสกุลให้กับผม ซึ่งหลังจากที่หมอดูเปลี่ยนชื่อและนามสกุลชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในด้านที่ดี การเงิน เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างชัดเจนจากที่ไม่เคยจับเงิน 100,000 เงิน 1,000,000 ผมก็ได้จับและได้สัมผัสกับการมีชีวิตของการมีเงิน การงานที่ดีหาเงินได้ง่าย อะไรอะไรมันเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีหมด ทำให้ผมเชื่อในหมอดูท่านนี้มาก)
โดยวันที่ 29 พฤศจิกายน 2565 ผมนัดคิวดูหมอ หมอดูทำนายว่ายังไงก็ไม่ติดคุกเพราะว่ามองไม่เห็นเลยว่าจะติด แต่แปลกมันมีภาพมาลางๆ เห็นว่าวันเกิดในเดือนมกราคมที่จะมาถึงอยู่ในคุก แต่พื้นดวงคือไม่ติดคุกแน่ๆ
ยังไงก็ไม่ติดเชื่อหมอ
เอาหละ หมอดูที่ทำนายชีวิตมา 5 ปีไม่เคยทำนายพลาด สบายใจขึ้น คงไม่มีอะไรไม่ติดแน่นอน
เดินทางไปศาลในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565
เข้าไปรายงานตัวที่อัยการจังหวัดเชียงใหม่ อัยการส่งฟ้องต่อศาล
จากอัยการก็มาที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่
รอศาลเรียก
ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี ตอนนั้นเป็นเวลา 14:00 น. ผมเดินลงไปที่ใต้ศาล เพื่อรอเวลาขึ้นศาล ตอนนั้นยังเป็นช่วงที่โควิดระบาดโดยออกศาลผ่านวิดีโอไม่ได้ขึ้นไปบนบัลลังก์
บรรยากาศคุกใต้ศาลมันช่างน่ากลัวอากาศเย็นแปลกๆ แต่ด้วยทั้งหมอดูและทนายก็ค่อนข้างเป็นที่มั่นใจว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันนี้
ภูมิเป็นจำเลยที่ 1 และผมเป็นจำเลยที่ 2
เวลา 15:30 น. ศาลเรียก ผมทั้งสองคนให้การปฏิเสธ ศาลไม่ได้คัดค้านการประกันตัวแต่ศาลขอให้เพิ่มหลักประกัน เป็นคนละ 200,000 บาท
จาก 15:30 น. และจะต้องทำการประกันก่อน 16:00 น.
ผมจะต้องหาเงินอีก 50,000 บาท ตอนนั้นผมตกใจมากทำอะไรไม่ถูกโทรศัพท์ก็ไม่สามารถใช้ได้เพราะว่าอยู่ในห้องขังใต้ศาล แล้วเงินสดผมก็ไม่ได้มีเยอะสิ่งที่ทำได้คือการกดบัตรเครดิตกดเงินสดออกมา ใครล่ะ? จะไปกดให้ แต่ชีวิตเราไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ผมไม่ได้บอกญาติ และภูมิก็ไม่ได้มีพ่อแม่หรือญาติไปในวันนั้นเช่นกัน
ผมไม่รู้จะทำยังไงและผมก็ไม่รู้ว่าหากประกันตัวไม่ทันผมจะต้องไปอยู่ที่ไหน ยังไงต่อกับชีวิต และในที่สุดผมก็ไม่สามารถเตรียมหลักทรัพย์ประกันตัวได้ทันเวลา ตำรวจบอกผมว่า ไม่เป็นไร ประกันพรุ้งนี้ก็ได้ ด้วยความเหนื่อยล้าตั้งแต่ 9 โมงเช้า และภูมิก็อยู่ด้วยกันผมก็ถอดใจที่จะวิ่งเต้นและคิดว่าเดี๋ยวพรุ้งนี้ค่อยว่ากัน
เอาล่ะ ชีวิตของผมจะเป็นยังไงบ้าง 17:30 น. เสียงคุณตำรวจเปิดประตูห้องขัง และให้ทุกคนเดินตามมา ขึ้นรถของเรือนจำ รวมกับผู้ต้องขังที่ออกศาลในวันนั้น ผมเริ่มใจไม่ดีไม่ยอมคุยกับใครเลย ภูมิจับมือผมไว้ตลอดและบอกกับผมว่า ไม่เป็นอะไรนะเราไปด้วยกันเราจะอยู่ด้วยกันเราจะไม่ทิ้งเธอ
ในใจคิด เอาว่ะ!!! ยังมีผู้ชายอยู่ข้างๆ หมอดูทำนายไว้ละ ยังไงก็ไม่เข้าคุก
พอไปถึงเรือนจำผมก็ไม่รู้ว่ามันคือสถานที่ที่เขาเรียกว่าคุกจริงๆ ผมคิดว่าจะเหมือนสถานีตำรวจเราจะสามารถใช้โทรศัพท์ได้เราจะสามารถติดต่อญาติได้
เมื่อรถผ่านประตูเหล็กและประตูเหล็กปิดอัตโนมัติ เจ้าหน้าที่เรือนจำให้ทุกคนลงจากรถ และให้ผู้ต้องขังเก่าที่ออกศาลแก้ผ้าแล้วก็ถอดตรวนที่เท้า ตอนนั้นจิตใจคือต่ำสุดๆ ว่าเราจะโดนแบบนั้นหรือเปล่า เราไม่สามารถทำได้แน่ๆ
และเมื่อผู้ต้องขังเก่า ถอดตรวนเสร็จ ก็ให้ผ่านประตูเหล็กอีกบานนึงเข้าไป
ทีนี้คนใหม่ที่เพิ่งเข้ามาใครที่มีกระเป๋าเขาก็ให้นำเงินสดทั้งหมดและของมีค่าทั้งหมดออกมากองเอาไว้ตรงหน้า ของทุกชิ้นจะถูกฝากเอาไว้และเงินสด จะถูกฝากเข้าบัญชีชื่อของแต่ละคน เพื่อที่จะใช้แสกนซื้อของข้างใน
และเมื่อการฝากของและฝากเงิน เสร็จสิ้น สิ่งที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอในชีวิตก็มาถึง
เจ้าหน้าที่สั่งให้ทุกคนแก้ผ้าออกหมดไม่เหลือเลยสักชิ้นต่อหน้าทุกคนที่เข้าไปพร้อมกันเกือบ 20 คน ตอนนั้นผมอายมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นไม่ว่าจะรวยหรือจน จะเติบโตมาอย่างไร ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด ตอนที่เจ้าหน้าที่สั่งให้แก้ผ้าจิตใจแย่สุดๆ
ก็กั้นไจทำให้มันเสร็จเสร็จไป จากการตรวจร่างกายก็เดินไปเพื่อถ่ายรูปทำประวัติ ผู้ต้องขังใหม่
พอทำประวัติเสร็จสอบประวัติเสร็จ ก็พาเดินไปยังแดน 4
ไปยังห้องกักตัวที่จะต้องอยู่ในนี้เป็นเวลา 15 วัน
ก่อนที่จะขึ้นห้องทางเรือนจำจะแจกผ้า 3 ผืน โอ้โหกลิ่นของผ้าคือสำหรับเรารับไม่ได้จริงๆ กลิ่นมันแรงมาก
จากชีวิตนอนที่นอนปูด้วยท็อปเปอร์ขนห่านและหมอนขนเป็ด อะไรกันผมต้องปรับตัวยังไง
พอไปถึงห้องกักตัว ผ้า 3 ผืน
ผ้าผืนที่ 1 เอาไว้ปู
ผ้าผืนที่ 2 เอาไว้ห่ม
และผืนที่ 3 เอาไว้หนุนเป็นหมอน
คืนนั้นผมไม่คุยกับใครเลย ปรับตัวไม่ได้มีแต่ร้องไห้และคิดว่าทำไมหมอดูทำนายผิด และทำไมต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้ด้วย จิตตกฟุ้งซ่านสุดๆ
เช้าวันต่อมามีอาหารมาส่ง ผมกินเพียงข้าวหนึ่งช้อนและก็ไม่กินต่อ จากชีวิตที่กินอาการในห้าง หรือสั่งแกร๊ป ตัดบัตรเครดิต กินตามใจ ต้องมาเจอกับการกินข้าวในถุงร้อน ไม่มีถ้วย ไม่มีอะไรทั้งนั้น ตอนอยู่ในห้องกัก กางถุงร้อนออกและใช้ช้อนตัก ทำไม่ได้จริงๆ พอผมไม่กินต่อ คนที่อยู่ในห้องก็มาขอแล้วก็เอาไปกิน ณ ตอนนั้นคือแบบ ฉันควรทำยังไงกับชีวิตติดต่อใครก็ไม่ได้โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้
งานจะเป็นยังไงลางานมาครึ่งวันแล้วหายไปเลย รถจอดอยู่ศาลจะเป็นยังไงบ้าง ก่อนเข้ามาไม่แจ้งใครเลยแม้แต่ครอบครัว คิดว่าจะไปจัดการด้วยตัวเองไม่กล้าบอกใครเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าบอกใครให้รู้ว่าเรามีคดีความ สังคมที่ทำงานออฟฟิต หากรู้คงเอาไปพูดลับหลังกันสนุกปาก....
อดทนดื่มเพียงน้ำเปล่า และน้ำเปล่าในคุกไม่ใช่น้ำเปล่าแบบที่ ทุกคนคิด จากชีวิตของผมซื้อน้ำกินเป็นแพคๆ การกินน้ำในคุกคือน้ำ จากก๊อกประปา กลิ่นแรงสุดๆ แต่ทำไงได้ ในห้องกัก ยังไงก็ต้องกิน ซื้ออะไรก็ไม่ได้
เวลาที่""เจ็บใจ"" ที่สุดในชีวิตก็มาถึง
เสียงประกาศดังขึ้น 17:30 น.
รายชื่อผู้ต้องขังปล่อยตัว
มีชื่อของแฟนผม
พ่อและแม่ภูมิทำการประกันตัวลูกของเขา
แต่ผมไม่มีใครไปเดินเรื่องประกันตัวให้เพราะไม่ได้บอกใครเอาไว้เลย
ผมเสียใจมาก ต้องอยู่ต่อเพียงลำพัง
ภูมิเดินมากอดผมแล้วบอกว่า เราจะช่วยเธอ จะไม่ทิ้งเธอ พรุ้งนี้เราจะไปเดินเรื่องที่ศาลประกันเธอ
เสียงประตูก็เปิดขึ้นและนำตัวผู้ที่ถูกประกันตัวออกจากห้องเพื่อไปเข้ากระบวนการปล่อยตัวต่อไป
เอาล่ะชีวิตยังไงต่อดี ---- ผมอยู่ในห้องกักตัวต่อเป็นเวลา 15 วัน ภูมิก็หายไปเลย (ตอนนั้นผมแค้นมาก) พอลง จากห้องกัก ก็จะไปอยู่ในแดนแรกรับ ผมต้องไปเจอคนมากหน้าหลายตา ตอนนั้นคือทำไมชีวิตถึงมาอยู่จุดนี้ได้คิดวนไปวนมา
ผมจะอยู่ยังไง และเจอรักแท้ รักที่ตามหาได้ยังไงมาต่อ EP.2 นะครับ #ชีวิตในเรือนจำ
มีใครติดตามอ่านบ้าง ขอคอมเม้นท์กำลังใจหน่อยครับ