ศิโรตม์ แฉเบื้องหลังขวางพิธานายกฯไม่ใช่112 แต่ใหญ่กว่านั้น อ่านเกมเสรีพิศุทธ์
https://www.matichon.co.th/clips/news_4083167
รายการ มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ EP 6 : ศิโรตม์ แฉเบื้องหลังขวางพิธาเป็นนายกฯ ไม่ใช่ มาตรา 112 แต่เป็น ใบสั่งจากผู้มีอำนาจ ถึง ส.ว. ปกป้องรักษาอำนาจ และกลุ่มทุนผูกขาด
พิธา ไม่ได้ถอย แต่เปิดเกมรุกกลับ อ่านใจ
เสรีพิศุทธ์ ให้ พิธาเสียสละ
อดีตแกนนำพธม. ตอกย้ำเหตุ ตั้งเป้า ‘ทำลายก้าวไกล’ เพราะหวาดผวา จะไปแฉเนื้อแท้ ‘พรรคนายทุน-ขรก.’ ?
อดีตแกนนำพธม. ลั่น นิติประหาร ยุคนี้หนักกว่า – ตั้งเป้าหมายทำลาย ก.ก. ตอกย้ำ ‘ชนชั้นนำ’ หวาดผวา เพราะเปิดเนื้อแท้พรรคนายทุน-ขรก.
สืบเนื่องจากวันที่ 16 กรกฏาคม ที่ผ่านมา นาย
อมร อมรรัตนานนท์ อดีตแกนนำแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้เข้าร่วมกิจกรรม แถลงการณ์ วิพากษ์สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ผ่านช่องทาง Live Voice TV ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ในตอนหนึ่ง นาย
อมร ได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ความว่า ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้มาในฐานนะองค์กรใด จะพูดถึงประสบการณ์และความเป็นตัวตนของตัวเอง ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองเมื่อปี 2516 ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
“
ขณะนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของการเมืองไทยที่ทำให้คนหนุ่มสาวในยุคนั้นได้ตื่นตัวทางการเมืองมาปกป้องสิทธิเสรีภาพ เรียกร้องต้องการสิ่งที่เขามีความฝัน ระยะต้น 14 ตุลาคม ประชาชนไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย เราต้องการแค่กฎหมายรัฐธรรมนูญ และความชอบธรรม ให้หลักประกันของคนเล็กคนน้อย เจตนารมณ์ 14 ตุลาคม ไม่ใช่เจตนารมณ์ของนิสิตนักศึกษาเท่านั้น แต่เป็นเจตนารมณ์ของชาวไร่ชาวนา หรือกรรมกรผู้ใช้แรงงาน อยู่ในชาวนา เจตนารมณ์นั้นคือต้องการความเป็นธรรม ต้องสิทธิเสรีภาพ ต้องการความเสมอภาค ต้องการภราดรภาพ” นายอมรเผย
นายอมรกล่าวถึงช่วงเวลา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา โครงสร้างของสังคมไทยยังถูกผูกขาดอยู่กับอำนาจรัฐที่ถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่กลุ่ม กลุ่มที่แข็งแกร่งมาก คือบรรดาพรรคข้าราชการ หรือระบบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งสนับสนุน ส่งเสริมกระบวนการทุนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พัฒนามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ อาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเรา เป็นประเทศทุนเต็มตัวและเป็นทุนนิยมผูกขาด เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ออกดอกผลในประชาธิปไตย จึงมีรากลงลึกในสังคมไทยด้วยระยะเวลาสั้นมาก จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 2519 กระบวนการที่กลุ่มผู้ถือครองอำนาจรัฐนั้นต้องการหยุดกระบวนการของประชาชนที่จะทำให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์
“
รัฐธรรมนูญปี 2518 ที่เกิดขึ้นจากเจตนารมณ์ของประชาชนได้ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดฉบับหนึ่ง ได้เปิดพื้นที่ในการก่อเกิดของพรรคการเมืองที่ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะกลุ่มทุนในปัจจุบันเท่านั้น เหตุการณ์ปี 2518 เราได้เห็นพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย เราได้เห็นพรรคแนวรวมสังคมนิยมแห่งประเทศไทย เราได้เห็นพรรคพลังใหม่ ซึ่งเกิดจากคนที่รักชาติรักประชาธิปไตย เป็นกระบวนการนิสิตนักศึกษาที่ร่วมกันก่อเกิด องค์กรทางการเมืองเพื่อต่อสู้และสถาปนาให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่องค์กรเหล่านั้นถูกทำลายลงไป พร้อมกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ทั้งที่นักศึกษาก็ตัดสินต่อสู้ด้วยอาวุธในระยะหนึ่ง”
นาย
อมรกล่าวต่อว่า ฉะนั้น เหตุการณ์ในวันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พิสูจน์ในทุกสังคมต้องตระหนักรู้ไว้ว่า บ้านเมืองเราจะถูกคลุมด้วยกลุ่มทุน และกลุ่มข้าราชการอย่างแข็งแกร่งและแข็งแรงมาก
“
ฉะนั้น จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับเนื้อหาสาระจะดีอย่างไรแค่ไหน แต่ที่สุดเมื่อเกิดความเห็นต่าง จะมีความเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ฉีกมันลงไปด้วยกระบวนการนิติสงคราม และไม่ใช่กระบวนการที่พึ่งเกิดขึ้น ในวันนี้มันหนักกว่านิติสงคราม มันเป็นนิติประหาร หลังรัฐธรรมนูญปี 60 เราเห็นได้ชัดเลยว่ากลไกลองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ หลายๆ ส่วนในวันนี้ ใช้บทบัญญติทางนิติบัญญติ หรือกฎหมาย กระทำการประหารคนที่เห็นต่าง ในสิ่งที่เราเห็นคือการจับกลุ่มต่างๆ และไม่ให้สิทธิประกันตัว เป็นเรื่องที่มันไม่ควรเกิดขึ้น และเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากในสังคมโลก
วันนี้จึงเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า กระบวนการเติบโตของพรรคหนุ่มสร้างเติบโตมาเป็นพรรคการเมือง ณ ปัจจุบันคือ พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นเป้าหมายในการทำลาย ของกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐ พรรคนี้เกิดจากคนหนุ่มสาวที่เห็นถึงปัญหาที่หวังเปลี่ยนแปลงสังคม การนำเสนอนโยบายพรรคก้าวไกลในวันนี้ จึงมีความชัดเจนและลักษณะเด่นว่าอยากที่จะเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง ซึ่งการนำเสนอนโยบายเช่นนี้ทำให้กลุ่มพรรคการเมืองในประเทศไทยเกิดหวาดผวา เพราะว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคเกิดจากกลุ่มทุนทั้งหมด เนื้อแท้ของพรรคการเมืองในสังคมไทยเป็นพรรคการเมืองที่เป็น ตัวแทนของทุน และมีส่วนสำคัญในการดำรงอยู่กับพรรคของข้าราชการ” นายอมรกล่าว
‘ทนายรัชพล’ มาแล้ว ใครถูก ส.ว.ฟ้อง ยินดีช่วย แนะกินเงินเดือน ปชช. ควรถูกวิจารณ์ได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_4083931
‘ทนายรัชพล’ ยื่นมือช่วย ใครถูก ส.ว.ฟ้องคดี ติดต่อได้เลย แนะกินเงินเดือน ปชช. ไม่ควรใช้กฎหมายปิดปาก ยกข้อ กม.ย้ำ แสดงความเห็นด้วยความเป็นธรรม ไม่ผิดหมิ่นประมาท
จากกรณีที่โลกโซเชียลโพสต์ภาพและข้อความโจมตีและแบนธุรกิจของบรรดา สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) รวมถึงคนในครอบครัวของ ส.ว. ที่ลงคะแนนไม่เห็นชอบและงดออกเสียงให้กับ นาย
พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม
เบื้องต้น นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ได้แจ้งข้อความผ่านกลุ่ม ส.ว.ว่า พี่ๆ ส.ว.ท่านใดที่ท่านและครอบครัวได้รับการคุกคามด้วยการเขียนพูด พิมพ์โฆษณา หรือด้วยวิธีอื่นใด ทั้งทางสื่อมวลชนและสื่อโซเชียลขอให้ ส.ว.ทุกท่านและครอบครัวรวบรวมข้อมูลหลักฐานทุกอย่างและนำมาพบเจ้าหน้าที่หน้าห้องประชุมวุฒิสภา เวลา 10.00 น. (17 ก.ค.) จะมีการจัดห้องประชุมเพื่อให้คำปรึกษาช่วยตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานสาวถึงตัวผู้กระทำผิดกฎหมายทุกรายต่อไป โดยนักกฎหมายและทนายความที่รวมทีมเพื่อดูแลดำเนินคดีให้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นาย
รัชพล ศิริสาคร ทนายความ ระบุทางเฟซบุ๊ก ทนาย
รัชพล ศิริสาคร แสดงเจตจำนงพร้อมช่วยเหลือประชาชนที่จะถูก ส.ว.ฟ้องคดี โดยระบุว่า
ใครถูก ส.ว.ฟ้อง ทนายรัชพล ศิริสาคร ยินดีช่วยเหลือ
ส.ว.ทำงานกินเงินเดือนของประชาชน ดังนั้น การทำงานของ ส.ว.ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่ใช่เอาแต่กฎหมายมาปิดปากประชาชน เป็น ส.ว.คือการเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้ายังไม่เข้าใจบทบาทของตัวเองก็ควรจะลาออกไปทำอย่างอื่น
สำหรับประชาชนที่แสดงความคิดเห็น ติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถกระทำได้ ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย ใครที่โดน ส.ว.ฟ้องจากการติชมวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ทนายรัชพล ศิริสาคร ยินดีให้ความช่วยเหลือ โทร/ไลน์ 09-5756-3521
ข้อกฎหมายที่ควรรู้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) ผู้ใดแสดงความคิดเห็น หรือข้อความใดโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
JJNY : ศิโรตม์แฉเบื้องหลังขวางพิธา│อดีตแกนนำพธม.ตอกย้ำเหตุ│‘ทนายรัชพล’ ถูกส.ว.ฟ้องยินดีช่วย│ไข่ราคาพุ่ง!แม่ค้าข้าวแกงโอด
https://www.matichon.co.th/clips/news_4083167
รายการ มีเรื่องมาเคลียร์ by ศิโรตม์ EP 6 : ศิโรตม์ แฉเบื้องหลังขวางพิธาเป็นนายกฯ ไม่ใช่ มาตรา 112 แต่เป็น ใบสั่งจากผู้มีอำนาจ ถึง ส.ว. ปกป้องรักษาอำนาจ และกลุ่มทุนผูกขาด พิธา ไม่ได้ถอย แต่เปิดเกมรุกกลับ อ่านใจ เสรีพิศุทธ์ ให้ พิธาเสียสละ
สืบเนื่องจากวันที่ 16 กรกฏาคม ที่ผ่านมา นายอมร อมรรัตนานนท์ อดีตแกนนำแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ได้เข้าร่วมกิจกรรม แถลงการณ์ วิพากษ์สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จากคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ผ่านช่องทาง Live Voice TV ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
ในตอนหนึ่ง นายอมร ได้วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ความว่า ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ได้มาในฐานนะองค์กรใด จะพูดถึงประสบการณ์และความเป็นตัวตนของตัวเอง ณ สถานที่แห่งนี้ เป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองเมื่อปี 2516 ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม
“ขณะนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของการเมืองไทยที่ทำให้คนหนุ่มสาวในยุคนั้นได้ตื่นตัวทางการเมืองมาปกป้องสิทธิเสรีภาพ เรียกร้องต้องการสิ่งที่เขามีความฝัน ระยะต้น 14 ตุลาคม ประชาชนไม่ได้เรียกร้องอะไรเลย เราต้องการแค่กฎหมายรัฐธรรมนูญ และความชอบธรรม ให้หลักประกันของคนเล็กคนน้อย เจตนารมณ์ 14 ตุลาคม ไม่ใช่เจตนารมณ์ของนิสิตนักศึกษาเท่านั้น แต่เป็นเจตนารมณ์ของชาวไร่ชาวนา หรือกรรมกรผู้ใช้แรงงาน อยู่ในชาวนา เจตนารมณ์นั้นคือต้องการความเป็นธรรม ต้องสิทธิเสรีภาพ ต้องการความเสมอภาค ต้องการภราดรภาพ” นายอมรเผย
นายอมรกล่าวถึงช่วงเวลา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.2475 เป็นต้นมา โครงสร้างของสังคมไทยยังถูกผูกขาดอยู่กับอำนาจรัฐที่ถูกผูกขาดโดยคนไม่กี่กลุ่ม กลุ่มที่แข็งแกร่งมาก คือบรรดาพรรคข้าราชการ หรือระบบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งสนับสนุน ส่งเสริมกระบวนการทุนที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พัฒนามาตั้งแต่ตัวเล็กๆ อาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยเรา เป็นประเทศทุนเต็มตัวและเป็นทุนนิยมผูกขาด เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนผ่านทางการเมืองในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ออกดอกผลในประชาธิปไตย จึงมีรากลงลึกในสังคมไทยด้วยระยะเวลาสั้นมาก จนถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ปี 2519 กระบวนการที่กลุ่มผู้ถือครองอำนาจรัฐนั้นต้องการหยุดกระบวนการของประชาชนที่จะทำให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์
“รัฐธรรมนูญปี 2518 ที่เกิดขึ้นจากเจตนารมณ์ของประชาชนได้ให้สิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ดีที่สุดฉบับหนึ่ง ได้เปิดพื้นที่ในการก่อเกิดของพรรคการเมืองที่ไม่ได้ผูกขาดเฉพาะกลุ่มทุนในปัจจุบันเท่านั้น เหตุการณ์ปี 2518 เราได้เห็นพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย เราได้เห็นพรรคแนวรวมสังคมนิยมแห่งประเทศไทย เราได้เห็นพรรคพลังใหม่ ซึ่งเกิดจากคนที่รักชาติรักประชาธิปไตย เป็นกระบวนการนิสิตนักศึกษาที่ร่วมกันก่อเกิด องค์กรทางการเมืองเพื่อต่อสู้และสถาปนาให้เกิดประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แต่องค์กรเหล่านั้นถูกทำลายลงไป พร้อมกับเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ทั้งที่นักศึกษาก็ตัดสินต่อสู้ด้วยอาวุธในระยะหนึ่ง”
นายอมรกล่าวต่อว่า ฉะนั้น เหตุการณ์ในวันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พิสูจน์ในทุกสังคมต้องตระหนักรู้ไว้ว่า บ้านเมืองเราจะถูกคลุมด้วยกลุ่มทุน และกลุ่มข้าราชการอย่างแข็งแกร่งและแข็งแรงมาก
“ฉะนั้น จะเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับเนื้อหาสาระจะดีอย่างไรแค่ไหน แต่ที่สุดเมื่อเกิดความเห็นต่าง จะมีความเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็ฉีกมันลงไปด้วยกระบวนการนิติสงคราม และไม่ใช่กระบวนการที่พึ่งเกิดขึ้น ในวันนี้มันหนักกว่านิติสงคราม มันเป็นนิติประหาร หลังรัฐธรรมนูญปี 60 เราเห็นได้ชัดเลยว่ากลไกลองค์กร ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระ หลายๆ ส่วนในวันนี้ ใช้บทบัญญติทางนิติบัญญติ หรือกฎหมาย กระทำการประหารคนที่เห็นต่าง ในสิ่งที่เราเห็นคือการจับกลุ่มต่างๆ และไม่ให้สิทธิประกันตัว เป็นเรื่องที่มันไม่ควรเกิดขึ้น และเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมากในสังคมโลก
วันนี้จึงเป็นการตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า กระบวนการเติบโตของพรรคหนุ่มสร้างเติบโตมาเป็นพรรคการเมือง ณ ปัจจุบันคือ พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นเป้าหมายในการทำลาย ของกลุ่มผู้มีอำนาจรัฐ พรรคนี้เกิดจากคนหนุ่มสาวที่เห็นถึงปัญหาที่หวังเปลี่ยนแปลงสังคม การนำเสนอนโยบายพรรคก้าวไกลในวันนี้ จึงมีความชัดเจนและลักษณะเด่นว่าอยากที่จะเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง ซึ่งการนำเสนอนโยบายเช่นนี้ทำให้กลุ่มพรรคการเมืองในประเทศไทยเกิดหวาดผวา เพราะว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคเกิดจากกลุ่มทุนทั้งหมด เนื้อแท้ของพรรคการเมืองในสังคมไทยเป็นพรรคการเมืองที่เป็น ตัวแทนของทุน และมีส่วนสำคัญในการดำรงอยู่กับพรรคของข้าราชการ” นายอมรกล่าว
https://www.matichon.co.th/politics/news_4083931
‘ทนายรัชพล’ ยื่นมือช่วย ใครถูก ส.ว.ฟ้องคดี ติดต่อได้เลย แนะกินเงินเดือน ปชช. ไม่ควรใช้กฎหมายปิดปาก ยกข้อ กม.ย้ำ แสดงความเห็นด้วยความเป็นธรรม ไม่ผิดหมิ่นประมาท
จากกรณีที่โลกโซเชียลโพสต์ภาพและข้อความโจมตีและแบนธุรกิจของบรรดา สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) รวมถึงคนในครอบครัวของ ส.ว. ที่ลงคะแนนไม่เห็นชอบและงดออกเสียงให้กับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ในการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกฯ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม
เบื้องต้น นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ได้แจ้งข้อความผ่านกลุ่ม ส.ว.ว่า พี่ๆ ส.ว.ท่านใดที่ท่านและครอบครัวได้รับการคุกคามด้วยการเขียนพูด พิมพ์โฆษณา หรือด้วยวิธีอื่นใด ทั้งทางสื่อมวลชนและสื่อโซเชียลขอให้ ส.ว.ทุกท่านและครอบครัวรวบรวมข้อมูลหลักฐานทุกอย่างและนำมาพบเจ้าหน้าที่หน้าห้องประชุมวุฒิสภา เวลา 10.00 น. (17 ก.ค.) จะมีการจัดห้องประชุมเพื่อให้คำปรึกษาช่วยตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานสาวถึงตัวผู้กระทำผิดกฎหมายทุกรายต่อไป โดยนักกฎหมายและทนายความที่รวมทีมเพื่อดูแลดำเนินคดีให้
ล่าสุด เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นายรัชพล ศิริสาคร ทนายความ ระบุทางเฟซบุ๊ก ทนายรัชพล ศิริสาคร แสดงเจตจำนงพร้อมช่วยเหลือประชาชนที่จะถูก ส.ว.ฟ้องคดี โดยระบุว่า
ใครถูก ส.ว.ฟ้อง ทนายรัชพล ศิริสาคร ยินดีช่วยเหลือ
ส.ว.ทำงานกินเงินเดือนของประชาชน ดังนั้น การทำงานของ ส.ว.ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ไม่ใช่เอาแต่กฎหมายมาปิดปากประชาชน เป็น ส.ว.คือการเป็นบุคคลสาธารณะ ถ้ายังไม่เข้าใจบทบาทของตัวเองก็ควรจะลาออกไปทำอย่างอื่น
สำหรับประชาชนที่แสดงความคิดเห็น ติชมด้วยความเป็นธรรม เป็นเรื่องที่ประชาชนสามารถกระทำได้ ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย ใครที่โดน ส.ว.ฟ้องจากการติชมวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริต ทนายรัชพล ศิริสาคร ยินดีให้ความช่วยเหลือ โทร/ไลน์ 09-5756-3521
ข้อกฎหมายที่ควรรู้
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329 (3) ผู้ใดแสดงความคิดเห็น หรือข้อความใดโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท