JJNY : ‘ชัชชาติ’ แถลงผลงาน1ปี│‘เศรษฐา’ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์│ห่วง!! 19 อุตฯ ออเดอร์ร่วง│รัสเซียถล่มบ้านเกิด“เซเลนสกี”

‘ชัชชาติ’ แถลงผลงาน1ปี ให้คะแนนตัวเอง 5 เต็ม 10 เผยขับเคลื่อนแล้ว 211 นโยบาย ลุยต่อบิ๊กโปรเจ็กต์
https://www.matichon.co.th/local/news_4027894
 
 
ชัชชาติแถลงผลงาน 1 ปี ให้คะแนนตัวเอง 5 เต็ม 10 เผยขับเคลื่อนแล้ว 211 นโยบาย แก้ร้องเรียน 2 แสนเรื่อง ลุยต่อบิ๊กโปรเจ็กต์
 
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน ที่ห้องรัตนโกสินทร์ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) พร้อมด้วยผู้บริหาร กทม. จัดแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี 365 วัน ทำงาน ทำงาน ทำงาน กรุงเทพฯ นายชัชชาติกล่าวว่า แรงขับเคลื่อนการทำงานรอบปีที่ผ่านมา คือ 1.ผลักดันโครงการขนาดใหญ่เชื่อมโยงการพัฒนาเส้นเลือดฝอย 2.เปลี่ยนวิธีคิดการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง ไม่ต้องคอยตามผู้ว่าฯ 3.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยใช้เทคโนโลยีและข้อมูล แต่ต้องนำมาตอบโจทย์ประชาชน 4.สร้างความโปร่งใสในการทำงาน และ 5.ร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนเมือง

นายชัชชาติกล่าวต่อว่าสำหรับนโยบาย 216 ตัว เพิ่มเป็น 226 ตัว แบ่งเป็นทำแล้ว 211 ตัว ยังไม่ดำเนินการ 11 ตัว เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจเมือง ยุติการดำเนินการ 4 ตัว ที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น ห้องให้นมเด็ก, ห้องสมุดรถยนต์ เปลี่ยนเป็น ห้องสมุดออนไลน์แทน ในช่วงปีแรกเป็นช่วงการทำแซนด์บ็อกซ์ โปรโตไทป์ เพื่อทดสอบแนวคิดในมิติสาธารณสุข การศึกษา เราไม่สามารถนำนโยบายไปปฏิบัติทั้งหมดในกรุงเทพฯได้ ถ้ามีความผิดพลาดจะเกิดผลกระทบรุนแรง เช่น ราชพิพัฒน์โมเดล เมื่อสำเร็จในปีที่ 2-3 จะขยายไปยังจุดอื่นๆ เช่น Bangkok Health Zoning โครงการขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินการอยู่ เช่น โครงการปรับปรุง รพ.กลาง 4,000 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน 4,925.67 ล้านบาท, โครงการขยายถนนรามคำแหง 24 และปรับปรุงถนนหัวหมาก 729.78 ล้านบาท, โครงการส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว บางหว้า-ตลิ่งชัน 14,804 ล้านบาท, โครงการก่อสร้างเตาเผาขยะ 4,410 ล้านบาท เป็นต้น
 
นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี อาทิ ด้านปลอดภัยดี แก้ปัญหาไฟฟ้าดับ 28,000 ดวง เปลี่ยนเป็นหลอดไฟ LED 11,400 ดวง, ปรับปรุงทางม้าลาย, แปลนอาคารเข้าระบบ 5,000 แห่ง ด้านโปร่งใสดี แก้ปัญหาทราฟฟี่ฟองดูว์ 200,000 เรื่อง, เปิดบริการ BMA OSS ยื่นแบบก่อสร้างอาคารผ่านระบบออนไลน์, เปิดเผย 720 ข้อมูล ตามความต้องการของประชาชน ด้านเศรษฐกิจดี พัฒนาการฝึกอาชีพเชื่อมโยงกับผู้ประกอบการ, ออกสินเชื่อช่วยเหลือให้กับผู้ค้าหาบเร่ร่วมกับธนาคารกรุงไทย, 12 เทศกาล 12 เดือน, เร่งอนุมัติการถ่ายภาพยนตร์ในกรุงเทพฯใน 3 วัน, จ้างงานคนพิการ 489 ตำแหน่ง บรรจุเป็นข้าราชการ 9 อัตรา ด้านเดินทางดี มีการปรับปรุงทางเท้าเสริมเหล็กเส้น 221.47 กิโลเมตร, ติดตั้งจุดจอดจักรยานเพิ่ม 100 จุด, คืนผิวจราจร สะพานเชื้อเพลิง สะพานข้ามแยก ณ ระนอง, พัฒนารถโดยสาร BMA Feeder 4 เส้นทาง, ลอกท่อระบายน้ำ 7,115.4 กิโลเมตร เป็นต้น

หากจะให้คะแนนตนเอง ขอให้ 5 คะแนน เต็ม 10 จะได้ปรับปรุงตัวง่ายขึ้น เพราะถ้าให้เต็มเราก็จะปรับปรุงยาก แต่ถ้าให้ 5 คะแนน จะมีโอกาสปรับปรุงได้มากขึ้น ก็ต้องขอบคุณทีมงาน กทม.ทุกคนที่มีความเข้มแข็งร่วมเดินไปด้วยกัน เราทำคนเดียวไม่ได้อยู่แล้วทุกอย่างที่เห็น นี่คือผลงานทีมงาน กทม. สิ่งที่ กทม.ยังทำได้ไม่ดี คือเศรษฐกิจเมือง ต้องขับเคลื่อนให้มากขึ้น เร่งรัดพัฒนาตลาด 11 แห่ง เชื่อว่าที่ผ่านมามาถูกทาง แต่หากมีข้อปรับปรุงก็พร้อมน้อมรับเพื่อทำให้ดีขึ้น โดยสิ่งที่ยากสุดในการทำงานคือ การแก้ทุจริตคอร์รัปชั่น หากไม่มีความโปร่งใส ประชาชนไม่ไว้ใจ สุดท้ายก็ไม่มีแนวร่วม “ผู้ว่าฯกทม.กล่าว



‘เศรษฐา’ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ไขข้อข้องใจ 80 กองทุนทั่วโลกซักวุ่นจัดตั้งรัฐบาลใหม่ กังวลม็อบประท้วง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4027904

‘เศรษฐา’ วิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ไขข้อข้องใจ 80 กองทุนทั่วโลกซักวุ่นจัดตั้งรัฐบาลใหม่ กังวลม็อบประท้วง
 
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า ได้ประชุมผ่านระบบออนไลน์ร่วมกับนักลงทุนกว่า 80 กองทุนจากทั่วโลก ทั้งจากประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อังกฤษ สหภาพยุโรป รวมถึงประเทศไทย จัดโดยบริษัทหลักทรัพย์ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) จำกัด โดยตนเป็นผู้ให้ข้อมูล ซึ่งในที่ประชุมนักลงทุนสอบถามถึงสถานการณ์บ้านเมืองและนโยบายรัฐบาลชุดใหม่เป็นหลัก ซึ่งได้ชี้แจงว่าทางพรรคเพื่อไทยอยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วที่สุด โดยมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำและมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อประเทศและเศรษฐกิจจะได้เดินไปข้างหน้าได้ เนื่องจากนักลงทุนมีความเป็นห่วงและกังวล เรื่องของช่วงสุญญากาศที่ยังไม่มีรัฐบาล ทำให้การลงทุนหยุดชะงัก
 
นายเศรษฐากล่าวว่า ทางนักลงทุนต่างชาติอยากให้มีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อจะได้ตัดสินใจว่าจะมาลงทุนหรือไม่ลงทุน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งการลงทุนที่สำคัญ แต่ประเทศไทยไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีคู่แข่งทั้งประเทศอินโดนีเซียกับเวียดนาม ซึ่งก็อยากได้ต่างชาติตั้งโรงงานในประเทศเขา ดังนั้น ประเทศไทยก็ต้องระมัดระวังตรงนี้ ถ้าเกิดไม่รีบตั้งรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งหรือถ้าตั้งรัฐบาลช้าไปประเทศเพื่อนบ้านจะมาแย่งการลงทุนไป ทำให้เศรษฐกิจเราไม่ดีได้
 
นักลงทุนค่อนข้างกังวลมากเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า การประท้วงถ้าหากผลออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้ ซึ่งนักลงทุนเป็นห่วง ผมบอกว่าประเทศไทยจริงๆ แล้วอยากให้จัดตั้งรัฐบาลโดยเร็วที่สุด โดยให้พรรค ก.ก.ในฐานะแกนนำรีบออกนโยบายมาร่วมกับพรรค พท.โดยเร็ว ไม่อยากมีช่วงสุญญากาศเกิดขึ้น และอยากให้ได้เริ่มการบริหารจัดการประเทศโดยเร็ว ” นายเศรษฐากล่าว
 
นายเศรษฐากล่าวต่อว่านอกจากนี้ นักลงทุนยังถามว่าคิดว่า ส.ว.จะโหวตให้นายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ได้อธิบายว่าตามหลักของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทาง ส.ว.ควรที่จะโหวตตามฉันทามติ จากการสอบถามของนักลงทุนวันนี้ กังวลเรื่องการเมืองเป็นหลัก เพราะเป็นเรื่องเดียวที่ฉุดรั้งประเทศไว้ และถามว่าจะล่าช้าถึงเมื่อไหร่ ถึงสิ้นปีหรือไม่ ตนบอกว่าทุกวันมีเรื่องเปลี่ยนแปลง ถ้าถามเมื่อ 3-4 วันที่แล้ว อาจจะเร็วกว่านี้ แต่ถ้าถามวันนี้อาจจะดีเลย์ไปอีก ไม่ได้ลงรายละเอียดมาก แต่ทุกคนรู้อยู่ว่ามีประเด็นอะไรกันบ้าง ทุกวันมีข้อมูลใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ยิ่งมีข้อมูลมาก ตัวแปรจะเยอะขึ้น ความผันผวน ความไม่แน่นอนของตลาดจะเพิ่มขึ้นด้วย ก็เป็นประเด็นที่น่ากังวลมากกว่า เรื่องการลงทุนมองว่าโดยพื้นฐานของประเทศไทยดีอยู่แล้ว ขอให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังสอบถามเรื่องการตั้งรัฐบาลแห่งชาติ ได้บอกไปว่าไร้สาระ รวมถึงยังถามว่าถ้าหากมีอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น พรรค ก.ก.ไม่ได้เป็นรัฐบาลและนายพิธาไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้บอกว่าทั้ง 8 พรรคแสดงเจตจำนงแล้วว่าจะอยู่ร่วมกันทำงานต่อไป


 
ประธานส.อ.ท. ห่วง!! 19 อุตฯ ออเดอร์ร่วง แต่ยังเดินเครื่องจักรเพื่อพยุงจ้างงาน
https://www.matichon.co.th/economy/news_4027699

“เกรียงไกร” ประธานส.อ.ท.ห่วง 19 อุตฯผลิตแค่พยุงจ้างงานทั้งที่ออเดอร์หาย ห่วงตั้งรบ.วุ่นภาพหลอนม็อบลงถนน
 
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “มติชน” ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้จนถึงปีหน้า ว่า ปีนี้เครื่องยนต์ส่งออกของไทยกำลังแผ่วลง เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯลดความร้อนแรง จากมาตรการดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าไทยลดตามไปด้วย เห็นสัญญาณตั้งแต่ตุลาคม 2565 ถึง เมษายน 2566 ที่ตัวเลขส่งออกลดลง โดย คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ตัวเลขการส่งออกของไทยดีที่สุด คือ ลบ1% ถึง 0% ล่าสุดแนวโน้มยังรุนแรง ดังนั้นไตรมาสที่ 3(กรกฎาคม-กันยายน2566) กกร.จะประเมินใหม่อีกครั้ง
 
นายเกรียงไกร กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกดังกล่าว ล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลง และพบว่าจากอุตสาหกรรมทั้งหมด 45 กลุ่มอุตสาหกรรม มีถึง 19 อุตสาหกรรม คำสั่งซื้อ 3 เดือนข้างหน้าลดลง แต่ยังมีการผลิตอยู่ อีกความหมายหนึ่งคือมีการผลิตแต่ไม่ได้ส่งออก เป็นการผลิตแล้วเก็บเป็นสต๊อกไว้เพื่อพยุงการจ้างงาน และหวังว่าเมื่อเศรษฐกิจคลี่คลายจะนำสินค้าที่ทำการสต็อกไว้มาส่งออกต่อไป ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะไม่อยากให้พนักงานขาดรายได้ ตอนนี้ภาคอุตสาหกรรมก็ต้องกัดฟันผลิตไปก่อน 19 อุตสาหกรรม
 
ประกอบด้วย 1.หนังและผลิตภัณฑ์หนัง 2.เหล็ก 3.แก้วและกระจก 4.โรงเลื่อนโรงอบไม้ 5.ไม้อัด ไม้บางและวัสดุแผ่น 6.เครื่องจักรกลและโลหะการ 7.เครื่องจักรกลการเกษตร 8.น้ำตาล 9.ยา 10.สมุนไพร 11.เยื่อและกระดาษ 12.การพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ 13.หัตถกรรมสร้างสรรค์ 14.การจัดการสิ่งแวดล้อม 15.เทคโนโลยีชีวภาพ 16.เครื่องสำอาง 17.หล่อโหละ 18.เฟอร์นิเจอร์ และ19.แกรนิตและหินอ่อน

นายเกรียงไกร กล่าวว่า ด้านเครื่องยนต์ท่องเที่ยวปีนี้ไทยตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ 30 ล้านคน คิดเป็น 75% จากเมื่อปี 2562 ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 40 ล้านคน หวังว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายหรือตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2566 ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะมีมากขึ้นจนถึงเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ระวังปัจจัยลบที่อาจแทรกเข้ามาด้วย โดยเฉพาะการเมือง ที่หากยืดเยื้อล่าช้าออกไป 1-2 เดือน หรือเลื่อนออกไปถึงช่วงปลายปี 2566 อาจส่งผลให้สิ่งที่หายไปจากสังคมไทยเป็นเวลานานกลับมาอีกครั้ง คือม็อบ เป็นภาพหลอนที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะจะกระทบกับเครื่องยนต์เศรษฐกิจ หรือภาคท่องเที่ยวโดยตรง จากเดิมที่คาดหวังว่านักท่องเที่ยวในปี 2566 จะถึง 30 ล้านคน อาจไปไม่ถึง

นอกจากนี้ยังอาจซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยซึ่งปัจจุบันกำลังซื้อภาพรวมยังไม่ค่อยฟื้น จากค่าครองชีพที่สูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ที่ทำให้ราคาสินค้าทุกประเภทปรับตัวเพิ่มขึ้น บวกกับปัจจุบันไทยมีหนี้ภาคครัวเรือนแตะ 90% ถือว่าตัวเลขสูงมาก มองว่าเรื่องนี้เป็นระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจที่สำคัญ และต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะปะทุขึ้นมาเมื่อไหร่
 
การเลือกตั้งในรอบนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เป็นการดิสรัปทางการเมืองไทยครั้งสำคัญ หวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะราบรื่น ไม่เกิดความวุ่นวาย จนกลายเป็นมีม็อบลงถนน เพราะภาพการเดินขบวนหากถูกเผยแพร่ออกไปจะมีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวแน่นอน รวมถึงภาคการส่งออก และการลงทุนจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้เช่นกัน ย้ำว่านักลงทุนไม่ชอบการเซอร์ไพร์ส ดังนั้น จึงอยากให้มีการจัดตั้งรัฐบาลให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยแย่ไปกว่านี้” นายเกรียงไกรกล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่