เริ่มจากอาการไม่ต่างจากหลายๆคนคือ มีเลือดออกเวลาถ่าย มีติ่งออกเวลาถ่ายแต่ดันกลับได้และที่งงคือเหมือนปากทวารมีอาการบวมๆเลยลังเลว่าริดซี่หรือยังไง จนมันวนลูปนานเข้าแล้วมองว่าต้องหาวิธีแล้วหละ (ข้อมูลอาจไม่ละเอียดมากนะคะเพราะผ่ามาจะ3 เดือนแล้ว แค่อยากมาแชร์แนวทางเพิ่มเติม)
- เริ่มหาข้อมูลต่างๆนาๆจนสุดท้ายมันมีความคิดที่ว่า "เราจะหาทางรักษาเองทำไมหาหมอจบกว่ามั้ย" คนที่เป็นอาการนี้มีความคิดแบบนี้ผุดมาแน่นอน555 แต่ในใจมันมีเรื่องความอายมาแทรกจนทำให้ชงัก แต่ด้วยความเรียนศิลปะมาด้วยมั้งเลยปรับวิธีคิดว่า มันคือเรื่องกายวิภาค(ตอนเรียนกอาจะไม่ลงลึกเท่าหมอ) แต่มันคือธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ และที่สำคัญเราไม่ใช่ตูดแรกของหมอ ถ้าอยากหายต้องหาสาเหตุให้เจอไม่งั้นอาการก็วนลูปไม่จบ
- หาหลายที่ค่ะจนสุดท้ายเช็คค่าใช้จ่ายตามบิลคนไข้ที่ไปผ่ากัน(เผื่อใจว่าผ่าไว้แล้วจะได้ไม่ตกใจมากถ้าต้องผ่า) เตรียมแม้กระทั่งว่าถ้าเงินประกันช่วยไม่มากจะยืมที่ไหนได้บ้างถ้าแลกกับการผ่ากับรพ.ที่เรามั่นใจ
- สรุปเราเลือกไปตรวจที่ รพ.เวชธานี(ไม่สปอนนะ มีเหตุผลในการเลือกที่นี่) เหตุผลที่เลือกที่นี่คือ
1 .แน่นอนเสิทเจอเป็นที่แรกๆในการรักษาเรื่องนี้(อาจจะการตลาดเค้าร่วมด้วย)
2 .รพ.เอกชนไม่เสียเวลารอตรวจนาน ถ้ารพ.รัฐบาลบอกตรงๆรอไม่ไหว และที่นี่เคสเยอะผ่าแบบเลเซอร์พักฟื้นไว ซึ่งสอดคล้องกับงานที่ทำที่มันลานานไม่ได้ และห่วงเอฟเฟคหลังผ่า(ถ้ามี)เพราะถ้ารพ.ที่เคสเยอะผ่าบ่อยก็น่าจะชำนาญในทั้งกระบวนการและการรับมือปัญหา(อย่างที่บอกคิดเยอะไว้ก่อน555)
3 .ค่าใช้จ่ายพอจะไหวถ้าไม่ไหวก็อาจจะแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนได้อยู่(อันนี้จริงๆซีเรียสเพราะแลกกับความมั่นใจในการรักษายอม)
- และแล้วก็ถึงวันตรวจ คุณหมอชื่อ "คุณหมออนนต์" เราจองคิวตรวจน่าจะก่อนไปตรวจ 3 วัน รพ.และห้องตรวจสะอาดตา หมอพยาบาลพูดคุยอย่างสบายใจ จนต้องขึ้นเตียงตรวจแล้วได้พบว่า เรามีอาการริดซี่ภายนอก 1เม็ด และด้านในอีก 2 และมีภาวะหูรูดตีบร่วมด้วย หมอบอกถ้ากินยา"ดูอาการ" จะ2-3 เดือนแต่ถ้าผ่าก็นัดได้เลย เพราะเรากำลังจะเป็นระยะ 3 ใดๆคือมันไม่มีอารมณ์อายแล้วเพราะหมอคุยวิชาการจนเราลืมอายและเป้าหมายว่าต้องหาย ไม่ไหวกับการลุ้นถ่ายแต่ละวันจริงๆนะ เสียเวลาและเสียอารมณ์มาก
- สรุปเราได้ผ่าแบบเลเซอร์ตัดแต่งหูรูดและจี้ริดซี่ออก 3 จุด เลยเกริ่นว่าจะผ่าและนัดผ่าคร่าวๆ พอออกจากห้องตรวจมาการเงินก็มาคุยและเคลียประกันว่าช่วยเท่าไหร่ยังไง แล้วเหมือนน่าจะมีปัญหาไรสักอย่างรพ.กลัวจะเสียเวลาเลยจะเคลียกับประกันให้แล้วโทรแจ้งอีกวันเลยรับยากลับ นัดผ่าอีก 1 สัปดาห์เพราะต้องไปตจว.หมอเลยให้ยาประคองอาการไปก่อน เสียค่ายากับตรวจไปถ้าจำไม่ผิด 3-4พัน(ยังไม่หักประกันช่วยถ้าใครมี)
- วันผ่า(งดอาหารไปตั้งแต่ช่วงเย็นก่อนวันผ่า) มาตั้งแต่ 8 โมง ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจปอด เปลี่ยนชุดแล้วพยาบาลสวนก้นให้ และพบคุณหมอวิสัญญี(ที่ต้องวางยาเพราะต้องวางยานอนหลับและบล๊อคหลัง)
- ช่วงบ่ายมีเจ้าหน้าที่มารับไปห้องผ่า ตื่นเต้นมากจากที่คิดว่าสะกดจิตตัวเองให้ชิวได้แต่ไม่ใช่กลัวชิบเป๋งเพราะไม่เคยเข้าห้องผ่าใหญ่ด้วยมั้ง 555
- ในห้องผ่าเย็นมากเจ้าหน้าที่เยอะจนงงไปหมด แล้วพยาบาลเอาสายออกซิเจนมาใส่ และหมอวิสัญญีมาด้านข้างแล้วบอกว่ากำลังจะให้ยานอนหลับ
- จังหวะเหมือนแค่กระพริบตา แล้วรู้สึกว่าพยาบาลสะกิดไหล่แล้วพูดว่า "ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวจะพากลับห้องพักนะคะ" บอกตรงๆ ตอนนั้นงงมาก555
- ตอนเจ้าหน้าที่เข็นเตียงพากลับห้องก็คิดน่ะว่าผ่าเสร็จแล้วจริงๆดิ หรือยังไง ตอนไหนวะ เร็วไปปะ หรือเราหลับสนิทจริงๆ คำถามเต็มหัวไปหมด
- พอมาห้องพัก ทานข้าว เวลาผ่านไปสักพักยาบล๊อคเริ่มหมดฤทธิ์เลยเริ่มเจ็บละ รู้ละว่าผ่าจริงไม่จ้อจี้หมอไม่ได้หยอกละ แต่ลุ้นต่อคือจะฉี่เองมั้ยไม่งั้นโดนสวนเพราะถ้าไม่ฉี่ระบายออกตามเวลาที่พยาบาลแจ้งกระเพาะปัสสาวะจะอักเสบได้ แต่ด้วยความปวดแผลมันทำให้ไม่ฉี่จริงๆ ยาแก้ปวดเอาไม่อยู่จนมีทางเลือกสุดท้ายที่พยาบาลเกริ่นไว้หากไม่ไหว คือ "ขอมอฟีน"
- หลังจากให้มอฟีนสักพักหายปวดแผล และเริ่มปวดฉี่แล้วเหวยยยยยยยย เลยไปนั่งชักโครกจินตนาการว่าชักโครกที่บ้าน สรุปฉี่ออก และก็ฉี่เรื่อยๆทั้งคืน พยาบาลยังชมว่า ปริมาณฉี่ลดลดมาก เก่งมากๆ ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ ดีใจกว่าตอนหุงข้าวไม่แฉะได้ครั้งแรกอีกค่ะ
- พอเช้าอีกวันต้องลุ้นว่าจะถ่ายมั้ย ทานข้าวก็แล้ว รอก็แล้วก็ไม่ถ่าย จนหมอมาตรวจแจกแจงหลังการผ่าว่าอะไรยังไงบ้าง นักโภชนาการมาแนะนำอาหารและเคลียเอกสารรับยากลับ สรุป อยู่ที่ รพ.2วัน 1 คืน
- พักฟื้นที่บ้านวันแรกก็ยังไม่ถ่ายจนผ่านเข้าวันที่ 3 ไม่ไหว ใช้ยาสวนเองเลย พอถ่ายออกก็เจ็บนะเพราะแผลถือว่าใหม่ แต่เป็นการเจ็บที่มีเป้าหมายว่า"กูต้องหาย" และไฟเบอร์ที่รพ.ให้มาก็ช่วยให้ถ่ายเรานิ่มด้วย
- 3 วันแรกบอกเลยระทมขมขื่นพอสมควรแต่ถ่ายไม่มีเลือด(ยามีส่วนมากๆ) อาจมีแค่น้ำเหลืองซึมบ้างแต่ใส่ผ้าอนามัยไว้ อาหารใช้คำว่าหักดิบกินข้าวต้มกุ๊ยทุกวัน ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร
- รู้สึกเดินสบายตัวขึ้นบ้าง วันที่ 5 แต่ตลอดเวลานั่งเก้าอี้ต้องเอาเบาะรองร่วมกับแช่น้ำอุ่นทุกวัน เช้าเย็น กินยาให้ตรง อาหารแสลงต่างๆเลิกกิน
- ขับรถได้และเดินได้ดูปกติขึ้นแต่ยังมีจี๊ดๆ ก็หลังจาก 1 เดือน
- ตอนนี้ 3 เดือน(โดยประมาณ) ใช้ชีวิตปกติที่ดีขึ้นมากๆแต่ต้องเลือกกินมากขึ้น ดื่มน้ำมากขึ้น ไม่นั่งแช่เวลาเข้าส้วม ตรวจตามอาการล่าสุดคือหายดีแล้ว ปมที่ผ่าจะมีติ่งเล็กๆนิดนึงตอนแรกก็ยุบสนิท
ค่าใช้จ่าย ตามบิลแรก "แสนห้ากว่า" //ประกันช่วย "หกหมื่นนิดๆ" //ส่วนลดจากรพ."หมื่นกว่าบาท" //เบ็ดเสร็จหาจ่ายเอง "7 หมื่นถ้วน" รวมยา
**ให้คะแนน** หมอ : 10/10 (สดใสฉะฉาน moodเบเกอรี่มิวสิคเลยค่ะ) เจ้าหน้าที่ต่างๆ : 10/10 กระบวนการรักษาตั้งแต่แรก 10/10
ราคา : 9/10(ดุไปนิส) สุดท้าย สถานที่และเครื่องมือของ รพ. : 100/10!!!
บทเรียนจากป่วยครั้งนี้ 1.ตระหนักพฤติกรรมไม่ดีจากการใช้ชีวิตล้วนๆ 2.หัดทำประกันสุขภาพไว้บ้างเพราะนี่ถ้าไม่ได้สิทจากประกันชีวิตช่วยคือเกิดคอนเท้นแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนแน่นอน 3.สมัยเป็นแรกๆที่ยังไม่มากแค่เจ็บๆ ไปตรวจที่แรกหมอก็เตือนแล้วก็หัดฟังเขาบ้าง ทีหมดดูทักดวงนิดหน่อยตาลีตาเหลือก
*** สุดท้าย จะฝากว่าใครเป็นหรือเอะใจไปตรวจซะ รพ.ไหนเอาที่สะดวกหยุดเสริทเพื่อวินิจฉัยเองแล้ว รีบ ไป ตรวจ!! เช็คตารางหมอดีๆไปไม่ตรงวันแล้วไม่เจอหมอจะได้ไม่งอแงหมอเฉพาะทางไม่ใช่เซเว่นจะได้ปั่นจักรยานไปปากซอยก็เจอ อยากเขินหรืออยากหายเลือกเอา คิดเสมอว่า "เราไม่ใช่ตูดแรกของหมอจรั๊มวรั้ย!!"
[CR] รีวิวการผ่าตัดริดสีดวงค่ะ
- เริ่มหาข้อมูลต่างๆนาๆจนสุดท้ายมันมีความคิดที่ว่า "เราจะหาทางรักษาเองทำไมหาหมอจบกว่ามั้ย" คนที่เป็นอาการนี้มีความคิดแบบนี้ผุดมาแน่นอน555 แต่ในใจมันมีเรื่องความอายมาแทรกจนทำให้ชงัก แต่ด้วยความเรียนศิลปะมาด้วยมั้งเลยปรับวิธีคิดว่า มันคือเรื่องกายวิภาค(ตอนเรียนกอาจะไม่ลงลึกเท่าหมอ) แต่มันคือธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ และที่สำคัญเราไม่ใช่ตูดแรกของหมอ ถ้าอยากหายต้องหาสาเหตุให้เจอไม่งั้นอาการก็วนลูปไม่จบ
- หาหลายที่ค่ะจนสุดท้ายเช็คค่าใช้จ่ายตามบิลคนไข้ที่ไปผ่ากัน(เผื่อใจว่าผ่าไว้แล้วจะได้ไม่ตกใจมากถ้าต้องผ่า) เตรียมแม้กระทั่งว่าถ้าเงินประกันช่วยไม่มากจะยืมที่ไหนได้บ้างถ้าแลกกับการผ่ากับรพ.ที่เรามั่นใจ
- สรุปเราเลือกไปตรวจที่ รพ.เวชธานี(ไม่สปอนนะ มีเหตุผลในการเลือกที่นี่) เหตุผลที่เลือกที่นี่คือ
1 .แน่นอนเสิทเจอเป็นที่แรกๆในการรักษาเรื่องนี้(อาจจะการตลาดเค้าร่วมด้วย)
2 .รพ.เอกชนไม่เสียเวลารอตรวจนาน ถ้ารพ.รัฐบาลบอกตรงๆรอไม่ไหว และที่นี่เคสเยอะผ่าแบบเลเซอร์พักฟื้นไว ซึ่งสอดคล้องกับงานที่ทำที่มันลานานไม่ได้ และห่วงเอฟเฟคหลังผ่า(ถ้ามี)เพราะถ้ารพ.ที่เคสเยอะผ่าบ่อยก็น่าจะชำนาญในทั้งกระบวนการและการรับมือปัญหา(อย่างที่บอกคิดเยอะไว้ก่อน555)
3 .ค่าใช้จ่ายพอจะไหวถ้าไม่ไหวก็อาจจะแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนได้อยู่(อันนี้จริงๆซีเรียสเพราะแลกกับความมั่นใจในการรักษายอม)
- และแล้วก็ถึงวันตรวจ คุณหมอชื่อ "คุณหมออนนต์" เราจองคิวตรวจน่าจะก่อนไปตรวจ 3 วัน รพ.และห้องตรวจสะอาดตา หมอพยาบาลพูดคุยอย่างสบายใจ จนต้องขึ้นเตียงตรวจแล้วได้พบว่า เรามีอาการริดซี่ภายนอก 1เม็ด และด้านในอีก 2 และมีภาวะหูรูดตีบร่วมด้วย หมอบอกถ้ากินยา"ดูอาการ" จะ2-3 เดือนแต่ถ้าผ่าก็นัดได้เลย เพราะเรากำลังจะเป็นระยะ 3 ใดๆคือมันไม่มีอารมณ์อายแล้วเพราะหมอคุยวิชาการจนเราลืมอายและเป้าหมายว่าต้องหาย ไม่ไหวกับการลุ้นถ่ายแต่ละวันจริงๆนะ เสียเวลาและเสียอารมณ์มาก
- สรุปเราได้ผ่าแบบเลเซอร์ตัดแต่งหูรูดและจี้ริดซี่ออก 3 จุด เลยเกริ่นว่าจะผ่าและนัดผ่าคร่าวๆ พอออกจากห้องตรวจมาการเงินก็มาคุยและเคลียประกันว่าช่วยเท่าไหร่ยังไง แล้วเหมือนน่าจะมีปัญหาไรสักอย่างรพ.กลัวจะเสียเวลาเลยจะเคลียกับประกันให้แล้วโทรแจ้งอีกวันเลยรับยากลับ นัดผ่าอีก 1 สัปดาห์เพราะต้องไปตจว.หมอเลยให้ยาประคองอาการไปก่อน เสียค่ายากับตรวจไปถ้าจำไม่ผิด 3-4พัน(ยังไม่หักประกันช่วยถ้าใครมี)
- วันผ่า(งดอาหารไปตั้งแต่ช่วงเย็นก่อนวันผ่า) มาตั้งแต่ 8 โมง ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด ตรวจปอด เปลี่ยนชุดแล้วพยาบาลสวนก้นให้ และพบคุณหมอวิสัญญี(ที่ต้องวางยาเพราะต้องวางยานอนหลับและบล๊อคหลัง)
- ช่วงบ่ายมีเจ้าหน้าที่มารับไปห้องผ่า ตื่นเต้นมากจากที่คิดว่าสะกดจิตตัวเองให้ชิวได้แต่ไม่ใช่กลัวชิบเป๋งเพราะไม่เคยเข้าห้องผ่าใหญ่ด้วยมั้ง 555
- ในห้องผ่าเย็นมากเจ้าหน้าที่เยอะจนงงไปหมด แล้วพยาบาลเอาสายออกซิเจนมาใส่ และหมอวิสัญญีมาด้านข้างแล้วบอกว่ากำลังจะให้ยานอนหลับ
- จังหวะเหมือนแค่กระพริบตา แล้วรู้สึกว่าพยาบาลสะกิดไหล่แล้วพูดว่า "ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วค่ะ เดี๋ยวจะพากลับห้องพักนะคะ" บอกตรงๆ ตอนนั้นงงมาก555
- ตอนเจ้าหน้าที่เข็นเตียงพากลับห้องก็คิดน่ะว่าผ่าเสร็จแล้วจริงๆดิ หรือยังไง ตอนไหนวะ เร็วไปปะ หรือเราหลับสนิทจริงๆ คำถามเต็มหัวไปหมด
- พอมาห้องพัก ทานข้าว เวลาผ่านไปสักพักยาบล๊อคเริ่มหมดฤทธิ์เลยเริ่มเจ็บละ รู้ละว่าผ่าจริงไม่จ้อจี้หมอไม่ได้หยอกละ แต่ลุ้นต่อคือจะฉี่เองมั้ยไม่งั้นโดนสวนเพราะถ้าไม่ฉี่ระบายออกตามเวลาที่พยาบาลแจ้งกระเพาะปัสสาวะจะอักเสบได้ แต่ด้วยความปวดแผลมันทำให้ไม่ฉี่จริงๆ ยาแก้ปวดเอาไม่อยู่จนมีทางเลือกสุดท้ายที่พยาบาลเกริ่นไว้หากไม่ไหว คือ "ขอมอฟีน"
- หลังจากให้มอฟีนสักพักหายปวดแผล และเริ่มปวดฉี่แล้วเหวยยยยยยยย เลยไปนั่งชักโครกจินตนาการว่าชักโครกที่บ้าน สรุปฉี่ออก และก็ฉี่เรื่อยๆทั้งคืน พยาบาลยังชมว่า ปริมาณฉี่ลดลดมาก เก่งมากๆ ตอนนั้นดีใจมากเลยค่ะ ดีใจกว่าตอนหุงข้าวไม่แฉะได้ครั้งแรกอีกค่ะ
- พอเช้าอีกวันต้องลุ้นว่าจะถ่ายมั้ย ทานข้าวก็แล้ว รอก็แล้วก็ไม่ถ่าย จนหมอมาตรวจแจกแจงหลังการผ่าว่าอะไรยังไงบ้าง นักโภชนาการมาแนะนำอาหารและเคลียเอกสารรับยากลับ สรุป อยู่ที่ รพ.2วัน 1 คืน
- พักฟื้นที่บ้านวันแรกก็ยังไม่ถ่ายจนผ่านเข้าวันที่ 3 ไม่ไหว ใช้ยาสวนเองเลย พอถ่ายออกก็เจ็บนะเพราะแผลถือว่าใหม่ แต่เป็นการเจ็บที่มีเป้าหมายว่า"กูต้องหาย" และไฟเบอร์ที่รพ.ให้มาก็ช่วยให้ถ่ายเรานิ่มด้วย
- 3 วันแรกบอกเลยระทมขมขื่นพอสมควรแต่ถ่ายไม่มีเลือด(ยามีส่วนมากๆ) อาจมีแค่น้ำเหลืองซึมบ้างแต่ใส่ผ้าอนามัยไว้ อาหารใช้คำว่าหักดิบกินข้าวต้มกุ๊ยทุกวัน ผัก ผลไม้ ดื่มน้ำวันละ 2 ลิตร
- รู้สึกเดินสบายตัวขึ้นบ้าง วันที่ 5 แต่ตลอดเวลานั่งเก้าอี้ต้องเอาเบาะรองร่วมกับแช่น้ำอุ่นทุกวัน เช้าเย็น กินยาให้ตรง อาหารแสลงต่างๆเลิกกิน
- ขับรถได้และเดินได้ดูปกติขึ้นแต่ยังมีจี๊ดๆ ก็หลังจาก 1 เดือน
- ตอนนี้ 3 เดือน(โดยประมาณ) ใช้ชีวิตปกติที่ดีขึ้นมากๆแต่ต้องเลือกกินมากขึ้น ดื่มน้ำมากขึ้น ไม่นั่งแช่เวลาเข้าส้วม ตรวจตามอาการล่าสุดคือหายดีแล้ว ปมที่ผ่าจะมีติ่งเล็กๆนิดนึงตอนแรกก็ยุบสนิท
ค่าใช้จ่าย ตามบิลแรก "แสนห้ากว่า" //ประกันช่วย "หกหมื่นนิดๆ" //ส่วนลดจากรพ."หมื่นกว่าบาท" //เบ็ดเสร็จหาจ่ายเอง "7 หมื่นถ้วน" รวมยา
**ให้คะแนน** หมอ : 10/10 (สดใสฉะฉาน moodเบเกอรี่มิวสิคเลยค่ะ) เจ้าหน้าที่ต่างๆ : 10/10 กระบวนการรักษาตั้งแต่แรก 10/10
ราคา : 9/10(ดุไปนิส) สุดท้าย สถานที่และเครื่องมือของ รพ. : 100/10!!!
บทเรียนจากป่วยครั้งนี้ 1.ตระหนักพฤติกรรมไม่ดีจากการใช้ชีวิตล้วนๆ 2.หัดทำประกันสุขภาพไว้บ้างเพราะนี่ถ้าไม่ได้สิทจากประกันชีวิตช่วยคือเกิดคอนเท้นแปลงทรัพย์สินให้เป็นทุนแน่นอน 3.สมัยเป็นแรกๆที่ยังไม่มากแค่เจ็บๆ ไปตรวจที่แรกหมอก็เตือนแล้วก็หัดฟังเขาบ้าง ทีหมดดูทักดวงนิดหน่อยตาลีตาเหลือก
*** สุดท้าย จะฝากว่าใครเป็นหรือเอะใจไปตรวจซะ รพ.ไหนเอาที่สะดวกหยุดเสริทเพื่อวินิจฉัยเองแล้ว รีบ ไป ตรวจ!! เช็คตารางหมอดีๆไปไม่ตรงวันแล้วไม่เจอหมอจะได้ไม่งอแงหมอเฉพาะทางไม่ใช่เซเว่นจะได้ปั่นจักรยานไปปากซอยก็เจอ อยากเขินหรืออยากหายเลือกเอา คิดเสมอว่า "เราไม่ใช่ตูดแรกของหมอจรั๊มวรั้ย!!"
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้