สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 20
จขกท ตั้งกระทู้เกิดวิจิกิจฉาในสภาวะธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎกฉบับปัจจุบัน
ไม่ว่ากันครับ ใครๆ ก็สามารถเกิดข้อครหา หรือสงสัยในใจได้ทุกคน
แต่ถ้าไม่ลงมือตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง คุณจะทราบได้อย่างไรล่ะ ว่าวิจิกิจฉานั้นจะสงบลงได้เมื่อไร ?
ผมเองไม่ค่อยมีเวลา แต่เอาล่ะ เมื่อโอกาสอำนวย ก็จะอธิบายโครงสร้างคร่าวๆ ให้คุณพอเห็นภาพได้กว้างๆ..
การสังคายนาพระพุทธศาสนานั้น ทำกันที่อินเดีย 4 ครั้ง ฟังดีๆ นะครับ
แต่สามครั้งแรกเป็นของกลุ่มที่นับถือพระพุทธศาสนากระแสหลักที่ต่อมาจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
โดยเรียกกลุ่มนี้ว่า "เถรวาท" (หินยาน , สาวกยาน มีรายละเอียดปลีกย่อย)
ส่วนครั้งที่ 4 นั้น ชาวเถรวาทเค้าไม่นับกัน เพราะเป็นการสังคายนาของกลุ่มมหายานเขา
สรุปว่า ในดินแดนพุทธภูมินั้น มีการสังคายนาของเถรวาทซึ่งเป็นพระพุทธศาสนากระแสหลักอยู่ 3 ครั้ง
จำไว้เท่านี้ก่อน โดยที่การสังคายนาทั้ง 3 ครั้งนั้น มีเหตุทั้งสิ้นครับ
ครั้งที่ 1.หลังพระพุทธปรินิพพาน เป็นการรวบรวมพระธรรม
ครั้งที่ 2.เพราะพบเห็นข้อปฏิบัติย่อหย่อน 10 ประการทางพระวินัยของภิกษุวัชชีบุตร
ครั้งที่ 3.คือมีพวกปลอมบวชเยอะ และเคลมวัตรปฏิบัติของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา
เอาล่ะนะครับ ทั้ง 3 ครั้งของเถรวาทนี้ มีเหตุด้วยกันทั้งสิ้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อ "กระชับพื้นที่"
ดึงเถรวาทใฟ้กลับไปยืนอยู่ในหลักการเดิมเมื่อครั้งหลังพระพุทธปรินิพพานใหม่ๆ นั่นเอง
คราวนี้ ความสับสนในการสังคายนาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปยังเกาะลังกาสายหนึ่ง
และมายังดินแดนสุวรรณภูมิอีกสายหนึ่ง ช่วงเวลาตรงกับหลังสังคายนาครั้งที่ 3 คือสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นเองครับ
เพราะเมื่อพระพุทธศาสนาเถรวาทแพร่หลายออกไปจากดินแดนกำเนิด ก็ได้ไปเจริญเติบใหญ่ในต่างแดน
แต่กับดินแดนกำเนิดพระศาสนาเอง กลับเสื่อมลงตามลำดับ จนกระทั่งแทบจะหมดไปในที่สุด
เอาล่ะนะครับ เราเห็นชัดเจนแล้วว่า สามครั้งแรกนั้น เป็นการกระชับพื้นที่
คือการดึงเข้าหาของเดิม และตัดสิ่งแปลกปลอมออกไป เรื่อง "เพี้ยน" หรือ "เติมแต่ง" เป็นไปได้หรือไม่ ?
ยังไม่ต้องตอบครับ จขกท ฟังต่อไป
คราวนี้ เมื่อแพร่ไปยังเกาะลังกาสายหนึ่ง และมายังดินแดนสุวรรณภูมิอีกสายหนึ่ง
เรามาดูที่ลังกากันครับ
พ.ศ. 433 ที่เกาะลังกามีการสังคายนาพระไตรปิฎก เหตุผลในการสังคายนาก็คือ เพื่อ
จารึกพระไตรปิฎกลงเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะก่อนหน้านั้น ใช้วิธี "มุขปาฐะ" คือสวดพร้อมกันมาตลอด
เรื่องความแม่นยำในความถูกต้องนั้น ค่อยมาสนทนากันในโอกาสต่อไป แต่ในมุมมองของผมแล้ว
ในสมัยนั้น การท่องพร้อมกันด้วยภิกษุเรือนร้อยๆ นั้น มีความแม่นยำมากกว่าเทคโนโลยี่การพิมพ์หรือการเขียนในสมัยเดียวกันครับ
ขอให้คุณดูการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อ พ.ศ. 433 ในลังกาเอาไว้ให้ดีๆ ครับ
ในลังกานั้น มีการสังคายนาต่อมาอีก 3 ครั้ง
ในพม่ายึด 3 ครั้งในอินเดีย นับสองครั้งในลังกาเป็นครั้งที่ 4 และสังคายนาต่อในพม่าเองอีก 2 ครั้ง รวมเป็น 6 ครั้ง
ส่วนไทยนั้น นับ 3 ครั้งที่อินเดีย ครั้งที่ 4-5 ที่ลังกา ตั้งใจฟังดีๆ นะครับ...
ส่วนครั้งที่ 6 นับที่ท่านพระพุทโฆสะเถระชำระอรรถกถาที่ลังกา ทางลังกาเขาไม่นับว่าเป็นการสังคายนา แต่เรานับ
ในครั้งที่ 7. ท่านพระกัสสปเถระ (ยุคหลัง) ชำระคัมภีร์อรรถกถาอีก ทางลังกาเขาไม่นับ แต่เราก็กลับนับเข้าไปเป็นการสังคายนา
ครั้งที่ 8 ประเทศล้านนา โดยพระเจ้าติโลกราช เป็นประธาน
ครั้งที่ 9.กรุงเทพฯ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นประธาน เพราะต้องการกระชับพื้นที่ความเป็นเถรวาทอีกเช่นเคย หลังสงครามที่ต่อเนื่องยาวนาน
จขกท อย่าลืมนะครับว่า ทางพม่าเขาก็กระชับพื้นที่เถรวาทเรื่อยมาเหมือนเรา
ปัจจุบันนี้ พระไตรปิฎกที่เราใช้ ก็สามารถเทียบกับพม่าได้ตรงกัน ที่ต่างกันก็เป็นรายละเอียดปลีดย่อยในการนับคัมภีร์เท่านั้น
แต่ตัวพระไตรปิฎกมีเนื้อหาเดียวกัน อักษรมีต่างกันบ้าง แต่ก็ได้ทำฟุตโน๊ตเอาไว้ตลอดเวลาครับ
คุณว่ามีจังหวะปลอมปนได้ตรงไหนครับ เพราะพอเข้าพ.ศ.400 กว่าๆ ก็เป็นลายลักษณ์อักษรไปแล้ว
และประเทศที่นับถือเถรวาททั้งหลาย ก็เทียบพระไตรปิฎกกันอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผลในการสังคายนาทุกครั้ง เป็นเหตุผลในการพยายามวิ่งกลับไปหาของเก่า ของดั้งเดิมทั้งนั้น
จะมีเวลาไหนเข้าไปปลอมปนครับ ถ้าปลอมปนได้ คงจะเป็นการตบตาผู้คนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะประเทศที่ใช้พระไตรปิฎกเล่มเดียวกันนี้ เขาสอบทานกันความผิดพลาดกันอยู่เสมอๆ
ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทมีกี่ประเทศในโลกครับ ?
ทำไมเขาถึงใช้พระไตรปิฎกบาลีเล่มเดียวกันได้ ?
ของเรานั้นมี 9 ครั้ง ก็จริง แต่เรายึดถือ 3 ครั้งที่อินเดีย
2 ครั้งที่ลังกา (เพราะเราเป็นลังกาวงศ์-อันนี้ค่อยสนทนากันต่อไป)
อีก 4 ครั้งหลัง ยิ่งไม่มีทางปลอมปนได้เลย เพราะโดนพระบาลีของประเทศพม่าตรึงเอาไว้หมดทุกทางครับ
ไม่ว่ากันครับ ใครๆ ก็สามารถเกิดข้อครหา หรือสงสัยในใจได้ทุกคน
แต่ถ้าไม่ลงมือตรวจสอบด้วยตัวคุณเอง คุณจะทราบได้อย่างไรล่ะ ว่าวิจิกิจฉานั้นจะสงบลงได้เมื่อไร ?
ผมเองไม่ค่อยมีเวลา แต่เอาล่ะ เมื่อโอกาสอำนวย ก็จะอธิบายโครงสร้างคร่าวๆ ให้คุณพอเห็นภาพได้กว้างๆ..
การสังคายนาพระพุทธศาสนานั้น ทำกันที่อินเดีย 4 ครั้ง ฟังดีๆ นะครับ
แต่สามครั้งแรกเป็นของกลุ่มที่นับถือพระพุทธศาสนากระแสหลักที่ต่อมาจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน
โดยเรียกกลุ่มนี้ว่า "เถรวาท" (หินยาน , สาวกยาน มีรายละเอียดปลีกย่อย)
ส่วนครั้งที่ 4 นั้น ชาวเถรวาทเค้าไม่นับกัน เพราะเป็นการสังคายนาของกลุ่มมหายานเขา
สรุปว่า ในดินแดนพุทธภูมินั้น มีการสังคายนาของเถรวาทซึ่งเป็นพระพุทธศาสนากระแสหลักอยู่ 3 ครั้ง
จำไว้เท่านี้ก่อน โดยที่การสังคายนาทั้ง 3 ครั้งนั้น มีเหตุทั้งสิ้นครับ
ครั้งที่ 1.หลังพระพุทธปรินิพพาน เป็นการรวบรวมพระธรรม
ครั้งที่ 2.เพราะพบเห็นข้อปฏิบัติย่อหย่อน 10 ประการทางพระวินัยของภิกษุวัชชีบุตร
ครั้งที่ 3.คือมีพวกปลอมบวชเยอะ และเคลมวัตรปฏิบัติของตนว่าเป็นพระพุทธศาสนา
เอาล่ะนะครับ ทั้ง 3 ครั้งของเถรวาทนี้ มีเหตุด้วยกันทั้งสิ้น จุดประสงค์หลักก็เพื่อ "กระชับพื้นที่"
ดึงเถรวาทใฟ้กลับไปยืนอยู่ในหลักการเดิมเมื่อครั้งหลังพระพุทธปรินิพพานใหม่ๆ นั่นเอง
คราวนี้ ความสับสนในการสังคายนาก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อพระพุทธศาสนาเผยแผ่ไปยังเกาะลังกาสายหนึ่ง
และมายังดินแดนสุวรรณภูมิอีกสายหนึ่ง ช่วงเวลาตรงกับหลังสังคายนาครั้งที่ 3 คือสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นเองครับ
เพราะเมื่อพระพุทธศาสนาเถรวาทแพร่หลายออกไปจากดินแดนกำเนิด ก็ได้ไปเจริญเติบใหญ่ในต่างแดน
แต่กับดินแดนกำเนิดพระศาสนาเอง กลับเสื่อมลงตามลำดับ จนกระทั่งแทบจะหมดไปในที่สุด
เอาล่ะนะครับ เราเห็นชัดเจนแล้วว่า สามครั้งแรกนั้น เป็นการกระชับพื้นที่
คือการดึงเข้าหาของเดิม และตัดสิ่งแปลกปลอมออกไป เรื่อง "เพี้ยน" หรือ "เติมแต่ง" เป็นไปได้หรือไม่ ?
ยังไม่ต้องตอบครับ จขกท ฟังต่อไป
คราวนี้ เมื่อแพร่ไปยังเกาะลังกาสายหนึ่ง และมายังดินแดนสุวรรณภูมิอีกสายหนึ่ง
เรามาดูที่ลังกากันครับ
พ.ศ. 433 ที่เกาะลังกามีการสังคายนาพระไตรปิฎก เหตุผลในการสังคายนาก็คือ เพื่อ
จารึกพระไตรปิฎกลงเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะก่อนหน้านั้น ใช้วิธี "มุขปาฐะ" คือสวดพร้อมกันมาตลอด
เรื่องความแม่นยำในความถูกต้องนั้น ค่อยมาสนทนากันในโอกาสต่อไป แต่ในมุมมองของผมแล้ว
ในสมัยนั้น การท่องพร้อมกันด้วยภิกษุเรือนร้อยๆ นั้น มีความแม่นยำมากกว่าเทคโนโลยี่การพิมพ์หรือการเขียนในสมัยเดียวกันครับ
ขอให้คุณดูการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อ พ.ศ. 433 ในลังกาเอาไว้ให้ดีๆ ครับ
ในลังกานั้น มีการสังคายนาต่อมาอีก 3 ครั้ง
ในพม่ายึด 3 ครั้งในอินเดีย นับสองครั้งในลังกาเป็นครั้งที่ 4 และสังคายนาต่อในพม่าเองอีก 2 ครั้ง รวมเป็น 6 ครั้ง
ส่วนไทยนั้น นับ 3 ครั้งที่อินเดีย ครั้งที่ 4-5 ที่ลังกา ตั้งใจฟังดีๆ นะครับ...
ส่วนครั้งที่ 6 นับที่ท่านพระพุทโฆสะเถระชำระอรรถกถาที่ลังกา ทางลังกาเขาไม่นับว่าเป็นการสังคายนา แต่เรานับ
ในครั้งที่ 7. ท่านพระกัสสปเถระ (ยุคหลัง) ชำระคัมภีร์อรรถกถาอีก ทางลังกาเขาไม่นับ แต่เราก็กลับนับเข้าไปเป็นการสังคายนา
ครั้งที่ 8 ประเทศล้านนา โดยพระเจ้าติโลกราช เป็นประธาน
ครั้งที่ 9.กรุงเทพฯ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นประธาน เพราะต้องการกระชับพื้นที่ความเป็นเถรวาทอีกเช่นเคย หลังสงครามที่ต่อเนื่องยาวนาน
จขกท อย่าลืมนะครับว่า ทางพม่าเขาก็กระชับพื้นที่เถรวาทเรื่อยมาเหมือนเรา
ปัจจุบันนี้ พระไตรปิฎกที่เราใช้ ก็สามารถเทียบกับพม่าได้ตรงกัน ที่ต่างกันก็เป็นรายละเอียดปลีดย่อยในการนับคัมภีร์เท่านั้น
แต่ตัวพระไตรปิฎกมีเนื้อหาเดียวกัน อักษรมีต่างกันบ้าง แต่ก็ได้ทำฟุตโน๊ตเอาไว้ตลอดเวลาครับ
คุณว่ามีจังหวะปลอมปนได้ตรงไหนครับ เพราะพอเข้าพ.ศ.400 กว่าๆ ก็เป็นลายลักษณ์อักษรไปแล้ว
และประเทศที่นับถือเถรวาททั้งหลาย ก็เทียบพระไตรปิฎกกันอย่างสม่ำเสมอ
เหตุผลในการสังคายนาทุกครั้ง เป็นเหตุผลในการพยายามวิ่งกลับไปหาของเก่า ของดั้งเดิมทั้งนั้น
จะมีเวลาไหนเข้าไปปลอมปนครับ ถ้าปลอมปนได้ คงจะเป็นการตบตาผู้คนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะประเทศที่ใช้พระไตรปิฎกเล่มเดียวกันนี้ เขาสอบทานกันความผิดพลาดกันอยู่เสมอๆ
ประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทมีกี่ประเทศในโลกครับ ?
ทำไมเขาถึงใช้พระไตรปิฎกบาลีเล่มเดียวกันได้ ?
ของเรานั้นมี 9 ครั้ง ก็จริง แต่เรายึดถือ 3 ครั้งที่อินเดีย
2 ครั้งที่ลังกา (เพราะเราเป็นลังกาวงศ์-อันนี้ค่อยสนทนากันต่อไป)
อีก 4 ครั้งหลัง ยิ่งไม่มีทางปลอมปนได้เลย เพราะโดนพระบาลีของประเทศพม่าตรึงเอาไว้หมดทุกทางครับ
ความคิดเห็นที่ 35
คุณ zodiac28 เคยบวชเรียนในพระพุทธศาสนาเถรวาทมาบ้างหรือไม่ครับ
เวลาที่เหล่าพระใหม่มานั่งท่องพร้อมกันกับพระแก่พรรษานั้น ยามที่เราท่องผิด 1 คำ
เสียงของเราจะโด่งออกมาทันทีเลยครับ และก็จะสะดุ้งเลยทีเดียว
มาดูวิธีสังคายนาเค้าทำกันอย่างไรครับ
การสังคายนาจะเริ่มจากการประกาศสมมติตนเป็นผู้ถาม (ปุจฉา) และผู้ตอบ (วิสัชนา) โดยผู้ถาม จะสอบถามพระวินัยแต่ละข้อตามลำดับ เมื่อผู้ตอบตอบแล้ว พระสงฆ์ที่เข้าร่วมประชุมจะสวดพระธรรมวินัยข้อนั้นพร้อมกัน เมื่อตรงกัน ไม่ผิดพลาด และที่ประชุมสงฆ์รับว่าถูกต้องแล้ว จึงถามข้ออื่นต่อไปจนจบพระวินัยปิฎก หลังจากนั้น จะเริ่มสังคายนาพระสูตรเป็นลำดับถัดมา
ที่มา
รูปแบบนั้น มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา นั่นเอง
ดังนั้น สังคายนาครั้งต่อๆ มา ก็คือการ "ทวน" ความถูกต้อง โดยการนำพระสงฆ์มานั่งสวดธรรมและวินัยข้อนั้นๆ พร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง
ใครสวดผิด เสียงก็จะโด่งออกมาทันที ผิดกี่คน ถูกกี่คน...
เมื่อเหตุการจริงๆ มันเป็นแบบนี้ คุณ zodiac28 นึกภาพตามซิว่า จะแม่นยำ หรือไม่แม่นยำ
แล้วตรงไหนที่ว่าจะเพี้ยนได้โดยง่าย และตรงไหนจะเปิดช่องทางให้นำอะไรเข้าไปปลอมปน
พระที่เข้าร่วม เป็นหลายร้อยองค์
สวดพร้อมกันเพื่อ "ทวน" พระธรรม-วินัย นะครับ ไม่ใช่มานั่งเขียนรัฐธรรมนูญกันใหม่ทั้งฉบับแบบบางประเทศ
โดยการทวนเนื้อหาของครั้งที่ 1 นั่นเองครับ
ทีแรกว่าจะตอบคห.คุณ zodiac28 แต่พอ จขกท ถามข้างบน เลยย้ายมาขึ้นคห.ใหม่เลย
คือเราต้องรู้วิธีการสังคายนาเสียก่อน ว่าเขาทำกันอย่างไร ถ้าไม่รู้แล้วเราคิดเอาเองไปต่างๆ นาๆ
รับรองว่าเละแน่ๆ ครับ
แม่แบบนั้น เขามีแล้วตั้งแต่ปฐมสังคายนานั่นเอง คือครั้งแรกเมื่อครั้งกระโน้น เขาร้อยกรองกันเสร็จจบไปแล้วในครั้งที่ 1 ครับ
สังคายนาครั้งต่อๆ มาก็ไล่ถามตอบเรียงข้อไป แล้วก็สวดบทร้อยกรองเดิมนั่นแหละดูซิว่ายังสวดตรงกันอยู่หรือไม่
เอาล่ะนะครับ ไม่ใช่ว่าผมพูดเอง แต่เป็นท่านศาสตราจารย์พิเศษท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตโตเป็นผู้อธิบาย
ผมมีคลิปท่านเจ้าคุณนะครับ ฟังกันให้เข้าใจนะครับ อย่าไปคิดเอาเอง พระไตรปิฎกจะเสื่อมลงเพราะมือเราเองนะครับ
เริ่มฟังกันตั้งแต่ต้นคลิปนะครับ ท่านจะได้เข้าใจและเต็มใจรักษาพระไตรปิฎกกันอย่างจริงใจกับของล้ำค่า 2600 ปี
นอกจากนั้นแล้ว ท่านเจ้าคุณยังกรุณาอธิบายเพิ่มอีกด้วยว่า พระอภิธรรมปิฎกนั้น เป็นพระพุทธพจน์
เวลาที่เหล่าพระใหม่มานั่งท่องพร้อมกันกับพระแก่พรรษานั้น ยามที่เราท่องผิด 1 คำ
เสียงของเราจะโด่งออกมาทันทีเลยครับ และก็จะสะดุ้งเลยทีเดียว
มาดูวิธีสังคายนาเค้าทำกันอย่างไรครับ
การสังคายนาจะเริ่มจากการประกาศสมมติตนเป็นผู้ถาม (ปุจฉา) และผู้ตอบ (วิสัชนา) โดยผู้ถาม จะสอบถามพระวินัยแต่ละข้อตามลำดับ เมื่อผู้ตอบตอบแล้ว พระสงฆ์ที่เข้าร่วมประชุมจะสวดพระธรรมวินัยข้อนั้นพร้อมกัน เมื่อตรงกัน ไม่ผิดพลาด และที่ประชุมสงฆ์รับว่าถูกต้องแล้ว จึงถามข้ออื่นต่อไปจนจบพระวินัยปิฎก หลังจากนั้น จะเริ่มสังคายนาพระสูตรเป็นลำดับถัดมา
ที่มา
รูปแบบนั้น มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งปฐมสังคายนา นั่นเอง
ดังนั้น สังคายนาครั้งต่อๆ มา ก็คือการ "ทวน" ความถูกต้อง โดยการนำพระสงฆ์มานั่งสวดธรรมและวินัยข้อนั้นๆ พร้อมกันอีกครั้งหนึ่ง
ใครสวดผิด เสียงก็จะโด่งออกมาทันที ผิดกี่คน ถูกกี่คน...
เมื่อเหตุการจริงๆ มันเป็นแบบนี้ คุณ zodiac28 นึกภาพตามซิว่า จะแม่นยำ หรือไม่แม่นยำ
แล้วตรงไหนที่ว่าจะเพี้ยนได้โดยง่าย และตรงไหนจะเปิดช่องทางให้นำอะไรเข้าไปปลอมปน
พระที่เข้าร่วม เป็นหลายร้อยองค์
สวดพร้อมกันเพื่อ "ทวน" พระธรรม-วินัย นะครับ ไม่ใช่มานั่งเขียนรัฐธรรมนูญกันใหม่ทั้งฉบับแบบบางประเทศ
โดยการทวนเนื้อหาของครั้งที่ 1 นั่นเองครับ
ทีแรกว่าจะตอบคห.คุณ zodiac28 แต่พอ จขกท ถามข้างบน เลยย้ายมาขึ้นคห.ใหม่เลย
คือเราต้องรู้วิธีการสังคายนาเสียก่อน ว่าเขาทำกันอย่างไร ถ้าไม่รู้แล้วเราคิดเอาเองไปต่างๆ นาๆ
รับรองว่าเละแน่ๆ ครับ
แม่แบบนั้น เขามีแล้วตั้งแต่ปฐมสังคายนานั่นเอง คือครั้งแรกเมื่อครั้งกระโน้น เขาร้อยกรองกันเสร็จจบไปแล้วในครั้งที่ 1 ครับ
สังคายนาครั้งต่อๆ มาก็ไล่ถามตอบเรียงข้อไป แล้วก็สวดบทร้อยกรองเดิมนั่นแหละดูซิว่ายังสวดตรงกันอยู่หรือไม่
เอาล่ะนะครับ ไม่ใช่ว่าผมพูดเอง แต่เป็นท่านศาสตราจารย์พิเศษท่านเจ้าคุณประยุทธ์ ปยุตโตเป็นผู้อธิบาย
ผมมีคลิปท่านเจ้าคุณนะครับ ฟังกันให้เข้าใจนะครับ อย่าไปคิดเอาเอง พระไตรปิฎกจะเสื่อมลงเพราะมือเราเองนะครับ
เริ่มฟังกันตั้งแต่ต้นคลิปนะครับ ท่านจะได้เข้าใจและเต็มใจรักษาพระไตรปิฎกกันอย่างจริงใจกับของล้ำค่า 2600 ปี
นอกจากนั้นแล้ว ท่านเจ้าคุณยังกรุณาอธิบายเพิ่มอีกด้วยว่า พระอภิธรรมปิฎกนั้น เป็นพระพุทธพจน์
แสดงความคิดเห็น
พระไตรปิฏกผ่านมา 2566 ปี สังคายนาแล้ว 9 ครั้ง ทำไมเชื่อว่าเนื้อหาไม่ผิดเพี้ยนหรือตกหล่นเลย???
สภาวะธรรมหลายสิ่ง หลายอย่าง ที่ครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่มั่น หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อสด หลวงพ่อฤาษี ลิงดำ หลวงปู่ดู่หรือแม้แต่นักปฏิบัติหลายร้อยคน ได้พบเจอในการปฏิบัติ และครูบาอาจารย์ท่านก็รับรองว่ามีจริง แต่ไม่มีบันทึกในพระไตรปิฏก เชื่อไม่ได้เลยหรือ???