สวัสดีค่ะทุกคน... เรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นกับเราค่ะ ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นพึ่งจะผ่านมาได้ไม่นานมานี้เอง และตัวเราเองก็คิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าจะยังไม่จบ ก่อนอื่นเลยเราขอแนะนำตัวเองก่อนเลยนะคะ เราชื่อลักษ์ อายุ21 ปี ภูมิลำเนาเป็นคนภาคอีสานมาตั้งแต่กำเนิด ครอบครัวของเราถือว่าเป็นครอบครัวใหญ่เลย มีกันทั้งหมด 6 คน คือ ตา ยาย แม่ น้า (น้องชายแท้ๆของแม่) พี่สาวลักษ์ และตัวลักษ์ค่ะ
ที่บ้านของลักษ์ (ทุกคนลองนึกภาพตามนะคะ) จะมีลักษณะเป็นที่ดินกว้าง มีบ้าน 2 หลังซึ่งทั้งสองหลังจะเป็นบ้านปูนล้วน โดยหลังแรกจะเป็นหลังใหญ่ชั้นเดียว ตั้งอยู่ทางด้านหน้าติดถนน มี3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัว และห้องโถงอยู่กลางบ้าน ซึ่งด้านหน้าบ้านหลังนี้จะใช้ในการเปิดกิจการทางการค้าอย่างหนึ่งด้วยค่ะ และภายในบ้านหลังนี้ยังใช้เป็นที่รับแขก ที่กินข้าว ที่พูดคุยกันระหว่างครอบครัวหรือผู้ที่มาเยี่ยมเยือน และมีห้องครัวอยู่ทางด้านหลังบ้าน อีกทั้งภายในบ้านยังมีห้องนอนของตา ยาย และน้า ทำให้ในบ้านหลังข้างหน้าจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ หลังบ้านจะเป็นสวนผักที่ยายปลูกไว้กินแบบพอเพียงตามประสาคนบ้านนอก
ส่วนบ้านหลังที่ 2 จะอยู่เยื้องๆมาทางด้านหลังบ้านหลังแรก ตัวบ้านจะยกสูงขึ้นเหนือพื้นประมาณ 1 เมตร ข้างบ้านจะมองเห็นแปลงผักของยาย บ้านหลังที่ 2 จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีแค่ห้องนอนและห้องน้ำโดยมี 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำเป็นแค่ห้องนอนของเรา แม่ และพี่สาวเราเท่านั้นค่ะ ซึ่งเวลาตอนกลางวันเราจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ และกลับมานอนที่บ้านหลังเล็ก เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด 18 ปีค่ะ
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องที่ยากจะอธิบายก็เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา...
แม่ของเราเกิดอาการไม่สบายค่อนข้างหนัก ต้องบอกก่อนนะคะว่าแม่เราเป็นคนที่แข็งแรงมาก ร่างกายค่อนข้างเป็นคนที่ท้วมๆหน่อย เป็นคนโครงใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆเลยค่ะ แม่บอกว่าคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณใต้รักแร้ด้านขวาที่บ้านเลยตัดสินใจพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ผลตรวจพบว่าแม่ของเราป่วยเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ค่ะ ซึ่งมันก็สามารถรักษาได้เนื่องจากยังเป็นเชื้อระยะเริ่มต้นอีกทั้งก้อนเนื้อที่ตรวจเจอยังมีขนาดไม่ใหญ่มากประมาณไข่ไก่ 1 ฟองเห็นจะได้ (ตามคำบอกเล่าของแพทย์) จากนั้นแม่ก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านและเริ่มเข้าสู่กระบวนการการรักษาอย่างจริงจัง ตอนนั้นตัวเราเองพึ่งจะขึ้นม.6ได้ประมาณ 2 เดือน เราก็ทั้งเรียนทั้งดูแลแม่ไปด้วย เพราะพี่สาวของเราไปเรียนที่มหาลัยในกรุงเทพ ตากับยายก็แก่แล้ว น้าก็ต้องดูแลในส่วยของกิจการ พอแม่รักษาตัวอยู่ได้ระยะหนึ่งก็มีน้าที่เป็นญาติเรา(เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ ต่อไปนี้จะขอแทนชื่อว่าน้าหวาน) น้าหวานแกสนิทกับแม่พอสมควร แกอยากลองพาแม่ไปหาหมอดูค่ะ ซึ่งน้าหวานแกเป็นคนที่ชอบดูดวงมากกกกก หมอดูคนไหนดีคนไหนดังแกเคยไปหาหมด ตัวแม่เราเองก็ชอบการดูดวงอยู่แล้วเลยตกลงไปกับน้าหวานค่ะ ซึ่งเราก็ขอไปด้วยเพราะว่าเราเองก็อยากเผือกนิดหน่อย ^^
พอมาถึงบ้านหมอดูป้าผญ.มีอายุคนนึงเดินออกมารับค่ะ ป้าแกก็พูดขึ้นว่า "คุณหวานที่จองคิวไว้ใช่มั้ย"
น้าหวานเลยตอบไปว่า "ใช่จ้าป้า"
ป้าคนนั้นบอกให้เราเข้าไปเลย หมอรออยู่ข้างในแล้ว
เราทั้งสามคนเดินเข้าไปข้างใน บรรยากาศในบ้านคือเหมือนบ้านคนปกติทั่วไปเลยค่ะ เป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ พอเราเดินเข้าไปถึงประตูบ้าน เรารู้สึกได้ว่าอากาศมันเย็นมากกกก แต่ไม่มีแม้แต่ลมเลย ข้างในบ้านมันดูสงบจนเรากลัว พอเข้ามาถึงห้องที่ใช้สำหรับดูดวงเราก็เห็นหมอดูค่ะ ซึ่งเขาเป็นผช. แต่สภาพคือแกเป็นคนพิการค่ะ โดยไม่สามารถเดินได้ (ต่อไปจะขอแทนว่าพ่อหมอนะคะ)
เราทั้ง 3 คนนั่งลงตรงหน้าพ่อหมอ แล้วพ่อหมอก็พูดขึ้นว่า "มีอะไรร้อนใจมาหรอ" ซึ่งตอนนั้นเราทั้ง3คนคือมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องที่แม่ป่วยที่เราต้องการมาดู แต่มันมีเรื่องที่เราไม่สามารถเล่าได้ เป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัว แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าพวกเราทั้ง 3 คนยังไม่ได้ทันถามอะไรพ่อหมอเลย แต่อยู่ดีๆ แกก็พูดขึ้นมาว่า "ถ้าอยากให้ทุกอย่างดีขึ้นให้ทำหลังคาบ้านทั้ง 2 หลังให้เชื่อมกัน...แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ทำประตูตรงบ้านหลังข้างหน้าให้มันไม่ทะลุกันซะ" แม่กับน้อเรามองหน้ากับแบบอึ้งมาก เราที่ยังไม่รู้อะไรเลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อน เพราะยังไม่กล้าพูดกล้าถามอะไรไปในตอนนั้น แม่กับน้าได้พูดคุยปรึกษากันอยู่พักนึง แต่เราไม่ได้ยินชัดว่าแม่กับน้าหวานคุยอะไรกัน คือแกสองคนพูดเบามากๆ ได้ยินแค่เสียงแม่พูดว่า "มันทำไม่ได้ ยากๆ "ประมาณนี้ พอแกทั้งสองปรึกษากันเสร็จแม่เลยถามพ่อหมอว่า "ถ้าไม่ทำอย่างที่พ่อหมอบอก มันจะมีวิธีอื่นที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นมั้ยคะ" คือเราเข้าใจในมุมมองของแม่มากๆเลยอ่ะ เพราะบ้านมันสร้างมาตั้งแต่สมัยตากับยายยังเป็นหนุ่มสาว ผ่านการซ่อมแซมต่อเติมมาค่อนข้างเยอะ ซึ่งมันค่อนข้างยากมากที่จะทำอย่างที่พ่อหมอได้แนะนำมา แต่สิ่งที่พ่อหมอตอบกลับมามันทำให้เรา น้าหวาน และแม่ถึงกลับต้องหน้าเหวอไปตามๆกัน เพราะสิ่งที่พ่อหมอพูดกับเราเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ป้าคนเดิมแกจะมาเชิญเราออกไป คือ
"เขาจะเอาถึงตายนะ รู้หรือเปล่า..."
เดี๋ยวมาต่อนะคั้บ เค้ายังอยู่ที่ฝึกงานอยู่เลยยย
ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญานในการอ่านกันด้วยนะคั้บบ
บุญที่ทำไปให้...กลายเป็นของสัมเวสี
ที่บ้านของลักษ์ (ทุกคนลองนึกภาพตามนะคะ) จะมีลักษณะเป็นที่ดินกว้าง มีบ้าน 2 หลังซึ่งทั้งสองหลังจะเป็นบ้านปูนล้วน โดยหลังแรกจะเป็นหลังใหญ่ชั้นเดียว ตั้งอยู่ทางด้านหน้าติดถนน มี3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 1 ห้องรับแขก 1 ห้องครัว และห้องโถงอยู่กลางบ้าน ซึ่งด้านหน้าบ้านหลังนี้จะใช้ในการเปิดกิจการทางการค้าอย่างหนึ่งด้วยค่ะ และภายในบ้านหลังนี้ยังใช้เป็นที่รับแขก ที่กินข้าว ที่พูดคุยกันระหว่างครอบครัวหรือผู้ที่มาเยี่ยมเยือน และมีห้องครัวอยู่ทางด้านหลังบ้าน อีกทั้งภายในบ้านยังมีห้องนอนของตา ยาย และน้า ทำให้ในบ้านหลังข้างหน้าจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ หลังบ้านจะเป็นสวนผักที่ยายปลูกไว้กินแบบพอเพียงตามประสาคนบ้านนอก
ส่วนบ้านหลังที่ 2 จะอยู่เยื้องๆมาทางด้านหลังบ้านหลังแรก ตัวบ้านจะยกสูงขึ้นเหนือพื้นประมาณ 1 เมตร ข้างบ้านจะมองเห็นแปลงผักของยาย บ้านหลังที่ 2 จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีแค่ห้องนอนและห้องน้ำโดยมี 3 ห้องนอน 1 ห้องน้ำเป็นแค่ห้องนอนของเรา แม่ และพี่สาวเราเท่านั้นค่ะ ซึ่งเวลาตอนกลางวันเราจะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ และกลับมานอนที่บ้านหลังเล็ก เราใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอด 18 ปีค่ะ
แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่งจุดเริ่มต้นของเรื่องที่ยากจะอธิบายก็เกิดขึ้นกับครอบครัวเรา...
แม่ของเราเกิดอาการไม่สบายค่อนข้างหนัก ต้องบอกก่อนนะคะว่าแม่เราเป็นคนที่แข็งแรงมาก ร่างกายค่อนข้างเป็นคนที่ท้วมๆหน่อย เป็นคนโครงใหญ่มาตั้งแต่เด็กๆเลยค่ะ แม่บอกว่าคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณใต้รักแร้ด้านขวาที่บ้านเลยตัดสินใจพาไปหาหมอที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด ผลตรวจพบว่าแม่ของเราป่วยเป็นมะเร็งเต้านมระยะที่ 2 ค่ะ ซึ่งมันก็สามารถรักษาได้เนื่องจากยังเป็นเชื้อระยะเริ่มต้นอีกทั้งก้อนเนื้อที่ตรวจเจอยังมีขนาดไม่ใหญ่มากประมาณไข่ไก่ 1 ฟองเห็นจะได้ (ตามคำบอกเล่าของแพทย์) จากนั้นแม่ก็กลับมาพักผ่อนที่บ้านและเริ่มเข้าสู่กระบวนการการรักษาอย่างจริงจัง ตอนนั้นตัวเราเองพึ่งจะขึ้นม.6ได้ประมาณ 2 เดือน เราก็ทั้งเรียนทั้งดูแลแม่ไปด้วย เพราะพี่สาวของเราไปเรียนที่มหาลัยในกรุงเทพ ตากับยายก็แก่แล้ว น้าก็ต้องดูแลในส่วยของกิจการ พอแม่รักษาตัวอยู่ได้ระยะหนึ่งก็มีน้าที่เป็นญาติเรา(เป็นลูกพี่ลูกน้องของแม่ ต่อไปนี้จะขอแทนชื่อว่าน้าหวาน) น้าหวานแกสนิทกับแม่พอสมควร แกอยากลองพาแม่ไปหาหมอดูค่ะ ซึ่งน้าหวานแกเป็นคนที่ชอบดูดวงมากกกกก หมอดูคนไหนดีคนไหนดังแกเคยไปหาหมด ตัวแม่เราเองก็ชอบการดูดวงอยู่แล้วเลยตกลงไปกับน้าหวานค่ะ ซึ่งเราก็ขอไปด้วยเพราะว่าเราเองก็อยากเผือกนิดหน่อย ^^
พอมาถึงบ้านหมอดูป้าผญ.มีอายุคนนึงเดินออกมารับค่ะ ป้าแกก็พูดขึ้นว่า "คุณหวานที่จองคิวไว้ใช่มั้ย"
น้าหวานเลยตอบไปว่า "ใช่จ้าป้า"
ป้าคนนั้นบอกให้เราเข้าไปเลย หมอรออยู่ข้างในแล้ว
เราทั้งสามคนเดินเข้าไปข้างใน บรรยากาศในบ้านคือเหมือนบ้านคนปกติทั่วไปเลยค่ะ เป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ พอเราเดินเข้าไปถึงประตูบ้าน เรารู้สึกได้ว่าอากาศมันเย็นมากกกก แต่ไม่มีแม้แต่ลมเลย ข้างในบ้านมันดูสงบจนเรากลัว พอเข้ามาถึงห้องที่ใช้สำหรับดูดวงเราก็เห็นหมอดูค่ะ ซึ่งเขาเป็นผช. แต่สภาพคือแกเป็นคนพิการค่ะ โดยไม่สามารถเดินได้ (ต่อไปจะขอแทนว่าพ่อหมอนะคะ)
เราทั้ง 3 คนนั่งลงตรงหน้าพ่อหมอ แล้วพ่อหมอก็พูดขึ้นว่า "มีอะไรร้อนใจมาหรอ" ซึ่งตอนนั้นเราทั้ง3คนคือมองหน้ากันเลิ่กลั่กแล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องที่แม่ป่วยที่เราต้องการมาดู แต่มันมีเรื่องที่เราไม่สามารถเล่าได้ เป็นเรื่องส่วนตัวภายในครอบครัว แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่าพวกเราทั้ง 3 คนยังไม่ได้ทันถามอะไรพ่อหมอเลย แต่อยู่ดีๆ แกก็พูดขึ้นมาว่า "ถ้าอยากให้ทุกอย่างดีขึ้นให้ทำหลังคาบ้านทั้ง 2 หลังให้เชื่อมกัน...แล้วถ้าเป็นไปได้ก็ทำประตูตรงบ้านหลังข้างหน้าให้มันไม่ทะลุกันซะ" แม่กับน้อเรามองหน้ากับแบบอึ้งมาก เราที่ยังไม่รู้อะไรเลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ก่อน เพราะยังไม่กล้าพูดกล้าถามอะไรไปในตอนนั้น แม่กับน้าได้พูดคุยปรึกษากันอยู่พักนึง แต่เราไม่ได้ยินชัดว่าแม่กับน้าหวานคุยอะไรกัน คือแกสองคนพูดเบามากๆ ได้ยินแค่เสียงแม่พูดว่า "มันทำไม่ได้ ยากๆ "ประมาณนี้ พอแกทั้งสองปรึกษากันเสร็จแม่เลยถามพ่อหมอว่า "ถ้าไม่ทำอย่างที่พ่อหมอบอก มันจะมีวิธีอื่นที่จะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้นมั้ยคะ" คือเราเข้าใจในมุมมองของแม่มากๆเลยอ่ะ เพราะบ้านมันสร้างมาตั้งแต่สมัยตากับยายยังเป็นหนุ่มสาว ผ่านการซ่อมแซมต่อเติมมาค่อนข้างเยอะ ซึ่งมันค่อนข้างยากมากที่จะทำอย่างที่พ่อหมอได้แนะนำมา แต่สิ่งที่พ่อหมอตอบกลับมามันทำให้เรา น้าหวาน และแม่ถึงกลับต้องหน้าเหวอไปตามๆกัน เพราะสิ่งที่พ่อหมอพูดกับเราเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ป้าคนเดิมแกจะมาเชิญเราออกไป คือ
"เขาจะเอาถึงตายนะ รู้หรือเปล่า..."
เดี๋ยวมาต่อนะคั้บ เค้ายังอยู่ที่ฝึกงานอยู่เลยยย
ขอให้ทุกคนใช้วิจารณญานในการอ่านกันด้วยนะคั้บบ