ปัญหาของผมเริ่มมาจากการเริ่มทำงานในที่แรก ผมเป็นเด็กจบโทแบบไร้ประสบการณ์ อายุยังอยู่ในช่วง 20s การทำงานที่นี่ ในช่วงแรกงานก็ยังพอทำได้โดยไม่มีความเครียดอะไรเท่าไร พอผ่านไปสักพักงานมันค่อยๆเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ที่เริ่มพี้คคือจากงานที่ทำเป็นทีม 2-3 คน เหลือผมทำงานคนเดียว คนอื่นถูกย้ายไปแผนกอื่นๆ ในช่วงนั้นตัวผมเกิดความเครียดค่อนข้างมาก นอนไม่หลับทั้งคืนติดกันหลายวัน นานหลายสัปดาห์ จนสุดท้ายต้องไปพบจิตแพทย์เพื่อปรึกษาหาทางออก หาจิตแพทย์ได้ราว 4 เดือน อาการยังไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจลาออกจากงานที่แรก รวมระยะเวลาทำงานทั้งสิ้นเกือบ 2 ปี หลังจากออกจากงานผมยังต้องปรึกษาจิตแพทย์ต่อเนื่องอีก 3 เดือน อาการเครียดจึงหายขาด
หลังจากนั้นผมใช้ระยะเวลาอยู่กับตัวเอง ทำกิจกรรมที่เบาสมองพร้อมกับ กลับไปช่วยกิจการเล็กๆ ของครอบครัว พอเริ่มรู้สึกว่าสภาวะจิตใจปกติจริงๆแล้ว จึงวางแผนไปบวชช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว แล้วก็สึกมาช่วงธันวาคม ระหว่างนั้นรู้สึกจิตใจสงบและมีความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตผม
จากนั้นผมก็กลับมาสมัครงานอย่างจริงจัง จนตัดสินใจตอบตกลงทำงานกับรัฐวิสาหกิจที่นึง โดยที่เลือกเงินเดือนน้อยกว่าที่อื่น ตัวงานมีโอกาสได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง และ มองว่างานน่าจะเหมาะกับคนที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานมากนักอย่างผม
แต่แล้ว มันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคาดไว้เลยแม้แต่น้อย ด้วยสไตล์การทำงานในทีม วัฒนธรรมองค์กร หรือ ตัวงานมันผิดจากที่ผมคาดหวังมาก ผมไม่มีอะไรเข้ากับทีมได้สักอย่าง แต่ก็ยังได้รับโอกาสให้แสดงฝีมือ ผมได้รับเสนอโปรเจคใหม่ๆ เข้ามาได้ลองทำ ซึ่งผมคิดว่สผใทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ผลข้างเคียงของมันกลับทำให้ผมย้อนกลับไปเป็นอาการเครียดแบบเดิม แต่ครั้งนี้มันหนักยิ่งกว่า งานมันกดดันมาก ประกอบกับผมเป็นคนนิสัยชอบกดดันตัวเอง ผมเครียดทุกวัน นอนไม่หลับติดกันเป็นระยะเวลาหลายวัน เกิดขึ้นทุกสัปดาห์ จนต้องกลับไปพบจิตแพทย์เหมือนเดิม ทั้งๆที่เริ่มทำงานได้ไม่ถึงเดือน ซึ่งหมอก็ให้ยาในกลุ่มเดิมคือยาคลายกังวล ลดความเครียด และ ยาช่วยนอนหลับ เหมือนกันที่เคยไปหาครั้งแรก
ในด้านงานด้วยความที่เป็นคนกดดันตัวเองอยู่แล้ว ต้องมาเจอหัวหน้าที่ชอบกดดัน มันยิ่งทำให้ผมเครียด และ เครียดเพิ่มขึ้นทุกวัน ประกอบกับเป็นงานที่ต้องทำยอด ซึ่งไม่ได้ต่างจากบริษัทเอกชน มันก็ยิ่งทวีความเครียดของผมขึ้นไปอีก
ซึ่ง ณ ตอนนี้ยาทุกอย่างที่มันเคยได้ผล มันก็เริ่มไม่ได้ผล แรงใจในการทำงานผมเริ่มถดถอย และ มันก็เริ่มส่งผลกระทบต่อร่างกายของผม หลังจากทำงานในแต่ละวัน สมองผมเกิดอาการล้าจากความเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนแค่เดินทางกลับบ้านก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนว่าสมองมันอยาก shut down ณ เดี๋ยวนั้น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ยังได้รับผลข้างเคียงอยู่
ผมได้ลองพยายามคุยกับที่บ้าน พยายามบอกว่าร่างกายผมเริ่มรู้สึกได้รับผลกระทบจากความเครียดนี้มากเกินไปแล้ว ซึ่งมันเริ่มส่งผลกระทบต่อผมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และ อธิบายในสิ่งที่ผมได้พบเจอ โดยแค่คาดหวังแค่ว่าให้เข้าใจผมสักเล็กน้อยก็ยังดี และ หวังคำปลอบประโลม และ เอาใจช่วยอยู่ลึกๆ ในใจ แต่ที่ผมได้รับกลับมากลับเป็นการซ้ำเติม แรกๆ เค้าก็เหมือนจะพยายามเข้าใจเรา แต่พอผมออกไปทำงาน เค้าก็เอามาพูดว่าผมมันไม่เอาไหน เหยาะแหยะ (น้องใทำงานที่บ้าน ได้ยินเข้าเลยบอกมา) ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่พักหลังๆ ยิ่งผมเป็นหนักขึ้นๆ เค้าก็เริ่มต่อว่าผมตรงๆ โดยใช้คำพูดที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากความเครียด ก็เริ่มเป็นความท้อแท้ ความเหนื่อยล้า และ ความโศกเศร้า
ณ ตอนนี้ผมเลิกที่จะคาดหวังว่าชีวิตผม หรือ อะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันจะดีขึ้นกว่าเก่า ผมคงดำเนินชีวิตต่อไปเท่าที่ผมจะทนไหว สุดท้ายนี้ผมแค่มาหาพื้นที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนของผม เพื่อที่จะได้ระบายความอัดอั้นที่พอกพูนตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมคงไม่กลับมาอ่านกระทู้นี้ เพราะผมคงไม่อยากรับรู้การซ้ำเติมจากใครอีก เพราะจิตใจของผมในช่วงเวลานี้คงจะรับการซ้ำเติมอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว หากใครอ่านถึงตรงนี้ ผมก็อยากขอขอบคุณจากใจจริง ผมอยากบอกว่าจริงๆแล้ว กำลังใจจากคนใกล้ตัวมันสำคัญจริงๆ หากคุณมีคนในครอบครัวที่กำลังท้อแท้ กำลังอยู่ในสภาวะใกล้เคียงกับผม ถึงแม้ว่าบางทีคุณจะไม่เข้าใจถึงสถานะที่เค้าเป็น แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้โปรด อย่าได้ซ้ำเติมเค้ามากไปกว่านี้เลย บางทีคำพูดให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ มันอาจสร้างกำลังใจในชีวิตที่มันอาจจะกำลังมอบดับลงให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้งก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ
ผมรู้สึกท้อแท้กับชีวิตจังเลยครับ
หลังจากนั้นผมใช้ระยะเวลาอยู่กับตัวเอง ทำกิจกรรมที่เบาสมองพร้อมกับ กลับไปช่วยกิจการเล็กๆ ของครอบครัว พอเริ่มรู้สึกว่าสภาวะจิตใจปกติจริงๆแล้ว จึงวางแผนไปบวชช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว แล้วก็สึกมาช่วงธันวาคม ระหว่างนั้นรู้สึกจิตใจสงบและมีความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าจะมีแต่สิ่งดีๆเกิดขึ้นกับชีวิตผม
จากนั้นผมก็กลับมาสมัครงานอย่างจริงจัง จนตัดสินใจตอบตกลงทำงานกับรัฐวิสาหกิจที่นึง โดยที่เลือกเงินเดือนน้อยกว่าที่อื่น ตัวงานมีโอกาสได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง และ มองว่างานน่าจะเหมาะกับคนที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานมากนักอย่างผม
แต่แล้ว มันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคาดไว้เลยแม้แต่น้อย ด้วยสไตล์การทำงานในทีม วัฒนธรรมองค์กร หรือ ตัวงานมันผิดจากที่ผมคาดหวังมาก ผมไม่มีอะไรเข้ากับทีมได้สักอย่าง แต่ก็ยังได้รับโอกาสให้แสดงฝีมือ ผมได้รับเสนอโปรเจคใหม่ๆ เข้ามาได้ลองทำ ซึ่งผมคิดว่สผใทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แต่ผลข้างเคียงของมันกลับทำให้ผมย้อนกลับไปเป็นอาการเครียดแบบเดิม แต่ครั้งนี้มันหนักยิ่งกว่า งานมันกดดันมาก ประกอบกับผมเป็นคนนิสัยชอบกดดันตัวเอง ผมเครียดทุกวัน นอนไม่หลับติดกันเป็นระยะเวลาหลายวัน เกิดขึ้นทุกสัปดาห์ จนต้องกลับไปพบจิตแพทย์เหมือนเดิม ทั้งๆที่เริ่มทำงานได้ไม่ถึงเดือน ซึ่งหมอก็ให้ยาในกลุ่มเดิมคือยาคลายกังวล ลดความเครียด และ ยาช่วยนอนหลับ เหมือนกันที่เคยไปหาครั้งแรก
ในด้านงานด้วยความที่เป็นคนกดดันตัวเองอยู่แล้ว ต้องมาเจอหัวหน้าที่ชอบกดดัน มันยิ่งทำให้ผมเครียด และ เครียดเพิ่มขึ้นทุกวัน ประกอบกับเป็นงานที่ต้องทำยอด ซึ่งไม่ได้ต่างจากบริษัทเอกชน มันก็ยิ่งทวีความเครียดของผมขึ้นไปอีก
ซึ่ง ณ ตอนนี้ยาทุกอย่างที่มันเคยได้ผล มันก็เริ่มไม่ได้ผล แรงใจในการทำงานผมเริ่มถดถอย และ มันก็เริ่มส่งผลกระทบต่อร่างกายของผม หลังจากทำงานในแต่ละวัน สมองผมเกิดอาการล้าจากความเครียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จนแค่เดินทางกลับบ้านก็รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างบอกไม่ถูก มันรู้สึกเหมือนว่าสมองมันอยาก shut down ณ เดี๋ยวนั้น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์ อาทิตย์ ก็ยังได้รับผลข้างเคียงอยู่
ผมได้ลองพยายามคุยกับที่บ้าน พยายามบอกว่าร่างกายผมเริ่มรู้สึกได้รับผลกระทบจากความเครียดนี้มากเกินไปแล้ว ซึ่งมันเริ่มส่งผลกระทบต่อผมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และ อธิบายในสิ่งที่ผมได้พบเจอ โดยแค่คาดหวังแค่ว่าให้เข้าใจผมสักเล็กน้อยก็ยังดี และ หวังคำปลอบประโลม และ เอาใจช่วยอยู่ลึกๆ ในใจ แต่ที่ผมได้รับกลับมากลับเป็นการซ้ำเติม แรกๆ เค้าก็เหมือนจะพยายามเข้าใจเรา แต่พอผมออกไปทำงาน เค้าก็เอามาพูดว่าผมมันไม่เอาไหน เหยาะแหยะ (น้องใทำงานที่บ้าน ได้ยินเข้าเลยบอกมา) ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอก แต่พักหลังๆ ยิ่งผมเป็นหนักขึ้นๆ เค้าก็เริ่มต่อว่าผมตรงๆ โดยใช้คำพูดที่หนักขึ้นเรื่อยๆ จากความเครียด ก็เริ่มเป็นความท้อแท้ ความเหนื่อยล้า และ ความโศกเศร้า
ณ ตอนนี้ผมเลิกที่จะคาดหวังว่าชีวิตผม หรือ อะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นมันจะดีขึ้นกว่าเก่า ผมคงดำเนินชีวิตต่อไปเท่าที่ผมจะทนไหว สุดท้ายนี้ผมแค่มาหาพื้นที่เงียบๆ ที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนของผม เพื่อที่จะได้ระบายความอัดอั้นที่พอกพูนตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ผมคงไม่กลับมาอ่านกระทู้นี้ เพราะผมคงไม่อยากรับรู้การซ้ำเติมจากใครอีก เพราะจิตใจของผมในช่วงเวลานี้คงจะรับการซ้ำเติมอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว หากใครอ่านถึงตรงนี้ ผมก็อยากขอขอบคุณจากใจจริง ผมอยากบอกว่าจริงๆแล้ว กำลังใจจากคนใกล้ตัวมันสำคัญจริงๆ หากคุณมีคนในครอบครัวที่กำลังท้อแท้ กำลังอยู่ในสภาวะใกล้เคียงกับผม ถึงแม้ว่าบางทีคุณจะไม่เข้าใจถึงสถานะที่เค้าเป็น แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้โปรด อย่าได้ซ้ำเติมเค้ามากไปกว่านี้เลย บางทีคำพูดให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ มันอาจสร้างกำลังใจในชีวิตที่มันอาจจะกำลังมอบดับลงให้กลับมาสว่างไสวอีกครั้งก็ได้ครับ
ขอบคุณครับ