JJNY : 5in1 พท.โร่แจง'ค่าไฟแพง'│พท.จี้‘ตู่’รับผิดชอบ│พิธาดัน‘ศิริกัญญา’│บิ๊ก CPF โอด│เดนมาร์ก-เนเธอร์แลนด์จะบริจาครถถัง

เพื่อไทย โร่แจง 'ค่าไฟแพง' เพราะ 'ปู ยิ่งลักษณ์' หลังแห่แชร์ในกลุ่มสวัสดีวันจันทร์
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7622020

 
เพื่อไทย โร่แจง ‘ค่าไฟแพง’ เพราะ ‘ปู ยิ่งลักษณ์’ หลังแห่แชร์ในกลุ่มไลน์สวัสดีวันจันทร์ รวมถึงในช่องทางอื่น ๆ ในโลกโซเชียลอย่างมากมาย
 
20 เม.ย. 2566 – นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ​​กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าว ไฟฟ้าแพงเพราะสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ได้เซ็นสัญญาเพิ่มกิโลวัตต์ โดยผู้โพสต์คือ นายหิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ก่อนมีการแชร์ข่าวดังกล่าวไปตามกลุ่มไลน์ผู้สูงอายุ รวมถึงในโซเชียลอย่างมากมาย
 
นายศึกษิษฏ์ กล่าวว่า หากย้อนไปช่วงนั้นพบว่า GDP ประเทศไทยเติบโตประมาณ 7% ดังนั้นการมีกิโลวัตต์ไฟฟ้าที่เหลือ เพื่อการรองรับเศรษฐกิจที่โตขึ้นจึงเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ 8 ปีที่ผ่านมา GDP ไทยโตต่ำกว่าที่ประมาณการณ์ไว้จากการบริหารของรัฐบาลนี้ หากจะใช้ข้ออ้างว่าต้องมีส่วนเพิ่มเติมตามขีดความสามารถของเศรษฐกิจ (Access capacity) ให้มากกว่า 54% ถือว่าไม่ค่อยเหมาะสม
 
อีกทั้ง คสช.ทำรัฐประหาร มีการแต่งตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานชุดใหม่ ไม่มีการเปิดประมูลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระเข้ามา ไม่มีการเจรจากับภาคเอกชน ทั้งที่การใช้พลังงานของประเทศลดลง ดังนั้นจึงต้องเข้าไปเจรจากับโรงไฟฟ้าเพื่อปรับลดการผลิตไฟฟ้าอย่างเป็นธรรม
 
ขณะเดียวกันช่วงโควิด-19 กำลังระบาด มีการปิดโรงไฟฟ้า 7-9 โรง แต่โรงไฟฟ้าเหล่านั้นยังได้รับรายได้เหมือนเดิม อีกทั้ง 6 เดือนก่อนยุบสภา มีการเจรจาซื้อไฟฟ้าเพิ่มอีก 3 แหล่งเพิ่มมาอีกประมาณ 1,000 กิโลวัตต์ และมีการทำสัญญาอนุมัติที่เขื่อนหลวงพระบางอีก 35 ปี เปรียบเสมือนการล็อกตัวเองไว้กับค่าใช้จ่าย ซึ่งปกติต้องมีความยืดหยุ่นมากกว่านี้
 
ข้อกล่าวหาว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้ค่าไฟแพงที่เกิดขึ้น จึงไม่เป็นความจริง แต่เกิดจากการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพและวิสัยทัศน์ที่ไม่ชัดเจนมากกว่า ที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้นในสถานการณ์ปัจจุบัน



เพื่อไทย จี้ ‘บิ๊กตู่’ รับผิดชอบเหตุปาบึ้มใส่รถ‘ประชา’ บี้ กกต.เร่งสอบ ส่อโยงยุบพรรค
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7621728
 
เพื่อไทย จี้ ‘ประยุทธ์’ รับผิดชอบเหตุปาบึ้มใส่รถ ‘ประชา’ บี้ กกต.เร่งสอบ ประเสริฐโวยตร.ตั้งข้อหาไม่เหมาะ ส่อผิด กม.เลือกตั้ง โทษถึงจำคุก-ยุบพรรค
 
เมื่อวันที่ 20 เม.ย.2566 ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายภูมิธรรม เวชยชัย นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค และผอ.ศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย แถลงกรณีรถประชาสัมพันธ์หาเสียงของ นายประชา ประสพดี ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ  ถูกปาระเบิดระหว่างหาเสียง เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านา
 
นายภูมิธรรม กล่าวว่า จากเหตุการณ์ดังกล่าว สรุปได้ใน 2 ประเด็น ดังนี้ 
 
1. การกระทำที่เกิดขึ้นเป็นการใช้อำนาจอันมิชอบ ขณะนี้อยู่ในวาระของการเลือกตั้ง ภายใต้การบริหารจัดการในรัฐบาลนี้ และอยู่ในอำนาจหน้าที่ของ กกต.ที่ต้องสืบสวนให้ชัดเจน เพราะผู้ปาระเบิดใส่รถหาเสียงของนายประชานั้น เป็นหัวคะแนนของพรรคที่มีความเกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ
 
ดังนั้น นายกฯ ต้องสืบให้ทราบว่า เกิดปัญหานี้ได้อย่างไรจะรับผิดชอบอย่างไร แล้วจะจัดการปัญหานี้อย่างไร กกต.ต้องเข้ามาดูแล เพราะเข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายเลือกตั้ง
 
2. มีประชาชนให้ข้อมูลกล่าวหาว่า มีการใช้อิทธิพลของรัฐ อำนาจรัฐ กลไกของรัฐไปใช้ช่วยหาคะแนนเสียงให้กับพรรคหนึ่งในภาคเหนือและภาคอีสาน โดยมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตำรวจ เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ระดับผู้กำกับ ผู้การ สารวัตรให้ทำทุกวิถีทาง เพื่อให้พรรคหนึ่งได้รับชัยชนะในหลายเขตเลือกตั้ง เมื่อมีข่าวนี้เกิดขึ้น นายกฯ ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ควรสร้างความกระจ่าง ไม่ควรทำให้เกิดข้อครหา ทำให้ประชาชนไม่สบายใจ
 
มิฉะนั้นอาจถูกมองได้ว่าผู้นำของประเทศอยากสืบทอดอำนาจของตนเอง ใช้อำนาจทุกวิถีทางเพื่ออยู่ต่อ เพราะเราต่างขออาสามารับใช้ประชาชน ไม่ควรมีใครใช้กระบวนการของรัฐข่มขู่คุกคามผู้สมัครต่างพรรคต่างเบอร์กัน ซึ่งผิดกับหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
 
เราไม่ควรมีบรรยากาศการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยที่มีการข่มขู่ คุกคาม นำไปสู่การทำลายระบบประชาธิปไตย เกิดการหวาดหวั่นในการเลือกตั้งที่จะถึง และหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ใดๆ ขึ้นอีก ไม่ควรมีกระบวนการใด อิทธิพลใด หรือการกระทำใดๆ ที่กระบวนการของรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องและข่มขู่ผู้สมัคร ที่ต่างพรรคต่างเบอร์ กกต.ไม่ต้องรอให้พรรคเพื่อไทยร้องเรียน สามารถสอบสวนได้เลย” นายภูมิธรรม กล่าว
 
นายประเสริฐ กล่าวว่า การกระทำดังกล่าว ถือเป็นการคุกคาม ขู่เข็ญผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค และผู้สนับสนุนให้เกิดความหวาดกลัว ส่งผลต่อการได้เปรียบ เสียเปรียบในการเลือกตั้ง ส่อเกิดความไม่เป็นธรรม ตัวผู้กระทำผิดก็มีพฤติกรรมเกี่ยวพันกับพรรคที่นายกฯ มีความเกี่ยวข้องอีกด้วย พล.อ.ประยุทธ์ต้องรับผิดชอบตรวจสอบ และดำเนินการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในลักษณะเดียวกันอีก
 
ทั้งนี้ พฤติการณ์ของผู้กระทำผิด พรรคเห็นว่าสุ่มเสี่ยงที่จะฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายพรรคการเมือง เพราะเป็นการคุกคามต่อความสงบเรียบร้อย ซึ่งไม่ใช่แค่ข่มขวัญ แต่หวังเอาชีวิต ดังนั้น กกต.ควรเข้าไปตรวจสอบเพื่อเอาผิดพรรคการเมืองและนักการเมืองที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว
นายประเสริฐ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมคือ 

1. สถานที่เกิดเหตุระเบิดและสถานีตำรวจอยู่ห่างกันไม่ถึง 1 กิโลเมตร แต่เมื่อผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ แจ้งไปยังสน. กลับใช้เวลาเดินทางมาตรวจสอบนานถึง 30 นาที ทั้งที่ควรใช้เวลาแค่ 5-10 นาทีเท่านั้น
 
2. ภายหลังจับกุมผู้กระทำผิด พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาแก่ผู้กระทำผิดเบาเกินไป ไม่สมเหตุสมผล ได้แก่ ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว ทำให้เสียทรัพย์ พยายามทำร้ายร่างกาย และทำให้ส่งเสียงดังอื้ออึง โดยปกตินายประชา จะนั่งไปในรถหาเสียงคันดังกล่าวด้วย หากวันนั้นนายประชา อยู่ในรถคันดังกล่าว โดนระเบิดหลบไม่ทัน หมายถึงการประสงค์ต่อชีวิต ดังนั้น การตั้งข้อหาที่เบาเกินไป จึงดูขาดน้ำหนัก
 
นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า การที่ผู้ต้องหา อ้างว่าเป็นโรคทางจิตเวช แต่ในข้อเท็จจริงผู้กระทำความผิดเคยได้รับโทษจำคุกเป็นเวลา 9 เดือน ระหว่างนั้นได้ยกเอาสาเหตุอาการป่วยทางจิตมาเป็นสาเหตุอ้างต่อศาล แต่ศาลไม่รับฟัง และได้ตัดสินจำคุกผู้ต้องหา 9 เดือน ครั้งนี้ตนกังวลว่าจะยกเอาเหตุผลทางจิตเวชขึ้นมาอีก แต่ในเมื่อมีบรรทัดฐานจากคดีการลักทรัพย์ที่ผู้ต้องหาถูกจำคุกแล้ว จึงไม่ควรอ้างเหตุนี้อีก ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการการเลือกตั้งพรรค แจ้งไปยังผู้สมัคร ส.ส.ทั้ง 400 เขต ให้ระมัดระวังในการลงพื้นที่ และเป็นศูนย์กลางรับเรื่องการลงพื้นที่ต่างๆ

นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ในข้อกฎหมาย สามารถตั้งข้อสังเกตหรือเอาผิดได้ 2 ประเด็น คือ 

1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนว่าอยู่ในช่วงเวลาที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2566 แล้ว การทำผิดกฎหมายการเลือกตั้งในช่วงนี้ ถือเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต.ต้องเข้ามาดูแลและดำเนินคดี
 
หากสอบสวนแล้วพบผู้กระทำผิด โทษตามที่กฎหมายระบุไว้ อาจมีโทษถึงจำคุก หรือหากสอบสวนแล้วพบว่ามีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งเสริม หรือ ทราบเรื่องแต่ไม่ห้ามปราบ อาจมีผลถึงขั้นยุบพรรคได้
 
2. พฤติกรรมข้าราชการที่วางตนไม่เป็นกลาง หรือ ช่วยเหลือสนับสนุนใดๆ ให้เกิดการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เนื่องจากกฎหมายเลือกตั้งได้ให้อำนาจ กกต.สั่งห้ามไม่ให้ข้าราชการกระทำการที่สุ่มเสี่ยงต่อการเอื้อต่อพรรคใดพรรคหนึ่ง หากสั่งการแล้วข้าราชการไม่เชื่อฟัง กกต. มีอำนาจเสนอย้ายข้าราชการเหล่านั้นให้ออกจากพื้นที่ จึงขอแจ้งไปยังผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคว่าหากพบพฤติกรรมของข้าราชการ และอาจทำให้ผู้สมัครได้รับความเสียหาย หรืออยู่ในการแข่งขันที่ไม่ยุติธรรม ผู้สมัครสามารถใช้กฎหมายข้อนี้ในการเอาผิดได้
 


พิธา ลั่นถ้าเป็นรัฐบาล 100 วันแรก ดัน ‘ศิริกัญญา’ นั่งรมว.คลัง ปลดล็อกสุราเสรี
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7621579

พิธา ลั่น ถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล 100 วันแรก ดัน ศิริกัญญา นั่งรมว.คลัง ปลดล็อกสุราเสรี ล็อกเป้ารีดงบกองทัพ ย้ำเงื่อนไขตึง 3 ข้อ ร่วมรัฐบาล
 
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 20 เม.ย. 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ ของพรรค กล่าวในรายการ ‘กรรมกรข่าวเปิดอกคุย’ ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ถึงกรณีถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะทำอะไร ว่า ถ้าเป็นรัฐบาล 100 วันแรก ส่งน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ไปเป็นรมว.คลัง แก้ไขกฎกระทรวงให้ไม่สามารถมีกฎหมายกีดกันการค้าในอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ ไม่ต้องใช้กฎหมาย เพราะเป็นกฎกระทรวง
 
เมื่อถามว่า เรื่องนี้เคยสู้กันมาในสภาช่วงที่ผ่านมา สุดท้ายรัฐบาลตัดหน้าแก้กฎกระทรวง เรื่องสรรพสามิต นายพิธา กล่าวว่า มันคือการลดกำแพงหนึ่ง แล้วเพิ่มกำแพงใหม่ขึ้นมา เพิ่มผู้ผลิต ไม่ได้เพิ่มผู้ดื่ม สำหรับทุนใหญ่ที่กังวลว่าจะโดนคุกคาม พอผ่านกฎหมายสุราก้าวหน้า มาร์เก็ตแชร์เจ้าใหญ่หายไปแค่ 5% คือ 3-4 หมื่นล้านบาท แต่ 3-4 หมื่นล้านบาทในมือเกษตรกร และในมือของเจ้าสัวมันต่างกันเยอะ
 
เมื่อถามถึงนโยบายการลดงบกองทัพ ไม่ต้องซื้อเรือดำน้ำและอาวุธยุทโธปกรณ์ แต่ความมั่นคงเดิมบอกว่าต้องมี นายพิธา ว่า สำหรับคนที่บอกว่าความมั่นคงยังสำคัญ เมื่อเราปฏิรูปกองทัพเมื่อไหร่ กองทัพที่เป็นมืออาชีพ กองทัพที่สามารถมีงบประมาณส่วนหนึ่งไปสู้กับภัยคุกคามแบบใหม่ๆ จะทำให้คุณมั่นใจในความมั่นคงของประเทศมากขึ้น
 
นายพิธา กล่าวต่อว่า มีคนเคยบอกตนว่า จำนวนพลทหารเยอะเท่าไหร่ แสดงว่ากองทัพนั้นอ่อนแอมากเท่านั้น เพราะคุณจะไม่มีงบไปอัปเกรดเทคโนโลยีในกองทัพ ทุกวันนี้เขาสู้กันด้วยการแฮ็ก ไซเบอร์ซีเคียวริตี้ คือภัยความมั่นคงคุกคามอันใหม่ ที่ประเทศไทยก็เจออยู่คือ 9Near
 
ถ้าอยากเห็นประเทศไทยมีความมั่นคงมากขึ้น ต้องลงทุนในเทคโนโลยีของกองทัพ มากกว่าจำนวนพลทหารที่มีไว้ตัดหญ้า และซักเสื้อ ถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล จะรีดไขมันที่ไม่จำเป็นจากกองทัพ และยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ไม่เท่ากับยกเลิกทหาร” นายพิธา กล่าว
 
เมื่อถามว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล อยากดูแลกระทรวงกลาโหมหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า “อยากดูครับ
 
ตอนนี้งบกระทรวงกลาโหม 2 แสนล้านบาท ถ้าตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกจะประหยัดได้ 5 หมื่นล้านบาท ยืนยันว่าต้องเอาจริง เพราะถ้าไม่เอาจริงก็ไม่มีทางเลือกอื่น เราจะหาเงินมาจากไหน ถ้าไม่รีดไขมันในตัวของเราเอง” นายพิธา กล่าว
 
เมื่อถามว่า สมมติก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล แต่พรรคร่วมรัฐบาล ไม่ยอมให้ทำนโยบายที่ตึงเหล่านี้ จะทำอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า ตนมีเงื่อนไขที่ตึง และเงื่อนไขที่หย่อน ลายเซ็นของพรรคก้าวไกล คือ ปฏิรูปกองทัพ สุราก้าวหน้า และสมรสเท่าเทียม ซึ่งที่ตนฟังจากผู้นำพรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน ทั้ง 3 เงื่อนไขดังกล่าว ตนยังไม่เห็นใครบอกว่าไม่ได้ ดังนั้น ทำให้ตนมั่นใจ ทั้งนี้ คงจะมีอีกหลายเงื่อนไขที่หย่อนลง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่