JJNY : ‘สติธร’เชื่อ เลือกตั้ง 66│ก้าวไกลลุยหาเสียง ยึดโคราชได้แน่│ค้าปลีกไตรมาสแรกน่าห่วง│โปแลนด์ส่งบินรบช่วยยูเครนเพิ่ม

‘สติธร’ เชื่อ เลือกตั้ง 66 คนกาพรรคจาก ‘อุดมการณ์’ ยัน ‘นโยบาย’ คือลำดับสุดท้าย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3914100
 
 
‘ธรรมศาสตร์’ จัดเสวนา ‘อ่านเกมเลือกตั้ง’ 66 นโยบายใครปัง ใครพัง’ วิทยากรเห็นพ้อง นโยบายพรรคการเมืองที่ใช้หาเสียงสร้างภาระงบประมาณชาติ หนีไม่พ้นต้องกู้เงินเพิ่ม กระทบการพัฒนาประเทศในระยะยาว แม้มีกลไกควบคุมการโฆษณาหาเสียง แต่บทลงโทษเบา- กกต.มีข้อจำกัด
 
เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จัดเสวนาวิชาการเนื่องในวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2566 หัวข้อ “อ่านเกมเลือกตั้ง’ 66 นโยบายใครปัง ใครพัง”  โดยมีผู้เข้าร่วมฟังจำนวนมาก
 
ในตอนหนึ่ง ดร.สติธร ธนานิธิโชติ ผู้อำนวยการสำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า ในทางทฤษฎีของรัฐศาสตร์มี 4 ปัจจัยใหญ่ ที่ประชาชนจะใช้ในการตัดสินใจเลือกพรรคการเมือง ได้แก่
 
1. นโยบาย ซึ่งตัวเลขจากการสำรวจแหล่งยืนยันตรงกันว่า ประชาชนจะให้คำตอบว่าเลือกจากนโยบายเป็นปัจจัยสำคัญที่ใช้ในการตัดสินใจ 
 
2. อุดมการณ์ ซึ่งไม่ได้หมายถึงในแง่ของอุดมคติ หรือฝ่ายขวา-ซ้ายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในระยะหลังยังอาจเป็นการพูดถึงในแง่ของจุดยืนทางการเมือง แนวความคิด การมองทิศทางของประเทศ

3. ยุทธศาสตร์ แม้ประชาชนจะมีพรรคหรือนโยบายที่ชื่นชอบ แต่หากคำนวณปลายทางแล้วพรรคนั้นอาจไม่สามารถเป็นรัฐบาล ก็อาจต้องเลือกเชิงยุทธศาสตร์ โดยเลือกพรรคที่ชอบรองลงมาแต่มีโอกาสเป็นรัฐบาลมากกว่า หรือเพื่อปิดประตูไม่ให้ใครบางคนเข้าสู่อำนาจ เป็นต้น

4. ระบบอุปถัมภ์ พิจารณาจากผลประโยชน์ในการพึ่งพิงอาศัย ช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ โดยอาจเป็นความใกล้ชิดสนิทสนม หรืออาจเป็นการอุปถัมภ์เฉพาะหน้า เสนอผลประโยชน์ในระยะสั้นที่ยอมรับได้ เช่น การรับเงินซื้อเสียง การสัญญาว่าจะเอางบประมาณหรือโครงการมาลงในพื้นที่ เป็นต้น
 
ดร.สติธร กล่าวว่า ปัจจัยทั้ง 4 นี้ ไม่ได้มีผลกับเฉพาะผู้เลือกตั้งเท่านั้น แต่ในทางกลับกันก็ทำให้ทางพรรคการเมืองอ่านโจทย์และคิดเป็นยุทธศาสตร์ในการหาเสียง ทำให้ในหลายครั้งเราจึงเห็นนโยบายที่ไม่ได้เน้นตัวสาระ แต่ใช้เป็นเครื่องมือในการดึงดูด หรือการที่พรรคฝั่งเดียวกันเสนอนโยบายออกมาแล้ว ก็เสนอออกมาเกทับกัน เป็นต้น ดังนั้นสุดท้ายจึงทำให้นโยบายของหลายพรรคการเมือง อาจไม่ได้ถูกคิดบนฐานของนโยบายแท้จริง แต่คิดแบบกลยุทธ์ในการนำเสนอแทน
 
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเชื่อว่าในสถานการณ์ขณะนี้ คนกรุงเทพฯ และในเขตเมืองจะตัดสินใจบนฐานของอุดมการณ์นำ ตามมาด้วยการคิดในเชิงยุทธศาสตร์ แล้วจึงมองระบบอุปถัมภ์ ส่วนนโยบายจะเป็นสิ่งสุดท้าย เช่นเดียวกับเขตนอกเมืองหรือชนบท ที่เชื่อว่าก็จะเลือกบนอุดมการณ์นำ ตามด้วยการมองอุปถัมภ์ และยุทธศาสตร์ ส่วนนโยบายเป็นสิ่งสุดท้าย ดังนั้นแม้คนจะตอบว่าเลือกจากนโยบาย แต่ในความเป็นจริงถ้าถอดรหัสออกมาแล้ว จะพบว่าอาจเป็นปัจจัยลำดับท้ายของการเลือกตั้งครั้งนี้” ดร.สติธรกล่าว
 
ทั้งนี้ ภายในงานเดียวกัน มีการมอบรางวัลนักศึกษากฎหมายดีเด่นประจำปี 2566 ให้แก่ น.ส.จัตุพร นันตยุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และรางวัลเรียนดีธรรมศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ให้แก่ นายปรัชญา ทองประดับ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


  
ก้าวไกล ลุยหาเสียง ปลื้มได้เบอร์ 3 ชู้นิ้วสนิทใจ เชื่อคนเทคะแนน ยึดเมืองโคราชได้แน่
https://www.khaosod.co.th/election-2023/news_7599339

นครราชสีมา “ฉัตร” พรรคก้าวไกล ลุยหาเสียงพื้นที่ เขต 1 เผยดีใจได้เบอร์ 3 ชู้นิ้วได้สนิทใจ เชื่อคนในเมืองเบื่อพรรคการเมืองแบบเก่า หันแห่เทคะแนนให้ยึดพื้นที่ไข่แดงเมืองโคราช มั่นใจได้แน่

6 เม.ย. 66 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรดาผู้สมัคร ส.ส.เขต จ.นครราชสีมา ของพรรคการเมืองต่างๆ ได้ลงพื้นที่หาเสียงอย่างต่อเนื่อง ภายหลังจากที่จับสลากได้เบอร์
 
โดยเฉพาะ เขตเลือกตั้งที่ 1 อ.เมืองนครราชสีมา นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เบอร์ 3 พรรคก้าวไกล ได้ลงพื้นที่หาเสียงกับประชาชนในพื้นที่ตลาดหนองปรือ ต.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมาอย่างเข้มข้น
  
ซึ่งได้มีการยืนประกาศโทรโข่งหาเสียง บริเวณสี่แยก พร้อมกับชูมือ 3 นิ้ว ซึ่งเป็นเบอร์ที่จับสลากได้ ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ สร้างความฮือฮาให้กับผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก
  
นายฉัตร สุภัทรวณิชย์ ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 1 เบอร์ 3 พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการจับสลากเลือกเบอร์ผู้สมัคร ซึ่งตนเองได้เบอร์ 3 ถือว่าเป็นเบอร์ที่เราต้องการมาก กองเชียร์เมื่อทราบว่าได้เบอร์นี้ ต่างก็ส่งเสียงเฮ ดีใจเป็นอย่างยิ่ง
 
หากผู้สมัครรายอื่นได้เบอร์นี้ไป คงจะชูมือ 3 นิ้ว ได้ไม่สนิทใจ อาจจะเป็นไอเลิฟยูแทน แต่พรรคก้าวไกลจะไม่ทำเช่นนั้น เราจะชูนิ้วมือ 3 นิ้วตามปกติ
 
ส่วนการหาเสียงนั้น พรรคก้าวไกล ได้เลือกตนเองเป็น ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 ไว้ตั้งแต่ปี 64 แล้ว ดังนั้นตนเองจึงได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนในเขตนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนเองในฐานะที่เคยเป็นรองประธานสภาเทศบาลนครนครราชสีมา จึงมีความคุ้นเคยกับประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างดี และรู้ดีว่า ในเขตเมืองนครราชสีมานี้มีปัญหาอะไรที่ต้องแก้ไข
 
ถึงอย่างไรก็ตาม ในเขตที่ 1 นี้ ถือว่าเป็นเป้าหมายของพรรคการเมืองใหญ่หลายพรรค ที่พยายามจะมายึดที่นั่ง ส.ส.ในเขตนี้ให้ได้ แต่ตนเองก็มั่นใจว่า ฐานเสียงของพรรคก้าวไกล ในเขตนี้ก็มีไม่ใช่น้อง สังเกตได้จากการเลือกตั้งเมื่อปี’62 ที่ผ่านมา ซึ่งขณะนั้นเป็นพรรคอนาคตใหม่ ได้รับคะแนนจากพี่น้องประชาชนเลือกมากถึง 23,855 คะแนน มาเป็นอันดับที่ 2 ขณะที่อันดับที่ 1 พรรคพลังประชารัฐได้ 25,982 คะแนน ห่างกันไม่มาก
 
ดังนั้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ ตนจึงมั่นใจว่า คนรุ่นใหม่ และคนในเมือง เริ่มเบื่อพรรคการเมืองที่เล่นการเมืองแบบเก่าๆ หันมาเทคะแนนให้กับพรรคก้าวไกลเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะเขาเห็นผลงานของพรรคก้าวไกล ที่ทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ มีจุดยืนที่มั่นคง แม้ที่ผ่านมาจะเป็นฝ่ายค้านก็ทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ ซึ่งตนมั่นใจว่า จะสามารถคว้าชัยชนะในเขตเลือกตั้งที่ 1 ได้อย่างแน่นอน
 
ส่วนการจัดเวทีปราศรัยใหญ่นั้น ตอนนี้เวลาเหลืออีกไม่มากนัก ก่อนถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้นแกนนำพรรคฯ จึงอาจจะต้องจัดเวลาให้เหมาะสม เพราะประเทศไทยมีถึง 76 จังหวัด ซึ่งคาดว่า ที่โคราชจะมีขึ้นในช่วงปลายเดือนเมษายน ตอนนี้ยังไม่ระบุวัน
 
ถึงอย่างไรก็ตาม ผมเองก็เน้นไปที่การลงพื้นที่พบปะประชาชน เพื่อหาเสียงแบบออร์แกนิกดีกว่า เพราะเชื่อว่าการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ไม่ใช่ตัวตัดสินว่า ประชาชนจะเลือกหรือไม่เลือกเรา” นายฉัตร กล่าว
 

 
'สมาคมผู้ค้าปลีกไทย'เผยดัชนีค้าปลีกไตรมาสแรกน่าห่วง หดตัวติดกัน3เดือน
https://www.bangkokbiznews.com/business/business/1061630

เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นค้าปลีกไตรมาสแรกลดลงติดต่อกัน 3 เดือน ผู้บริโภคชะลอจับจ่าย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย วอนรัฐบาลใหม่เร่งออกมาตรการ ร่วมหนุนกำลังซื้อฟื้นโดยเร็ว
 
สมาคมผู้ค้าปลีกไทย ร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำไตรมาสหนึ่ง ของปี 2566 พบว่า ลดลง 13.5 จุด เนื่องจากกำลังซื้อฐานรากที่อ่อนแอชัดเจน, ต้นทุนค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นจากราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มสูง และค่าสาธารณูปโภค
 
ทั้งนี้แม้จะมีปัจจัยบวกหลากหลาย อาทิ วันหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่-ตรุษจีน มาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ “ช้อปดีมีคืน” รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถส่งแรงหนุนได้มากพอ
 
สำหรับดัชนี RSI ระยะ 3 เดือนจากนี้ (เม.ย.-มิ.ย.) ทรงตัว สะท้อนถึงความไม่มั่นใจต่อสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของธุรกิจต้องใช้เวลานานขึ้น รวมทั้งค่าแรงและค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับกําลังซื้อที่ยังซบเซา 
  
นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย กล่าวว่า “ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีกทั่วประเทศ (Retail Sentiment Index – RSI)" ในภาพรวมพบว่า ดัชนี RSI ไตรมาสหนึ่ง 2566 เมื่อเทียบกับไตรมาสสี่ 2565 มีความ “น่ากังวล” เนื่องจากปรับลดลงถึง  13.5 จุด  ในขณะที่ดัชนียอดขายสาขาเดิม SSSG (Same Store Sale Growth), ยอดใช้จ่ายต่อครั้ง (Spending Per Bill หรือ Per Basket Size) และ ความถี่ในการจับจ่าย (Frequency on Shopping) ต่างพากันปรับตัวลดลงเช่นกัน
 
กำลังซื้อฐานรากยังอ่อนแอ
 
ทั้งหมดสะท้อนถึงผู้บริโภคฐานราก ที่มีกำลังซื้ออ่อนแออยู่มาก รวมทั้งภาระค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทั้งค่าสาธารณูปโภค ค่าโดยสาร ส่งผลให้ผู้บริโภคมุ่งเน้นซื้อสินค้าที่จำเป็น อีกทั้งมีแนวโน้มที่ผู้บริโภคลดกิจกรรมนอกบ้านเพิ่มขึ้น ด้วยความกังวลฝุ่นควัน PM 2.5 ที่เพิ่มขึ้นและโรคฮีทสโตรกหรือโรคลมแดดจากอากาศที่ร้อนจัด
 
หากมีการพิจารณาดัชนีตามภูมิภาคพบว่าความเชื่อมั่นต่อยอดขายสาขาเดิมทรงตัวทุกภูมิภาค ยกเว้นภาคอีสานที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงถึงธุรกิจยังคงฟื้นตัวไม่สมดุล เห็นได้ว่าพื้นที่ท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าพื้นที่อื่น
 
สำหรับธุรกิจห้างสรรพสินค้า, แฟชั่น, สุขภาพและความงาม มีการฟื้นตัวขึ้นอย่างช้าๆ ส่วนร้านสะดวกซื้อ, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง มีการชะลอตัว และร้านค้าส่ง ไฮเปอร์มาร์เก็ตยังคงไม่ฟื้นตัว
 
เสนอให้เร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เร่งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
 
ทั้งนี้สมาคมฯ มีความเห็นว่าหลังการเลือกตั้ง ควรรีบจัดตั้งรัฐบาลโดยเร็ว เพื่อเร่งกำหนดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบผ่านการสร้างงาน การจ้างงาน และลดภาระค่าครองชีพซึ่งต้องมีมาตรการหลากหลาย มุ่งเป้าให้ตรงกลุ่มต่างๆ ไม่ซ้ำซ้อน เน้นการเพิ่มกำลังซื้อแก่ผู้บริโภคฐานรากที่ยังอ่อนแอเพื่อกระตุ้นการจับจ่าย ในขณะที่ผู้บริโภคระดับบน, ผู้มีรายได้ประจำที่มีกำลังซื้อต้องใช้มาตรการต่างชุดกัน โดยเน้นย้ำว่ารัฐต้องคลอดมาตรการที่ต่อเนื่องและระยะยาวจนกว่าจะเห็นการฟื้นตัวของธุรกิจที่ชัดเจน
 
ภาพรวมค้าปลีกไทยมีการฟื้นตัวที่ไม่เท่ากัน กำลังซื้อโดยรวมยังเปราะบาง โดย เฉพาะกลุ่มฐานรากที่อ่อนแอ ปัญหาค่าแรงแพง และแรงงานขาดแคลน นับเป็นปัญหาหลักของภาคค้าปลีกและบริการ รัฐบาลใหม่จึงต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเพิ่มรายได้ของกลุ่มฐานราก และเพิ่มการใช้จ่ายของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง โดยการกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายและท่องเที่ยวภายในประเทศ ด้วยการร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยกันขับเคลื่อนโครงการต่างๆ เพื่อผลักดันภาพรวมของค้าปลีกไทยกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่