Last updated: 28 กุมภาพันธ์ 2561 | 18:45
พลิกแฟ้มบันทึกประวัติศาสตร์ของ ชัช เตาปูน อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพฯ เปิดโปงระบอบ ทักษิณ โหด ขี้โกง และเอาเปรียบ ไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2553 หลังจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง โดยยกพุทธสุภาษิต' เจ้าคุณนร'สอนให้รู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน ถ้าทักษิณยึดคำพระ ก็ไม่ต้องระเหเร่ร่อน หลังจากก่อกรรมทำทุกข์เข็ญตั้งแต่อดีต ดังคำบอกเล่าของชัช เตาปูนเกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
เรียน ชาวบ้านซอยภาณุรังษี
“รู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน” สุภาษิตสอนใจของท่านเจ้าคุณนร ถ้าท่านอดีตนายกฯ ทักษิณยึดสุภาษิตของเจ้าคุณนรเป็นหลักในการดำรงชีวิต ป่านนี้ท่านก็คงไม่ต้องระเหเร่ร่อนเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น และคงไม่ต้องทำให้พี่น้องชาวอีสานถูกจับดำเนินคดีเผาบ้านเผาเมืองหรอกครับ
ที่ผมยกสุภาษิตของเจ้าคุณนรขึ้นมาก็เพราะว่า ครั้งหนึ่งท่านอดีตนายกฯทักษิณตอนที่ยังจนๆ อยู่ เคยพูดกับคุณบารอน เพื่อนรักของผมว่า “พี่ครับ ผมจน ขอผมเกิดเถิดครับ” คุณชาวบ้านซอยภาณุรังษีคงสงสัยว่าทำไมท่านอดีตนายกฯ ทักษิณถึงพูดอย่างนี้ ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ
เรื่องเดิมมีอยู่ว่า ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณท่านเอาเงินไปวางมัดจำค่าที่บริเวณบางบัว ซึ่งเป็นบริเวณที่จอดรถของขสมก.อยู่ขณะนี้ และท่านก็นำที่แปลงนี้ไปให้ ขสมก.เช่าเป็นพื้นที่จอดรถ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีสิทธิขาดในการให้เช่า แต่ด้วยท่านมีศิลปะในการพูด ทาง ขสมก.จึงจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ท่านไปเลยครั้งเดียวทั้งสิบปี และท่านก็นำค่าเช่าที่ทางขสมก.จ่ายให้ท่านทั้งสิบปีนี้ไปจ่ายค่าที่ส่วนที่เหลือกับเจ้าของเดิม
เห็นไหมครับ ขสมก.กับท่านอดีตนายกฯ ทักษิณทำถูกต้องหรือเปล่า ที่นำเงินภาษีของประชาชนมาจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าถึงสิบปี ซึ่งไม่มีที่ไหนเขาทำกัน แต่ด้วยความเป็นนักเจรจาที่มีจิตวิทยาชั้นสูงของท่าน เมื่อท่านมาขอพบคุณบารอนเพื่อนรักของผม และพูดว่า “ผมจน ขอผมเกิดเถอะครับ” เพื่อนรักของผมจึงใจอ่อน และดึงเอกสารทั้งหมดที่กำลังจะไปยื่นให้กับ ปปป.คืนท่านอดีตนายกฯทักษิณไป
หรืออีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นประมาณ 20 ปีที่แล้ว สมัยนั้นท่านอดีตนายกฯ ทักษิณยังรับราชการตำรวจ และทำอาชีพวิ่งหนัง (ซื้อภาพยนตร์ไปขาย) สายภาคเหนือด้วย และมีความสนิทสนมกับ พี่ประเทือง ตรีเมฆ ผู้อำนวยการสร้างหนังสมัยนั้น
วันหนึ่งท่านอดีตนายกฯ ทักษิณต้องการจะสร้างหนังเอง จึงติดต่อให้พี่ประเทืองเป็นผู้ดำเนินการหาเงินให้ ด้วยความรักพวกพ้อง และโอบอ้อมอารี ก็รับปากไป โดยอดีตนายกฯ ทักษิณได้นำเช็คที่มีลายเซ็นต์ของอดีตนายกฯทักษิณมายื่นให้พี่ประเทืองกรอกตัวเลขค่าใช้จ่ายในการทำหนังทั้งหมดลงในเช็คใบดังกล่าว ซึ่งพี่ประเทืองได้เขียนตัวเลขในเช็คไป 8 แสนบาท พร้อมกับเซ็นสลักหลังเช็คของอดีตนายกฯ ทักษิณใบนี้ เพื่อให้ธนาคารกรุงเทพออกโอดีเงินจำนวน 8 แสนบาทออกมาใช้ก่อน
หลังจากได้เงินมาแล้ว อดีตนายกฯทักษิณได้เอาไป 5 แสนบาท แบ่งมาให้พี่ประเทือง 3 แสนบาทเป็นค่าใช้จ่ายทำหนัง ต่อมาสถานการณ์บ้านเมืองไม่ดี อดีตนายกฯ ทักษิณมาบอกว่า ไม่สร้างหนังแล้ว ให้พี่ประเทืองนำเงินจำนวน 3 แสนบาทมาคืน ซึ่งพี่ประเทืองตอบกลับไปว่า ไม่มี ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาให้ เพราะได้นำไปใช้จ่ายในการสร้างหนังหมดแล้ว
ในเวลาเดียวกันขณะนั้นทางธนาคารกรุงเทพก็ได้โทรศัพท์ติดต่อพี่ประเทืองมาว่า เช็คของอดีตนายกฯ ทักษิณที่พี่ประเทืองเซ็นสลักหลังค้ำประกันไว้นั้นเด้ง พี่ประเทืองก็เลยติดต่อกลับไปหาอดีตนายกฯ ทักษิณว่าจะทำอย่างไร
แต่ก็ได้รับคำตอบแกมขอร้องจากอดีตนายกฯ ทักษิณว่า “ผมขอให้พี่ประเทืองรับไปก่อน แล้วผมจะนำเงินมาจ่ายให้ทีหลัง เนื่องจากผมกำลังทำเรื่องขอกู้เงินเพื่อไปซื้อดาวเทียม หากมีคดีความเกิดขึ้น ผมจะไม่สามารถกู้เงินได้ ถ้าจบเรื่องซื้อดาวเทียมแล้ว ก็จะให้ทนายดำเนินการแก้ไขให้”
พี่ประเทืองก็เชื่อใจ ตอบรับไป จวบจนผ่านพ้นไป 10 ปี อดีตนายกฯ ทักษิณก็ไม่ยังยอมนำเงินจำนวนดังกล่าวมาจ่ายให้ ในที่สุดพี่ประเทืองก็ต้องเป็นหนี้ และถูกธนาคารฟ้องร้องเรียกทั้งต้นและดอกเป็นเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งพี่ประเทืองไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาชดใช้ให้ ท้ายที่สุดก็ต้องถูกศาลสั่งล้มละลาย จนไม่สามารถสร้างหนัง หรือประกอบกิจการอะไรได้ ครอบครัวพี่ประเทืองต้องตกระกำลำบาก ลูกทั้ง 4 คนกำลังเรียนอยู่ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาส่งลูกเรียน
จนกระทั่งต่อมาอดีตนายกฯ ทักษิณได้เป็นรมต.ต่างประเทศ พี่ประเทืองก็ไปติดต่อ ขอเข้าพบเพราะหวังจะได้เงินคืน แต่ก็ไม่ได้เข้าพบ กระทั่งพี่ประเทืองเสียชีวิตลง และก่อนพี่ประเทืองจะเสียชีวิตลงในที่สุด ครอบครัวลำบากมาก ก็ได้มาฝากลูกชายทำงานกับผมที่สยามรัฐ และทำงานอยู่กับผมมาจนบัดนี้
ต่อมาท่านอดีตนายกฯ ทักษิณได้เป็นนายกฯ ลูกเมียพี่ประเทืองก็ได้ติดต่อขอเข้าพบ แต่ก็ไม่ได้พบเช่นเคย จนต้องเขียนจดหมายจ่าหน้าซองว่า เป็น “จดหมายของคนตาย” อดีตนายกฯ ทักษิณจึงได้คืนเงินให้จำนวน 8 แสนบาท แต่ไม่เคยถามถึงดอกเบี้ยที่ธนาคารบวกเพิ่มขึ้นมาอีกกว่าล้านบาทแต่อย่างใด
เมื่อได้เงินจำนวน 8 แสนบาทมาแล้ว เมียพี่ประเทืองจึงนำเงินจำนวนนี้ไปจ่ายหนี้ให้กับธนาคารกรุงเทพ พร้อมทั้งขอร้องกับธนาคารให้ผ่อนปรนให้ ซึ่งในที่สุดธนาคารก็ยอมยกดอกเบี้ยให้ จึงสามารถปลดหนี้จำนวนนี้ลงไปได้
แต่กว่าจะปลดหนี้ก้อนนี้ซึ่งท่านอดีตนายกฯทักษิณเป็นผู้สร้างไว้กับครอบครัวพี่ประเทืองได้ ท่านอดีตนายกฯทักษิณจะรู้ไหมว่า ได้สร้างความทุกข์ให้กับครอบครัวพี่ประเทืองไว้มากมายเท่าไหร่ จากที่พี่ประเทืองมีอนาคตหน้าที่การงานก้าวหน้าอีกไกล และมีเงินสามารถเลี้ยงครอบครัวอย่างสบาย กลับต้องมาเป็นหนี้สิน และล้มละลาย กระทั่งลูกเมียต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก
ที่ผมเล่าเสียยืดยาว ก็เพื่อให้คุณชาวบ้านซอยภาณุรังษีได้เห็นภาพว่า ถ้าท่านอดีต นายกฯ ทักษิณรู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน ตามสุภาษิตของท่านเจ้าคุณนรที่ท่านให้สติเอาไว้ ป่านนี้ท่านอดีตนายกฯทักษิณก็คงไม่มีสภาพเช่นนี้หรอกครับ ใช่ไหม และประเทศเราก็คงไม่ต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งออกมาเผาบ้านเผาเมือง ให้เห็นกันอยู่อย่างนี้
บาปกรรมมีจริงนะครับ
นับถือ
ชัช เตาปูน 27 พ.ค. 2553 ที่มา: นสพ.สยามรัฐ
บันทึกประวัติศาสตร์ ชัช เตาปูน เปิดโปงระบอบทักษิณ โหด ขี้โกงและ เอาเปรียบ
พลิกแฟ้มบันทึกประวัติศาสตร์ของ ชัช เตาปูน อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพฯ เปิดโปงระบอบ ทักษิณ โหด ขี้โกง และเอาเปรียบ ไว้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2553 หลังจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง โดยยกพุทธสุภาษิต' เจ้าคุณนร'สอนให้รู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน ถ้าทักษิณยึดคำพระ ก็ไม่ต้องระเหเร่ร่อน หลังจากก่อกรรมทำทุกข์เข็ญตั้งแต่อดีต ดังคำบอกเล่าของชัช เตาปูนเกี่ยวกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ
เรียน ชาวบ้านซอยภาณุรังษี
“รู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน” สุภาษิตสอนใจของท่านเจ้าคุณนร ถ้าท่านอดีตนายกฯ ทักษิณยึดสุภาษิตของเจ้าคุณนรเป็นหลักในการดำรงชีวิต ป่านนี้ท่านก็คงไม่ต้องระเหเร่ร่อนเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำไหนนอนนั่น และคงไม่ต้องทำให้พี่น้องชาวอีสานถูกจับดำเนินคดีเผาบ้านเผาเมืองหรอกครับ
ที่ผมยกสุภาษิตของเจ้าคุณนรขึ้นมาก็เพราะว่า ครั้งหนึ่งท่านอดีตนายกฯทักษิณตอนที่ยังจนๆ อยู่ เคยพูดกับคุณบารอน เพื่อนรักของผมว่า “พี่ครับ ผมจน ขอผมเกิดเถิดครับ” คุณชาวบ้านซอยภาณุรังษีคงสงสัยว่าทำไมท่านอดีตนายกฯ ทักษิณถึงพูดอย่างนี้ ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ
เรื่องเดิมมีอยู่ว่า ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณท่านเอาเงินไปวางมัดจำค่าที่บริเวณบางบัว ซึ่งเป็นบริเวณที่จอดรถของขสมก.อยู่ขณะนี้ และท่านก็นำที่แปลงนี้ไปให้ ขสมก.เช่าเป็นพื้นที่จอดรถ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีสิทธิขาดในการให้เช่า แต่ด้วยท่านมีศิลปะในการพูด ทาง ขสมก.จึงจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าให้ท่านไปเลยครั้งเดียวทั้งสิบปี และท่านก็นำค่าเช่าที่ทางขสมก.จ่ายให้ท่านทั้งสิบปีนี้ไปจ่ายค่าที่ส่วนที่เหลือกับเจ้าของเดิม
เห็นไหมครับ ขสมก.กับท่านอดีตนายกฯ ทักษิณทำถูกต้องหรือเปล่า ที่นำเงินภาษีของประชาชนมาจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าถึงสิบปี ซึ่งไม่มีที่ไหนเขาทำกัน แต่ด้วยความเป็นนักเจรจาที่มีจิตวิทยาชั้นสูงของท่าน เมื่อท่านมาขอพบคุณบารอนเพื่อนรักของผม และพูดว่า “ผมจน ขอผมเกิดเถอะครับ” เพื่อนรักของผมจึงใจอ่อน และดึงเอกสารทั้งหมดที่กำลังจะไปยื่นให้กับ ปปป.คืนท่านอดีตนายกฯทักษิณไป
หรืออีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นประมาณ 20 ปีที่แล้ว สมัยนั้นท่านอดีตนายกฯ ทักษิณยังรับราชการตำรวจ และทำอาชีพวิ่งหนัง (ซื้อภาพยนตร์ไปขาย) สายภาคเหนือด้วย และมีความสนิทสนมกับ พี่ประเทือง ตรีเมฆ ผู้อำนวยการสร้างหนังสมัยนั้น
วันหนึ่งท่านอดีตนายกฯ ทักษิณต้องการจะสร้างหนังเอง จึงติดต่อให้พี่ประเทืองเป็นผู้ดำเนินการหาเงินให้ ด้วยความรักพวกพ้อง และโอบอ้อมอารี ก็รับปากไป โดยอดีตนายกฯ ทักษิณได้นำเช็คที่มีลายเซ็นต์ของอดีตนายกฯทักษิณมายื่นให้พี่ประเทืองกรอกตัวเลขค่าใช้จ่ายในการทำหนังทั้งหมดลงในเช็คใบดังกล่าว ซึ่งพี่ประเทืองได้เขียนตัวเลขในเช็คไป 8 แสนบาท พร้อมกับเซ็นสลักหลังเช็คของอดีตนายกฯ ทักษิณใบนี้ เพื่อให้ธนาคารกรุงเทพออกโอดีเงินจำนวน 8 แสนบาทออกมาใช้ก่อน
หลังจากได้เงินมาแล้ว อดีตนายกฯทักษิณได้เอาไป 5 แสนบาท แบ่งมาให้พี่ประเทือง 3 แสนบาทเป็นค่าใช้จ่ายทำหนัง ต่อมาสถานการณ์บ้านเมืองไม่ดี อดีตนายกฯ ทักษิณมาบอกว่า ไม่สร้างหนังแล้ว ให้พี่ประเทืองนำเงินจำนวน 3 แสนบาทมาคืน ซึ่งพี่ประเทืองตอบกลับไปว่า ไม่มี ไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาให้ เพราะได้นำไปใช้จ่ายในการสร้างหนังหมดแล้ว
ในเวลาเดียวกันขณะนั้นทางธนาคารกรุงเทพก็ได้โทรศัพท์ติดต่อพี่ประเทืองมาว่า เช็คของอดีตนายกฯ ทักษิณที่พี่ประเทืองเซ็นสลักหลังค้ำประกันไว้นั้นเด้ง พี่ประเทืองก็เลยติดต่อกลับไปหาอดีตนายกฯ ทักษิณว่าจะทำอย่างไร
แต่ก็ได้รับคำตอบแกมขอร้องจากอดีตนายกฯ ทักษิณว่า “ผมขอให้พี่ประเทืองรับไปก่อน แล้วผมจะนำเงินมาจ่ายให้ทีหลัง เนื่องจากผมกำลังทำเรื่องขอกู้เงินเพื่อไปซื้อดาวเทียม หากมีคดีความเกิดขึ้น ผมจะไม่สามารถกู้เงินได้ ถ้าจบเรื่องซื้อดาวเทียมแล้ว ก็จะให้ทนายดำเนินการแก้ไขให้”
พี่ประเทืองก็เชื่อใจ ตอบรับไป จวบจนผ่านพ้นไป 10 ปี อดีตนายกฯ ทักษิณก็ไม่ยังยอมนำเงินจำนวนดังกล่าวมาจ่ายให้ ในที่สุดพี่ประเทืองก็ต้องเป็นหนี้ และถูกธนาคารฟ้องร้องเรียกทั้งต้นและดอกเป็นเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งพี่ประเทืองไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาชดใช้ให้ ท้ายที่สุดก็ต้องถูกศาลสั่งล้มละลาย จนไม่สามารถสร้างหนัง หรือประกอบกิจการอะไรได้ ครอบครัวพี่ประเทืองต้องตกระกำลำบาก ลูกทั้ง 4 คนกำลังเรียนอยู่ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาส่งลูกเรียน
จนกระทั่งต่อมาอดีตนายกฯ ทักษิณได้เป็นรมต.ต่างประเทศ พี่ประเทืองก็ไปติดต่อ ขอเข้าพบเพราะหวังจะได้เงินคืน แต่ก็ไม่ได้เข้าพบ กระทั่งพี่ประเทืองเสียชีวิตลง และก่อนพี่ประเทืองจะเสียชีวิตลงในที่สุด ครอบครัวลำบากมาก ก็ได้มาฝากลูกชายทำงานกับผมที่สยามรัฐ และทำงานอยู่กับผมมาจนบัดนี้
ต่อมาท่านอดีตนายกฯ ทักษิณได้เป็นนายกฯ ลูกเมียพี่ประเทืองก็ได้ติดต่อขอเข้าพบ แต่ก็ไม่ได้พบเช่นเคย จนต้องเขียนจดหมายจ่าหน้าซองว่า เป็น “จดหมายของคนตาย” อดีตนายกฯ ทักษิณจึงได้คืนเงินให้จำนวน 8 แสนบาท แต่ไม่เคยถามถึงดอกเบี้ยที่ธนาคารบวกเพิ่มขึ้นมาอีกกว่าล้านบาทแต่อย่างใด
เมื่อได้เงินจำนวน 8 แสนบาทมาแล้ว เมียพี่ประเทืองจึงนำเงินจำนวนนี้ไปจ่ายหนี้ให้กับธนาคารกรุงเทพ พร้อมทั้งขอร้องกับธนาคารให้ผ่อนปรนให้ ซึ่งในที่สุดธนาคารก็ยอมยกดอกเบี้ยให้ จึงสามารถปลดหนี้จำนวนนี้ลงไปได้
แต่กว่าจะปลดหนี้ก้อนนี้ซึ่งท่านอดีตนายกฯทักษิณเป็นผู้สร้างไว้กับครอบครัวพี่ประเทืองได้ ท่านอดีตนายกฯทักษิณจะรู้ไหมว่า ได้สร้างความทุกข์ให้กับครอบครัวพี่ประเทืองไว้มากมายเท่าไหร่ จากที่พี่ประเทืองมีอนาคตหน้าที่การงานก้าวหน้าอีกไกล และมีเงินสามารถเลี้ยงครอบครัวอย่างสบาย กลับต้องมาเป็นหนี้สิน และล้มละลาย กระทั่งลูกเมียต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก
ที่ผมเล่าเสียยืดยาว ก็เพื่อให้คุณชาวบ้านซอยภาณุรังษีได้เห็นภาพว่า ถ้าท่านอดีต นายกฯ ทักษิณรู้จักพอ ก่อสุข ทุกสถาน ตามสุภาษิตของท่านเจ้าคุณนรที่ท่านให้สติเอาไว้ ป่านนี้ท่านอดีตนายกฯทักษิณก็คงไม่มีสภาพเช่นนี้หรอกครับ ใช่ไหม และประเทศเราก็คงไม่ต้องมีผู้ใดผู้หนึ่งออกมาเผาบ้านเผาเมือง ให้เห็นกันอยู่อย่างนี้
บาปกรรมมีจริงนะครับ
นับถือ
ชัช เตาปูน 27 พ.ค. 2553 ที่มา: นสพ.สยามรัฐ