พันทิปเป็นเว็บที่ผมใช้หาความรู้ ข้อคิดเห็นต่างๆมานานครับ
วิธีใช้เว็บพันทิปที่ผมเรียนรู้มาคือ ถ้าสงสัยอะไรในชีวิต หรือสนใจในเรื่องใดๆให้พิมพ์คำนั้นให้กระชับที่สุดเคาะเว้นวรรคหนึ่งทีแล้วตามด้วยคำว่า pantip
แต่วันนี้ นี่ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะมาคุยกันครับ
ผมหลอกให้กดเข้ามาอ่านน่ะ
ผมอ่านมาตั้งแต่บ้านมีคอมและติดเน็ตตอนนั้นน่าจะอายุ 16ปีครับ(ปัจจุบัน 33ปี)
นี่เป็นกระทู้แรกในชีวิตของผม เพราะเป็นคำถามที่ผมหาที่ไหนไม่ได้แม้แต่ในพันทิปที่เป็นแหล่งความรู้ต่างๆของผมเลยครับ
ถ้ามีคนที่อ่านจนจบ ผมอยากขอความเห็นจากหลายๆมุมเท่าที่ข้อมูลที่ผมมีจะบอกความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆครับ(อารมณ์แบบหมอแปลก เห็นความเป็นไปได้สิบสามล้านรูปแบบ แต่ผมรู้สึกเหมือนผมจะชนะชัวร์ๆครับ)
การที่กลุ่มคนจ้องจะทำลายคนคนนึงมาตั้งแต่เกิด เกิดจากสาเหตุหรือแรงจูงใจอะไรที่ทำให้มีความพยายามจะทำให้ได้ถึงขนาดนี้ครับ???
เริ่มจากพยายามทำให้พัฒนาการช้า ก่อนวัยเรียนคือพยายามไม่ให้ได้พักผ่อนเต็มที่(กลางวันหลังบ้านเป็นโรงกลึงเคาะเสียงดังทั้งวัน กลางคืนพ่อสะกิดปลุกให้ตื่นทั้งคืน)
โตมาได้อีกหน่อยพยายามถึงชีวิตอยู่ครั้งนึง
ตอนนั้นมีอยู่ช่วงนึง แม่ผมสอนให้ผมกดสปริงที่หม้อหุงข้าว
แบบพอแม่ยกหม้อขึ้นปุ๊บให้ผมกดที่สปริงทันที แล้วชม"เก่ง....บลาๆ"
แบบที่สอนหรือเล่นกับเด็ก)
จนถึงวัน แม่ให้ผมยืนรอบนเก้าอี้ พอข้าวสุกแม่ผมยกหม้อขึ้น ผมก็กดที่สปริงหม้อหุงข้าวทันที จากนั้นน่าจะหมดสติไปเลยครับ
และการใช้ชีวิตวัยเด็กจะถูกตบตีอย่างเดียว แบบไม่ถามไม่พูด ไม่บอกเหตุผล เคยถูกถีบคิ้วชนมุมโต๊ะหัวแตก(ผมยังคิด โชคดีไม่ถูกลูกตา)
เหตุผลที่ถีบ ผมเอาเงินเก็บในกระปุกของผมไปใช้
และมักจะบอกให้ผมอย่ายุ่งกับคนนั้นคนนี้แต่ไม่บอกเหตุผล แต่ตัวเค้าก็คุยปกติกับคนอื่น
ช่วงวัยรุ่นก็ปกติดีครับ แต่ตามใจมาก
จะเที่ยว จะกินเหล้า ออกจากบ้านเป็นอาทิตย์เป็นเดือนไม่เคยว่า ขอเงินเท่าไรก็ให้
พอมาวัยรุ่นช่วงหลังเริ่มไล่ครับ ไม่ให้อยู่ที่บ้าน เคยให้ผมไปอยู่บ้านญาติที่อยุธยา ผมอยากกลับยังไงก็ไม่ให้กลับ ส่งเงินให้ใช้ จนผมต้องสร้างเรื่องเพื่อให้ที่นั่นพากลับมา
ระหว่างกลับคนที่ขับรถเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ผมฟัง แม่ผมบอกว่า"กูบอกไม่ต้องเอามันกลับมา มันไม่อยากอยู่ก็ปล่อยมันไว้ที่ไหนก็ได้"
และพอวัยเริ่มทำงานก็เหมือนเค้าไม่อยากให้ทำที่ไหนตั้งแต่แรก ตอนเริ่มทำงานพ่อมาบอกผมว่า"ทำงานไม่ต้องใส่ใจหรอก ทำๆไปงั๊นแหละ ให้เข้าไปดูว่าที่โรงงานแต่ล่ะแห่งเค้าอะไรเกี่ยวกับซื้อ-ขายสินค้า ให้เข้าไปสืบๆดูๆแล้วก็ออก งานไม่ต้องไปทำหรือจริงจัง"
แต่ผมไม่เอาด้วย ผมตอบเค้าไปว่า"ไปทำงานกับเค้า ไม่ใช่ว่าควรซื่อสัตย์กับเค้าหรอ" แล้วผมก็คิดเข้าๆออกๆที่ไหนจะอยากรับเข้าทำงาน(ความคิด ณ ตอนนั้น)
แต่พอวัยนั้นภาพมองผมเกเรครับ นิสัย เพื่อนฝูง วีรกรรม
งานแรกที่ผมทำ งานแอร์
ผมอายุประมาณ16 ตอนนั้นไม่อยากเรียนเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของร้านแอร์มาชวนไปทำงาน ผมก็ไปทำ แต่ทำแบบไม่ตั้งใจครับ ไปทำ1อาทิตย์แล้วหยุดไป3อาทิตย์ ถึงเวลาเงินออกผมก็ไปรับเงิน ทำไปสักพักกลับไปเรียนต่อ(แต่ก็ไม่ยอมเรียนเหมือนเดิม)
จนผมปลดทหารออกมา พี่ที่ทำอยู่ร้านแอร์ที่ผมเคยทำเค้าเก็บเงินซื้อเครื่องมือและรถมาเป็นซัพให้ร่านและให้ผมไปทำด้วย(ตอนนั้นผมกลับไปทำที่ร้านได้แปปนึง)เจ้าของร้านก็มาบอกผม"พี่เค้าเพิ่งเริ่ม เราต้องพยายามช่วยพี่เค้าหน่อยนะ"
ผมเริ่มจากไม่รู้อะไรเลยงานแอร์ ทำไปพักนึงจนถึงพี่เค้าไม่ต้องบอกอะไรผมแล้ว จะทำอะไรผมวางอุปกรณ์และเครื่องมือไว้ตามจุดต่างๆที่พี่เค้าต้องทำหรือต้องใช้ เป๊ะๆเลยครับ
และงานที่สองที่ผมได้ลองฝีมือ เป็นงานสติ๊กเกอร์ ผมก็เริ่มจากไม่เคยจับมาก่อนเลย
เค้าก็ไม่สอนไม่บอกผม ทำให้ผมดูครั้งเดียวพอผมได้ลองผมก็คล่องและไปต่อได้เรื่อยๆเลยไม่ว่าจะงานชิ้นเล็กๆหรืองานติดรอบคัน(งานสติ๊กเกอร์ตัดประกอบ)
หลังๆผมถึงขั้นไม่ต้องดูรูปต้นแบบแล้ว
เค้าตัดมาเป็นชิ้นๆแต่ละสี แต่ล่ะส่วน ผมประกอบเป็นรูปได้ถูกต้องและเป๊ะไม่มีฟองเลย
และผมเริ่มสังเกต ถ้าเป็นคนที่รู้จักผมเข้ามาสั่งสติ๊กเกอร์ เค้ามักจะดองไว้นานมากๆหรือทำแบบขอไปที
เคยมีรถคนในซอยไปติด เค้าบอกผมว่า"ติดลงไปเลยน่ะ รถเช็ดไปแล้ว"
ปกติผมเช็ดเองก่อนติด)
แต่พอผมรูดสติ๊กเกอร์ปุ๊บ ขรุขระๆตลอดเลย เม็ดทรายเม็ดยางมะตอยเยอะแบบขับไปลุยอะไรมา?
และบอกผม"มีเพื่อนอีกมั๊ย เดี๋ยวงานจะเยอะขึ้น ให้ชวนมาทำ"
คนแรกผมชวนมาทำก็คุยตกลงค่าแรงกันเรียบร้อย พอเลิกงานไม่จ่ายค่าข้าวให้เพื่อนผม 50บาท(เค้าบอกลองงานก่อน 300บาท และมีค่าข้าวให้อีก 50บาท ค่าแรงช่วงปี พศ56-57)
เพื่อนผมเลยไม่พอใจเพราะมันก็กะว่าจะได้ไว้เป็นค่ารถเดินทาง
คนที่สองเป็นรุ่นน้องผมพามาทำ เริ่มวันปุ๊บบอกให้ผมสอนลอกสติ๊กเกอร์ผมก็ทำให้ดู และเค้าก็เรียกผมขึ้นไปช่วยสกรีนผ้า ระหว่างทำๆเค้าก็บอกผม"ปล่อยมันนั่งลอกไปแหละ เดี๋ยวมันก็เบื่อ" ผมก็งง แล้วจะให้หาคนมาเพื่อ? จากนั้นผมเลยไม่พาใครไปทำกับเค้าอีกแล้ว
และพอดีผมได้รู้จักกับน้องคนนึง น้องเค้าตั้งท้องมา(น้องเค้าทำงานขายบริการ)
ผมเลยทำข้อตกลงจะรับเซ็นชื่อเพื่อประกันการตอบแทนในอนาคต และน้องเค้าช่วยผมคลี่คลายหลายๆอย่าง
เริ่มจากผมปรึกษาเค้า(ร้านสติ๊กเกอร์)ว่า"ผมไม่รู้พี่ แฟนผมแอบคุยกับใครรึเปล่า ไม่ค่อยคุยกับผม หาเรื่องแต่ทะเลาะ"
เค้าก็เริ่มแนะนำ"อย่าไปคิดมาก...บลาๆ เอ็งลองเอาเฟสแฟนเอ็งมาสิ เผื่อพี่มีเพื่อนลองดูก็รู้ว่าแฟนเอ็งทำรึเปล่า" ผมเลยบอกเฟสไป
และช่วงนั้นเป็นงานประจำจังหวัดพอดี ผมเลยฝากน้องเค้าไปเดินงานกับแฟนพี่เค้า
ก็สรุปได้ว่าเค้าแนะนำน้องให้กับเพื่อนเค้าคนนึง
ตอนกลางวันก็ออกไปหากัน เลยทำให้มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาคือ น.(น้า)ที่อยู่ที่บ้านตอนนั้น
(บ้านที่อยู่เป็นบ้านหลังเก่าของยาย ตอนนั้นมีน้ากับแฟนอยู่ห้องนึง ผมกับ ป.(ต่อไปขอเรียกว่า ป. นะครับ)อยู่ห้องนึง
ป.บอกว่า น.บอก"ทำไมไม่ไปทำแท้ง ทำงานเองใช้เงินเองสบายออก"
น.ทำค้าขาย ที่บ้าน(ฝั่งผม)บอกให้ ป. ลงมาช่วยได้)
พูดทุกวันจนผมเริ่มเอะใจฝั่งของ น.
ผมเลยออกจากร้านสติ๊กเกอร์มาทำงานตอนกลางคืน เพื่อดูความหวังดีของ น.
แต่ น. ก็ไม่เคยบอกผมว่ากลางคืนพอผมไปทำงานปุ๊บ ป.ออกไปข้างนอก ผมเลยเริ่มดูให้มากกว่าร้านสติ๊กเกอร์ และก็ใช่ครับ หลายๆคนรอบตัวไม่ได้คิดหวังดีกับผม ผมเลยรอจน ป.คลอด และแยกย้ายกันไป
ต่อมาผมเริ่มทำตัวแบบไม่ปกติ ผมถึงได้เห็นแววตาและสีหน้าจากแม่เหมือนดีใจ เหมือนกับทำอะไรบางอย่างสำเร็จ แต่ตอนนั้นผมยังมองในทางที่ดีว่าเค้าอาจรักผม ไม่อยากให้อยู่กับผู้หญิงแบบนี้
ผมลองสมัครสอบทหารอากาศ โอนเงินอะไรเรียบร้อย พอถึงวันที่พรุ่งนี้จะไปสอบ แม่ผมโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับ และนั่งบอกนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ว่า"เนี่ยะ ตอนนั้นก็เคยเอาช้อนมานั่งจ้องจะให้มันงอ"
นั่งเล่นช้อนตั้งแต่สมัยประถมแต่มาเล่าบอกว่าไม่ปกติตอนนี้?)
ตอนแรกผมนั่งรอเฉยๆเพราะคิดว่าเดี๋ยวถ้าเค้าวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นอะไร ก็คงได้กลับ
สักพักเจ้าหน้าที่เดินออกมาให้ผมตามไป ผมก็เดินตามไปเพราะคิดว่าอาจมีการทดสอบ เพราะตลอดเวลาไม่มีการมาคุยหรือมาถามอะไรผมเลย
พอขึ้นมาถึง เจ้าหน้าที่บอกผม"ถอดเสื้อผ้าออก" ผมก็งงครับ พักนึงถึงได้เข้าใจว่าเค้าพามาขึ้นตึกแล้ว
ยิ่งกว่านั้นรักษาผู้ป่วยจิตเวช แต่ไม่มีการพูดคุย ทดสอบหรือซักถามอะไรผมเลย แถมจู่ๆมาบอกให้ผมแก้ผ้าต่อหน้าคน ผมเลยบอกกับเค้า"ผมขอฟังเรื่องสิทธิคนไข้หน่อยครับ"
เท่านั้นแหละเค้าขึ้นเสียงเลย"เมิงหัวหมอมากหรอ!!"แล้วเรียกเจ้าหน้าที่มาอีก 3คนจับผมล็อคแก้ผ้า แล้วลากไปมัดแขนขาไว้กับเตียง ผมก็นอนนึกขนาดนี้เลยหรอวะเนี่ยะ ตัดสินจากอะไรเมิงรึเปล่ามีอาการมาปฏิบัติกันแบบนี้
นึกสภาพสิครับ ถูกมัดตึงๆเลยแขนขาท่ากากบาท ผมรอจนเจ้าหน้าที่ผ่านมาผมพยายามพูดแบบเรียบร้อยที่สุดเพราะไม่รู้จะมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่จะเดินออกมาอีกรึเปล่า"พี่ครับ ขอรบกวนหย่อนๆเชือกสักหน่อยได้รึเปล่าครับ" เจ้าหน้าที่บอก"รอแปปนึง เดี๋ยวแก้เชือกแล้ว" ตอนนั้นผมดีใจมากในใจนึกเค้าคงเห็นว่าไม่มีอาการอะไรเดี๋ยวก็แก้เชือกให้ ปรากฏว่ายันเกือบแปดโมงแน่ะครับ นอนโดนมัดตั้งแต่ซักสามสี่ทุ่ม
อยู่ใน รพ.ผมก็รอให้มีการพูดคุยหรือทดสอบอะไร แต่ไม่มีเลยครับ จนเย็นผมเดินเข้าไปบอก"ผมขอคุยกับคุณหมอได้มั๊ยครับ" เจ้าหน้าที่ก็บอก"เดี๋ยวหมอจะเรียกคุยเอง" ผมก็รอจนครบสัปดาห์หมอถึงเรียกมาคุย
ครั้งแรกที่หมอคุย ผมตอบคำถามปกติทุกอย่าง จนหมอบอกคุยเสร็จแล้วผมถึงถาม"ผมกลับได้เลยใช่มั๊ยครับ?" หมอบอกผม"ไว้รอหมอบอกอีกที"
ผมก็ดีใจครับ คิดว่าจะได้ออกมาซะที รอไป 2-3วัน หมอก็ไม่เรียกไม่บอกอะไร ผมเลยเดินไปบอกเจ้าหน้าที่"ผมขอคุยกับคุณหมอครับ" เจ้าหน้าที่ก็ตอบคำเดิม"เดี๋ยวหมอเรียกคุยกับเราเอง" ผมก็รอ จนหมอเรียก ผมถึงได้เข้าใจว่าหมอจะเรียกคุยสัปดาห์ละครั้ง
ผมสังเกตว่ารอบที่แล้วตอนผมเล่า หมอก็เออๆออๆจดนู่นจดนี่
รอบนี้ผมเลยเล่าอีกแบบ เล่าแบบคนไม่ปกติ จนหมอบอกให้กลับ ผมก็ถาม"ให้ผมกลับได้รึยังครับ" หมอก็บอก"เดี๋ยวหมอบอกอีกที"......
......และเหมือนเดิมครับอยู่ไปอีกสัปดาห์นึง ระหว่างที่อยู่กิจวัตรประจำวันก็ตื่นมาอาบน้ำ วัดความดัน กินข้าว เรื่องอาหารนี่ด้วยครับ ตักให้น้อยมาก ปริมาณเท่าอาหารเด็กประถม ใส่ถาดหลุมมาข้าวหน่อยนึง กับหน่อยนึง แบบกินสี่คำห้าคำก็หมดแล้ว ผมเดินไปเติมทุกครั้ง ทุกมื้อ แต่ก็เติมได้ครั้งเดียว น่าแปลกใจคนตักอาหารก็คนเดิมตลอด มองหน้าผมตลอด คนที่เติมข้าวก็มีนับคนได้ ไม่ตักเพิ่มให้ผมแต่แรกหรือแจ้งเจ้าหน้าที่มาถามมาคุยบ้าง
และการอยู่แต่ละวันทรมานมากครับ เค้าให้กินยา ยากินเข้าไปก็เบลอ นั่งก็ปวดหัว จะยืนจะเดินก็ปวดหัว ต้องล้มตัวนอนเอาไว้ท่าเดียวถึงจะไม่ปวด
ค่าขนมเจ้าหน้าที่ก็น่าจะโกงไปครับ
ตอนบ่ายเค้าจะซื้อขนมมา แล้วแต่ละคนจะมีงบว่าซื้อได้วันละกี่บาทแล้วแต่ผู้ปกครองจะฝากเงินและบอกเจ้าหน้าที่ไว้ว่างบวันละกี่บาท(สูงสุด 30บาท)
พอถึงเวลาเค้าจะเรียกชื่อและบอกงบเช่น นาย ก.10บาท คนไข้ก็เดินไปหยิบขนมตามงบ
ของผมตั้งแต่วันแรกเลยเจ้าหน้าที่เรียกผมแล้วบอกผมได้งบวันละ 10บาท ผมก็ซื้อตามงบจนถึงวันที่ที่บ้านมาเยี่ยม(ครบสัปดาห์) ผมก็ถามให้ผมอยู่ทำไม เค้าก็บอก"เพื่อรักษา" ผมก็ถาม"รักษาอะไร?" เค้าก็บอก"อยู่ๆไปเหอะ" แล้วก่อนกลับแม่ก็ถาม"ฝากเงินไว้ได้ใช้รึเปล่า? บอกเค้าว่าให้วันละ30"
ผมก็บอก"เค้าลืมมั๊ง เห็นให้วันล่ะ 10บาท"
และผมลองมาพูดกับคนไข้ด้วยกัน"ตอนแรกได้ 10บาท ซื้อได้ 2อัน พอแม่บอกว่าจริงๆแล้วให้ 30บาท ซื้อได้ตั้งเยอะเลยแน่ะ" พอที่บ้านเค้ามาเยี่ยม แม่เค้าเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ จากวันนั้นงบค่าขนมของหลายคนปรับขึ้นทั้งที่ญาติไม่ได้มาเยี่ยมด้วยซ้ำ
และระหว่างที่ผมอยู่ก็ว่างเลยสังเกตและคิดเล่นๆ
ผมยืนที่ระเบียงและเห็นรถขนผ้า(เสื้อผ้าและผ้าขนหนูจะถูกยกขึ้นรถเช้า-เย็น ผมสังเกตว่าเป็นรถเข็นที่เข็นผ้ามาจากชั้นที่ผมอยู่
ประตูเข้า-ออกเพื่อเปิดไปลิฟท์มีประตูเดียว กดเปิดล็อกจากเจ้าหน้าที่ในห้องอีกที
รถเข็นและกองผ้า หลังจากอาบน้ำเสร็จ คนไข้คนสุดท้ายออกจากห้องน้ำ เจ้าหน้าที่จะเดินเช็คห้องน้ำ พอคนไข้เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ผ้าขนหนูไปวางบนรถปั๊บ เจ้าหน้าที่ที่นั่งในห้องจะเข็นออกไปทันที(เจ้าหน้าที่มีกะละ 4คน ช่วยดูตอนอาบน้ำ 2คน เฝ้าห้องคนนึง คนนึงจะนั่งพักรอเข็นผ้า สลับกันวนไป
วันนึงผมเลยคุยกับคนไข้"ถ้าอยากจะหนีอ่ะ มีอยู่ทางนึง ต้องแอบไปกับรถขนผ้า เห็นป่ะพอคนอาบเสร็จปุ๊บเค้าเข็นออกไปขึ้นรถเลย ตอนวางไว้ก็ไม่มีคนเฝ้า ไปถึงรถปุ๊บเค้ายกขึ้นปั๊บเลย"
ช่วงอาบน้ำเป็นช่วงชุลมุน คนเดินไปมา เจ้าหน้าที่อยู่ในห้องน้ำ 2คน อีก2คนกำลังนั่งหลับตั้งนาฬิการอ
เพื่อนคนไข้ก็บอกผม"โอ้โห!!แต่ไอ...(ชื่ออะไรไม่รู้)มัน...แตกทุกวันเลยน่ะ
ผมก็"เอาน่ะ ทนแปปเดียวก็สบายกันแล้ว"
จากที่ผมพูดไป จากที่รถเข็นจะเข็นออกไปเลย และเจ้าหน้าที่ที่นั่งหลับตอนเช้าเปลี่ยนเป็นมาเดินดู เดินไปมาตอนเวลาอาบน้ำ และรถเข็นผ้าจะมาจอดรอหน้าประตูจนถึงเวลากินข้าวที่ทุกคนได้ถาดครบตามจำนวนคน รถถึงค่อยเข็นออกไป
ผ่านไป 2วันหมอเรียกคุยและบอกกับผมว่า"ต่อไปนี้ถ้าใครให้มารักษาอีก บอกให้มาคุยกับหมอนะ"
ผมถึงได้ออกมาจาก รพ.นี้ครับ
ขอไว้มาต่อนะครับ ระหว่างนี้ยังพิมพ์อยู่ครับ แต่พิมพ์ช้าบ้างครับ
รู้หรือยัง!!???แค่พิมพ์สิ่งที่สงสัยแล้วตามด้วยคำว่าpantip คุณจะพบทุกสิ่งที่ต้องการ!!!???
วิธีใช้เว็บพันทิปที่ผมเรียนรู้มาคือ ถ้าสงสัยอะไรในชีวิต หรือสนใจในเรื่องใดๆให้พิมพ์คำนั้นให้กระชับที่สุดเคาะเว้นวรรคหนึ่งทีแล้วตามด้วยคำว่า pantip
แต่วันนี้ นี่ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะมาคุยกันครับ
ผมหลอกให้กดเข้ามาอ่านน่ะ
ผมอ่านมาตั้งแต่บ้านมีคอมและติดเน็ตตอนนั้นน่าจะอายุ 16ปีครับ(ปัจจุบัน 33ปี)
นี่เป็นกระทู้แรกในชีวิตของผม เพราะเป็นคำถามที่ผมหาที่ไหนไม่ได้แม้แต่ในพันทิปที่เป็นแหล่งความรู้ต่างๆของผมเลยครับ
ถ้ามีคนที่อ่านจนจบ ผมอยากขอความเห็นจากหลายๆมุมเท่าที่ข้อมูลที่ผมมีจะบอกความเป็นไปได้ในแง่มุมต่างๆครับ(อารมณ์แบบหมอแปลก เห็นความเป็นไปได้สิบสามล้านรูปแบบ แต่ผมรู้สึกเหมือนผมจะชนะชัวร์ๆครับ)
การที่กลุ่มคนจ้องจะทำลายคนคนนึงมาตั้งแต่เกิด เกิดจากสาเหตุหรือแรงจูงใจอะไรที่ทำให้มีความพยายามจะทำให้ได้ถึงขนาดนี้ครับ???
เริ่มจากพยายามทำให้พัฒนาการช้า ก่อนวัยเรียนคือพยายามไม่ให้ได้พักผ่อนเต็มที่(กลางวันหลังบ้านเป็นโรงกลึงเคาะเสียงดังทั้งวัน กลางคืนพ่อสะกิดปลุกให้ตื่นทั้งคืน)
โตมาได้อีกหน่อยพยายามถึงชีวิตอยู่ครั้งนึง
ตอนนั้นมีอยู่ช่วงนึง แม่ผมสอนให้ผมกดสปริงที่หม้อหุงข้าว
แบบพอแม่ยกหม้อขึ้นปุ๊บให้ผมกดที่สปริงทันที แล้วชม"เก่ง....บลาๆ"แบบที่สอนหรือเล่นกับเด็ก)
จนถึงวัน แม่ให้ผมยืนรอบนเก้าอี้ พอข้าวสุกแม่ผมยกหม้อขึ้น ผมก็กดที่สปริงหม้อหุงข้าวทันที จากนั้นน่าจะหมดสติไปเลยครับ
และการใช้ชีวิตวัยเด็กจะถูกตบตีอย่างเดียว แบบไม่ถามไม่พูด ไม่บอกเหตุผล เคยถูกถีบคิ้วชนมุมโต๊ะหัวแตก(ผมยังคิด โชคดีไม่ถูกลูกตา)
เหตุผลที่ถีบ ผมเอาเงินเก็บในกระปุกของผมไปใช้
และมักจะบอกให้ผมอย่ายุ่งกับคนนั้นคนนี้แต่ไม่บอกเหตุผล แต่ตัวเค้าก็คุยปกติกับคนอื่น
ช่วงวัยรุ่นก็ปกติดีครับ แต่ตามใจมาก
จะเที่ยว จะกินเหล้า ออกจากบ้านเป็นอาทิตย์เป็นเดือนไม่เคยว่า ขอเงินเท่าไรก็ให้
พอมาวัยรุ่นช่วงหลังเริ่มไล่ครับ ไม่ให้อยู่ที่บ้าน เคยให้ผมไปอยู่บ้านญาติที่อยุธยา ผมอยากกลับยังไงก็ไม่ให้กลับ ส่งเงินให้ใช้ จนผมต้องสร้างเรื่องเพื่อให้ที่นั่นพากลับมา
ระหว่างกลับคนที่ขับรถเปิดลำโพงโทรศัพท์ให้ผมฟัง แม่ผมบอกว่า"กูบอกไม่ต้องเอามันกลับมา มันไม่อยากอยู่ก็ปล่อยมันไว้ที่ไหนก็ได้"
และพอวัยเริ่มทำงานก็เหมือนเค้าไม่อยากให้ทำที่ไหนตั้งแต่แรก ตอนเริ่มทำงานพ่อมาบอกผมว่า"ทำงานไม่ต้องใส่ใจหรอก ทำๆไปงั๊นแหละ ให้เข้าไปดูว่าที่โรงงานแต่ล่ะแห่งเค้าอะไรเกี่ยวกับซื้อ-ขายสินค้า ให้เข้าไปสืบๆดูๆแล้วก็ออก งานไม่ต้องไปทำหรือจริงจัง"
แต่ผมไม่เอาด้วย ผมตอบเค้าไปว่า"ไปทำงานกับเค้า ไม่ใช่ว่าควรซื่อสัตย์กับเค้าหรอ" แล้วผมก็คิดเข้าๆออกๆที่ไหนจะอยากรับเข้าทำงาน(ความคิด ณ ตอนนั้น)
แต่พอวัยนั้นภาพมองผมเกเรครับ นิสัย เพื่อนฝูง วีรกรรม
งานแรกที่ผมทำ งานแอร์
ผมอายุประมาณ16 ตอนนั้นไม่อยากเรียนเพื่อนพ่อที่เป็นเจ้าของร้านแอร์มาชวนไปทำงาน ผมก็ไปทำ แต่ทำแบบไม่ตั้งใจครับ ไปทำ1อาทิตย์แล้วหยุดไป3อาทิตย์ ถึงเวลาเงินออกผมก็ไปรับเงิน ทำไปสักพักกลับไปเรียนต่อ(แต่ก็ไม่ยอมเรียนเหมือนเดิม)
จนผมปลดทหารออกมา พี่ที่ทำอยู่ร้านแอร์ที่ผมเคยทำเค้าเก็บเงินซื้อเครื่องมือและรถมาเป็นซัพให้ร่านและให้ผมไปทำด้วย(ตอนนั้นผมกลับไปทำที่ร้านได้แปปนึง)เจ้าของร้านก็มาบอกผม"พี่เค้าเพิ่งเริ่ม เราต้องพยายามช่วยพี่เค้าหน่อยนะ"
ผมเริ่มจากไม่รู้อะไรเลยงานแอร์ ทำไปพักนึงจนถึงพี่เค้าไม่ต้องบอกอะไรผมแล้ว จะทำอะไรผมวางอุปกรณ์และเครื่องมือไว้ตามจุดต่างๆที่พี่เค้าต้องทำหรือต้องใช้ เป๊ะๆเลยครับ
และงานที่สองที่ผมได้ลองฝีมือ เป็นงานสติ๊กเกอร์ ผมก็เริ่มจากไม่เคยจับมาก่อนเลย
เค้าก็ไม่สอนไม่บอกผม ทำให้ผมดูครั้งเดียวพอผมได้ลองผมก็คล่องและไปต่อได้เรื่อยๆเลยไม่ว่าจะงานชิ้นเล็กๆหรืองานติดรอบคัน(งานสติ๊กเกอร์ตัดประกอบ)
หลังๆผมถึงขั้นไม่ต้องดูรูปต้นแบบแล้ว
เค้าตัดมาเป็นชิ้นๆแต่ละสี แต่ล่ะส่วน ผมประกอบเป็นรูปได้ถูกต้องและเป๊ะไม่มีฟองเลย
และผมเริ่มสังเกต ถ้าเป็นคนที่รู้จักผมเข้ามาสั่งสติ๊กเกอร์ เค้ามักจะดองไว้นานมากๆหรือทำแบบขอไปที
เคยมีรถคนในซอยไปติด เค้าบอกผมว่า"ติดลงไปเลยน่ะ รถเช็ดไปแล้ว"ปกติผมเช็ดเองก่อนติด)
แต่พอผมรูดสติ๊กเกอร์ปุ๊บ ขรุขระๆตลอดเลย เม็ดทรายเม็ดยางมะตอยเยอะแบบขับไปลุยอะไรมา?
และบอกผม"มีเพื่อนอีกมั๊ย เดี๋ยวงานจะเยอะขึ้น ให้ชวนมาทำ"
คนแรกผมชวนมาทำก็คุยตกลงค่าแรงกันเรียบร้อย พอเลิกงานไม่จ่ายค่าข้าวให้เพื่อนผม 50บาท(เค้าบอกลองงานก่อน 300บาท และมีค่าข้าวให้อีก 50บาท ค่าแรงช่วงปี พศ56-57)
เพื่อนผมเลยไม่พอใจเพราะมันก็กะว่าจะได้ไว้เป็นค่ารถเดินทาง
คนที่สองเป็นรุ่นน้องผมพามาทำ เริ่มวันปุ๊บบอกให้ผมสอนลอกสติ๊กเกอร์ผมก็ทำให้ดู และเค้าก็เรียกผมขึ้นไปช่วยสกรีนผ้า ระหว่างทำๆเค้าก็บอกผม"ปล่อยมันนั่งลอกไปแหละ เดี๋ยวมันก็เบื่อ" ผมก็งง แล้วจะให้หาคนมาเพื่อ? จากนั้นผมเลยไม่พาใครไปทำกับเค้าอีกแล้ว
และพอดีผมได้รู้จักกับน้องคนนึง น้องเค้าตั้งท้องมา(น้องเค้าทำงานขายบริการ)
ผมเลยทำข้อตกลงจะรับเซ็นชื่อเพื่อประกันการตอบแทนในอนาคต และน้องเค้าช่วยผมคลี่คลายหลายๆอย่าง
เริ่มจากผมปรึกษาเค้า(ร้านสติ๊กเกอร์)ว่า"ผมไม่รู้พี่ แฟนผมแอบคุยกับใครรึเปล่า ไม่ค่อยคุยกับผม หาเรื่องแต่ทะเลาะ"
เค้าก็เริ่มแนะนำ"อย่าไปคิดมาก...บลาๆ เอ็งลองเอาเฟสแฟนเอ็งมาสิ เผื่อพี่มีเพื่อนลองดูก็รู้ว่าแฟนเอ็งทำรึเปล่า" ผมเลยบอกเฟสไป
และช่วงนั้นเป็นงานประจำจังหวัดพอดี ผมเลยฝากน้องเค้าไปเดินงานกับแฟนพี่เค้า
ก็สรุปได้ว่าเค้าแนะนำน้องให้กับเพื่อนเค้าคนนึง
ตอนกลางวันก็ออกไปหากัน เลยทำให้มีตัวละครเพิ่มขึ้นมาคือ น.(น้า)ที่อยู่ที่บ้านตอนนั้น
(บ้านที่อยู่เป็นบ้านหลังเก่าของยาย ตอนนั้นมีน้ากับแฟนอยู่ห้องนึง ผมกับ ป.(ต่อไปขอเรียกว่า ป. นะครับ)อยู่ห้องนึง
ป.บอกว่า น.บอก"ทำไมไม่ไปทำแท้ง ทำงานเองใช้เงินเองสบายออก"น.ทำค้าขาย ที่บ้าน(ฝั่งผม)บอกให้ ป. ลงมาช่วยได้)
พูดทุกวันจนผมเริ่มเอะใจฝั่งของ น.
ผมเลยออกจากร้านสติ๊กเกอร์มาทำงานตอนกลางคืน เพื่อดูความหวังดีของ น.
แต่ น. ก็ไม่เคยบอกผมว่ากลางคืนพอผมไปทำงานปุ๊บ ป.ออกไปข้างนอก ผมเลยเริ่มดูให้มากกว่าร้านสติ๊กเกอร์ และก็ใช่ครับ หลายๆคนรอบตัวไม่ได้คิดหวังดีกับผม ผมเลยรอจน ป.คลอด และแยกย้ายกันไป
ต่อมาผมเริ่มทำตัวแบบไม่ปกติ ผมถึงได้เห็นแววตาและสีหน้าจากแม่เหมือนดีใจ เหมือนกับทำอะไรบางอย่างสำเร็จ แต่ตอนนั้นผมยังมองในทางที่ดีว่าเค้าอาจรักผม ไม่อยากให้อยู่กับผู้หญิงแบบนี้
ผมลองสมัครสอบทหารอากาศ โอนเงินอะไรเรียบร้อย พอถึงวันที่พรุ่งนี้จะไปสอบ แม่ผมโทรเรียกรถโรงพยาบาลมารับ และนั่งบอกนั่งคุยกับเจ้าหน้าที่ว่า"เนี่ยะ ตอนนั้นก็เคยเอาช้อนมานั่งจ้องจะให้มันงอ"นั่งเล่นช้อนตั้งแต่สมัยประถมแต่มาเล่าบอกว่าไม่ปกติตอนนี้?)
ตอนแรกผมนั่งรอเฉยๆเพราะคิดว่าเดี๋ยวถ้าเค้าวินิจฉัยว่าไม่ได้เป็นอะไร ก็คงได้กลับ
สักพักเจ้าหน้าที่เดินออกมาให้ผมตามไป ผมก็เดินตามไปเพราะคิดว่าอาจมีการทดสอบ เพราะตลอดเวลาไม่มีการมาคุยหรือมาถามอะไรผมเลย
พอขึ้นมาถึง เจ้าหน้าที่บอกผม"ถอดเสื้อผ้าออก" ผมก็งงครับ พักนึงถึงได้เข้าใจว่าเค้าพามาขึ้นตึกแล้ว
ยิ่งกว่านั้นรักษาผู้ป่วยจิตเวช แต่ไม่มีการพูดคุย ทดสอบหรือซักถามอะไรผมเลย แถมจู่ๆมาบอกให้ผมแก้ผ้าต่อหน้าคน ผมเลยบอกกับเค้า"ผมขอฟังเรื่องสิทธิคนไข้หน่อยครับ"
เท่านั้นแหละเค้าขึ้นเสียงเลย"เมิงหัวหมอมากหรอ!!"แล้วเรียกเจ้าหน้าที่มาอีก 3คนจับผมล็อคแก้ผ้า แล้วลากไปมัดแขนขาไว้กับเตียง ผมก็นอนนึกขนาดนี้เลยหรอวะเนี่ยะ ตัดสินจากอะไรเมิงรึเปล่ามีอาการมาปฏิบัติกันแบบนี้
นึกสภาพสิครับ ถูกมัดตึงๆเลยแขนขาท่ากากบาท ผมรอจนเจ้าหน้าที่ผ่านมาผมพยายามพูดแบบเรียบร้อยที่สุดเพราะไม่รู้จะมีโอกาสที่เจ้าหน้าที่จะเดินออกมาอีกรึเปล่า"พี่ครับ ขอรบกวนหย่อนๆเชือกสักหน่อยได้รึเปล่าครับ" เจ้าหน้าที่บอก"รอแปปนึง เดี๋ยวแก้เชือกแล้ว" ตอนนั้นผมดีใจมากในใจนึกเค้าคงเห็นว่าไม่มีอาการอะไรเดี๋ยวก็แก้เชือกให้ ปรากฏว่ายันเกือบแปดโมงแน่ะครับ นอนโดนมัดตั้งแต่ซักสามสี่ทุ่ม
อยู่ใน รพ.ผมก็รอให้มีการพูดคุยหรือทดสอบอะไร แต่ไม่มีเลยครับ จนเย็นผมเดินเข้าไปบอก"ผมขอคุยกับคุณหมอได้มั๊ยครับ" เจ้าหน้าที่ก็บอก"เดี๋ยวหมอจะเรียกคุยเอง" ผมก็รอจนครบสัปดาห์หมอถึงเรียกมาคุย
ครั้งแรกที่หมอคุย ผมตอบคำถามปกติทุกอย่าง จนหมอบอกคุยเสร็จแล้วผมถึงถาม"ผมกลับได้เลยใช่มั๊ยครับ?" หมอบอกผม"ไว้รอหมอบอกอีกที"
ผมก็ดีใจครับ คิดว่าจะได้ออกมาซะที รอไป 2-3วัน หมอก็ไม่เรียกไม่บอกอะไร ผมเลยเดินไปบอกเจ้าหน้าที่"ผมขอคุยกับคุณหมอครับ" เจ้าหน้าที่ก็ตอบคำเดิม"เดี๋ยวหมอเรียกคุยกับเราเอง" ผมก็รอ จนหมอเรียก ผมถึงได้เข้าใจว่าหมอจะเรียกคุยสัปดาห์ละครั้ง
ผมสังเกตว่ารอบที่แล้วตอนผมเล่า หมอก็เออๆออๆจดนู่นจดนี่
รอบนี้ผมเลยเล่าอีกแบบ เล่าแบบคนไม่ปกติ จนหมอบอกให้กลับ ผมก็ถาม"ให้ผมกลับได้รึยังครับ" หมอก็บอก"เดี๋ยวหมอบอกอีกที"......
......และเหมือนเดิมครับอยู่ไปอีกสัปดาห์นึง ระหว่างที่อยู่กิจวัตรประจำวันก็ตื่นมาอาบน้ำ วัดความดัน กินข้าว เรื่องอาหารนี่ด้วยครับ ตักให้น้อยมาก ปริมาณเท่าอาหารเด็กประถม ใส่ถาดหลุมมาข้าวหน่อยนึง กับหน่อยนึง แบบกินสี่คำห้าคำก็หมดแล้ว ผมเดินไปเติมทุกครั้ง ทุกมื้อ แต่ก็เติมได้ครั้งเดียว น่าแปลกใจคนตักอาหารก็คนเดิมตลอด มองหน้าผมตลอด คนที่เติมข้าวก็มีนับคนได้ ไม่ตักเพิ่มให้ผมแต่แรกหรือแจ้งเจ้าหน้าที่มาถามมาคุยบ้าง
และการอยู่แต่ละวันทรมานมากครับ เค้าให้กินยา ยากินเข้าไปก็เบลอ นั่งก็ปวดหัว จะยืนจะเดินก็ปวดหัว ต้องล้มตัวนอนเอาไว้ท่าเดียวถึงจะไม่ปวด
ค่าขนมเจ้าหน้าที่ก็น่าจะโกงไปครับ
ตอนบ่ายเค้าจะซื้อขนมมา แล้วแต่ละคนจะมีงบว่าซื้อได้วันละกี่บาทแล้วแต่ผู้ปกครองจะฝากเงินและบอกเจ้าหน้าที่ไว้ว่างบวันละกี่บาท(สูงสุด 30บาท)
พอถึงเวลาเค้าจะเรียกชื่อและบอกงบเช่น นาย ก.10บาท คนไข้ก็เดินไปหยิบขนมตามงบ
ของผมตั้งแต่วันแรกเลยเจ้าหน้าที่เรียกผมแล้วบอกผมได้งบวันละ 10บาท ผมก็ซื้อตามงบจนถึงวันที่ที่บ้านมาเยี่ยม(ครบสัปดาห์) ผมก็ถามให้ผมอยู่ทำไม เค้าก็บอก"เพื่อรักษา" ผมก็ถาม"รักษาอะไร?" เค้าก็บอก"อยู่ๆไปเหอะ" แล้วก่อนกลับแม่ก็ถาม"ฝากเงินไว้ได้ใช้รึเปล่า? บอกเค้าว่าให้วันละ30"
ผมก็บอก"เค้าลืมมั๊ง เห็นให้วันล่ะ 10บาท"
และผมลองมาพูดกับคนไข้ด้วยกัน"ตอนแรกได้ 10บาท ซื้อได้ 2อัน พอแม่บอกว่าจริงๆแล้วให้ 30บาท ซื้อได้ตั้งเยอะเลยแน่ะ" พอที่บ้านเค้ามาเยี่ยม แม่เค้าเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ จากวันนั้นงบค่าขนมของหลายคนปรับขึ้นทั้งที่ญาติไม่ได้มาเยี่ยมด้วยซ้ำ
และระหว่างที่ผมอยู่ก็ว่างเลยสังเกตและคิดเล่นๆ
ผมยืนที่ระเบียงและเห็นรถขนผ้า(เสื้อผ้าและผ้าขนหนูจะถูกยกขึ้นรถเช้า-เย็น ผมสังเกตว่าเป็นรถเข็นที่เข็นผ้ามาจากชั้นที่ผมอยู่
ประตูเข้า-ออกเพื่อเปิดไปลิฟท์มีประตูเดียว กดเปิดล็อกจากเจ้าหน้าที่ในห้องอีกที
รถเข็นและกองผ้า หลังจากอาบน้ำเสร็จ คนไข้คนสุดท้ายออกจากห้องน้ำ เจ้าหน้าที่จะเดินเช็คห้องน้ำ พอคนไข้เปลี่ยนชุดเรียบร้อย ผ้าขนหนูไปวางบนรถปั๊บ เจ้าหน้าที่ที่นั่งในห้องจะเข็นออกไปทันที(เจ้าหน้าที่มีกะละ 4คน ช่วยดูตอนอาบน้ำ 2คน เฝ้าห้องคนนึง คนนึงจะนั่งพักรอเข็นผ้า สลับกันวนไป
วันนึงผมเลยคุยกับคนไข้"ถ้าอยากจะหนีอ่ะ มีอยู่ทางนึง ต้องแอบไปกับรถขนผ้า เห็นป่ะพอคนอาบเสร็จปุ๊บเค้าเข็นออกไปขึ้นรถเลย ตอนวางไว้ก็ไม่มีคนเฝ้า ไปถึงรถปุ๊บเค้ายกขึ้นปั๊บเลย"ช่วงอาบน้ำเป็นช่วงชุลมุน คนเดินไปมา เจ้าหน้าที่อยู่ในห้องน้ำ 2คน อีก2คนกำลังนั่งหลับตั้งนาฬิการอ
เพื่อนคนไข้ก็บอกผม"โอ้โห!!แต่ไอ...(ชื่ออะไรไม่รู้)มัน...แตกทุกวันเลยน่ะ
ผมก็"เอาน่ะ ทนแปปเดียวก็สบายกันแล้ว"
จากที่ผมพูดไป จากที่รถเข็นจะเข็นออกไปเลย และเจ้าหน้าที่ที่นั่งหลับตอนเช้าเปลี่ยนเป็นมาเดินดู เดินไปมาตอนเวลาอาบน้ำ และรถเข็นผ้าจะมาจอดรอหน้าประตูจนถึงเวลากินข้าวที่ทุกคนได้ถาดครบตามจำนวนคน รถถึงค่อยเข็นออกไป
ผ่านไป 2วันหมอเรียกคุยและบอกกับผมว่า"ต่อไปนี้ถ้าใครให้มารักษาอีก บอกให้มาคุยกับหมอนะ"
ผมถึงได้ออกมาจาก รพ.นี้ครับ
ขอไว้มาต่อนะครับ ระหว่างนี้ยังพิมพ์อยู่ครับ แต่พิมพ์ช้าบ้างครับ