ร้านค้าสังฆภัณฑ์ ส่ายหัวยอดขาย ‘มาฆบูชา’ เงียบ คน.ถก 3 ฝ่ายสกัดหมูหน้าร้อนราคาพุ่ง
https://www.matichon.co.th/economy/news_3854359
ร้านค้าสังฆภัณฑ์ ส่ายหัวยอดขาย ‘มาฆบูชา’ ยังเงียบ ค้าภายในหารือ 3 ฝ่ายรับมือหมูหน้าร้อนราคาพุ่ง
วันที่ 3 มีนาคม นาย
อุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน(คน.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่ายชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ที่ร้านจำหน่ายสังฆภัณฑ์ บริเวณหน้าวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ และในห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาประชาชื่น เพื่อให้ความมั่นใจต่อประชาชนที่จะได้ซื้อสินค้าคุณภาพและราคาเหมาะสมสำหรับการใช้จ่ายช่วงวันมาฆบูชา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 6 มีนาคม
โดยพบว่า ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือในการปิดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน และตรวจสอบการหมดอายุของสินค้าที่ต้องไม่เกิน 6 เดือน สำหรับกำลังซื้อผู้ประกอบการเห็นว่าภาพรวมใช้จ่ายจะดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อไม่กลับมาเท่าเดิมเหมือน 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ปัจจัยคือภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ราคาสินค้าโดยรวมสูงทำให้ประหยัดใช้จ่าย และพฤติกรรมการสั่งซื้อและการทำบุญผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น การมาซื้อตามร้านค้าหรือห้างจะน้อยลง
“
จากสอบถามร้านค้าหรือห้าง ยอมรับว่ายอดซื้อไม่ได้ดีขึ้น จากเดิมเคยซื้อชุดใหญ่ 5-9 ชุด ก็เหลือ 1-3 ชุด ทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวลดขนาดชุดหรือเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ เช่น เลือกสินค้าแบบนำมาแพค แทนการจัดเป็นชุดสำเร็จเหมือนความนิยมในสมัยก่อน ราคาต่อชุดก็ย่อมเยามากขึ้น และได้กำชับผู้ประกอบการชุดไทยธรรมหรือชุดสังฆทานผู้ประกอบการต้องแสดงรายการสินค้า ขนาดน้ำหนักต่อหน่วย ปริมาณการบรรจุและราคาของสินค้า แต่ละรายการที่บรรจุในชุดไทยธรรมหรือชุดสังฆทาน
รวมทั้งค่าภาชนะที่บรรจุ รายการและราคาของสินค้าต้องมีขนาดตัวอักษรและตัวเลข (FONT) ตั้งแต่ขนาด 16 ขึ้นไป หรือมีขนาดเทียบเท่า และห้ามมิให้ฉวยโอกาสปรับราคาจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่มีเหตุผลอันควร เพื่อคุ้มครองดูแลให้ผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า หากไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือขายเกินควรมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท” นาย
อุดมกล่าว
นาย
อุดม กล่าวถึงความคืบหน้าการดูแลราคาเนื้อหมู หลังกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรมีการส่งสัญญาณจะขยับราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มตามเป้าหมายที่ 95 บาทต่อกิโลกรัมนั้น กรมมีการติดตามสถานการณ์และการเคลื่อนไหวของราคาหมูชำแหละทุกวัน ซึ่งพบว่า ราคาหน้าฟาร์มที่เคยลง เริ่มนิ่ง น่าจะมีจากหลายสาเหตุ คือ ความต้องการบริโภคเพิ่ม หมูนอกระบบลดลง ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาหมูเคยสูงจากผลผลิตหมูในประเทศลดลงมาก ต้นทุนเลี้ยงสูง และมีหมูตามชายแดนที่มีราคาถูกกว่าในไทยลักลอบเข้ามา และเมื่อราคาหมูแพง ทำให้หันไปบริโภคโปรตีนอื่นแทน เช่น เนื้อไก่ ปลา ไข่ไก่ หรือ ลดเมนูจากหมู
“
เร็วๆ นี้จะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า หน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล เรื่องราคาที่จะออกมาแต่ละช่วงก็ต้องเห็นชอบกันทุกฝ่าย ซึ่งทางปฎิบัติราคาเนื้อหมูต้นทางถึงปลายทาง มีข้อตกลงในการคำนวณ เช่น หากหมูฟาร์มต้นทาง 70 บาท ราคาเขียงก็ไม่เกิน 140 บาท ยกเว้นบางพื้นที่ห่างไกลมีเรื่องค่าขนส่งสูง ราคาจะเกินนี้ ซึ่งวันนี้ราคาเนื้อหมูแดงเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 155 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาอยู่ในช่วง 150-230 บาท อย่างแม่ฮ่องสอนราคาจะสูงสุดประมาณ 220-230 บาท แต่แหล่งใกล้ชำแหละก็ 150 บาท จากราคาหมูหน้าฟาร์ม 80 บาท ที่ราคาหน้าฟาร์มถึง 95 บาท อาจมีผลต่อราคาขายปลีก 180-190 บาทในเดือนเมษายนนั้น ต้องดูหลายปัจจัย ทั้งเรื่องต้นทุนเลี้ยงโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ค่าใช้จ่าย และราคาที่ผู้บริโภครับได้” นาย
อุดมกล่าว
ด้านผู้บริหารสาขา ห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาประชาชื่น กล่าวถึงกำลังซื้อชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ว่า กำลังซื้อสินค้าเพื่องานบุญดีขึ้น แต่สำหรับการซื้อชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ดูย้อนหลังตั้งแต่เทศกาลขึ้นปีใหม่เรื่อยมา พบว่า กำลังซื้อดีในช่วงใกล้เทศกาลและเฉลี่ยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นบาทต่อเทศกาล ถือว่าเป็นตัวเลขทรงตัว และความนิยมซื้อจะเลือกราคาต่ำกว่า 300 บาท มากขึ้น กว่าในอดีตจะซื้อราคาประมาณ 500 บาท
"เพื่อไทย"โคราชพร้อม 'อุ๊งอิ๊ง'นำปราศรัยใหญ่ 4 มี.ค.นี้ แซะไม่โหรงเหรงแน่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7541503
พรรคเพื่อไทย จัดเตรียมเวทีสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ก่อนปราศรัยใหญ่ 4 มี.ค.นี้ มั่นใจมีถึงแสน เก้าอี้ไม่โหรงเหรงเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว ปราศรัยใหญ่ของ พรรครวมไทยสร้างชาติ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 3 มี.ค.2566 ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นาย
สุปชัย อินทรักษา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 1 พรรคเพื่อไทย เดินทางมาตรวจสอบความเรียบร้อย ของการติดตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ของ พรรคเพื่อไทย ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงเย็นวันที่ 4 มี.ค.นี้
โดยมีการตั้งเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ กว้าง 15 เมตร ยาว 40 เมตร พร้อมติดตั้งเครื่องเสียง และแสงไฟสปอตไลท์ พร้อมทั้งจอแอลอีดีขนาดใหญ่บนเวที รวมทั้งตั้งเครื่องเสียงและจอแอลอีดีตามจุดต่างๆ รอบสนามหน้าศาลากลางด้วย
นายสุปชัย กล่าวว่า การปราศรัยใหญ่พรรคเพื่อไทยครั้งนี้ จะเป็นการปราศรัยใหญ่ครั้งแรกในภาคอีสาน โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทย เดินทางมาร่วมขึ้นเวทีปราศรัยอย่างคับคั่ง อาทิ นพ.
ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคฯ, นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค,
อุ๊งอิ๊ง น.ส.
แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นาย
สุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และนาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย
วันเสาร์ที่ 4 มี.ค.นี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยวางแผนเดินสายเปิดเวทีปราศรัยในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ทั้งหมด 3 จุด ช่วงเช้า เวลา 10.30 น. ขึ้นปราศรัยที่อาคารกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เทศบาลเมืองปักธงชัย อ.ปักธงชัย เพื่อเอาฤกษ์ประกาศปักธงชัยชนะในพื้นที่จ.นครราชสีมา เวลา 12.30 น. คณะแกนนำทั้งหมดจะเดินทางมากราบสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ที่อ.เมืองนครราชสีมา
ก่อนไปขึ้นเวทีปราศรัยที่ อ.คง หลังจากนั้นจึงเดินทางมาที่เวทีปราศรัยใหญ่ หน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา เวลา 16.00 น. เพื่อแถลงนโยบายต่างๆ เฉพาะเจาะจงให้กับชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด ซึ่งคาดว่าจะมีผู้มาฟังการปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย
”
ครั้งนี้กว่า 3 หมื่นคน จะไม่มีเก้าอี้ว่างตรงกลางเหมือนเวทีปราศรัยใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มาเปิดเวทีปราศรัยใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแน่นอน คาดว่าผู้มาฟังปราศรัยทั้ง 3 เวที รวมกันจะไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นคนหรือมีถึงแสนแน่
การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะต้องสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ กวาดที่นั่ง ส.ส.ในพื้นที่นครราชสีมาให้ได้ทั้งหมด 16 เขต กระแสพรรคเพื่อไทยในพื้นที่โคราชตอนนี้ มาเป็นอันดับหนึ่งในทุกพื้นที่”
‘ณัฐวุฒิ’ เผยคำวินิจฉัยไม่รวมต่างด้าว เป็นไปตามคาด งงทำไมยื่นตอนจะเลือกตั้ง?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3854543
‘ณัฐวุฒิ’ เผยคำวินิจฉัยไม่นับรวมต่างด้าว เป็นไปตามคาด งงใจ สงสัยมาตั้งนาน ทำไมเพิ่งยื่นตีความก่อนเลือกตั้งไม่กี่วัน ทำกระทบคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ชี้ล็อกมีผล 3 มี.ค.66 ดักทางเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทาง กม.
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม นาย
ณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีไม่นับรวมผู้ไม่ได้สัญชาติไทย โดยคำวินิจฉัยนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 และไม่มีผลย้อนหลังไปถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมาว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่คาดคะเนไว้ เรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและเห็นไม่ตรงกันมาตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2562 เพราะการให้บริการสาธารณะและสังคมต้องนับพลเมืองทุกคน หรือบุคคลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย แต่สิทธิพลเมืองและการคำนวณเขตการเลือกตั้งต้องดูประชากรที่มีสัญชาติที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า สงสัยว่าเหตุใดเมื่อปี พ.ศ.2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ผ่านกฎหมายลูก จึงไม่หยิบยกขึ้นมาดำเนินการตั้งแต่ครั้งที่แล้ว จึงทำให้เกิดข้อสงสัยและความคลางแคลงใจว่าตกลงแล้วการมายื่นและตีความในครั้งนี้เป็นเพราะจะทำให้ก่อเกิดประโยชน์ และส่วนได้เสียกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ต่อมาได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ให้แบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ทั้งนี้ การที่ศาลเขียนว่าให้มีผลบังคับในวันที่ 3 มีนาคม 2566 และไม่ให้เท้าความ หรือย้อนความว่าเกิดการกระทำความผิดพลาดอย่างใด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีผู้ที่ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาขึ้นมาอีก
นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ก็ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งให้ถูกต้องโดยเร็ว เพราะแต่ละพรรคการเมืองได้คัดว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กันไปเกือบหมดแล้ว จากนี้จะมีผลต่อกระบวนการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งทราบว่า กกต.ได้นัดถกด่วนเรื่องการแบ่งเขต ก็หวังว่าจะถกด่วนจริง ไม่ใช่ว่าติดวันเสาร์อาทิตย์แล้วอ้างว่าให้ไปรอสัปดาห์หน้าอีก ก็จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองที่รอคอยความชัดเจนเรื่องการแบ่งเขต
เมื่อถามว่า การคำนวณจำนวน ส.ส.พึงมีแต่ละจังหวัดใหม่จะส่งผลต่อความได้เปรียบของฝ่ายใดเป็นพิเศษหรือไม่ นาย
ณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับ 8 จังหวัดที่ต้องคำนวณการแบ่งเขตใหม่จะมีผลกระทบบวกลบต่อแต่ละพรรคการเมืองแตกต่างกันไป ตนก็ไม่คาดคิด หรือเห็นว่าจะมีการเอื้อใครเป็นพิเศษหรือไม่ แต่จะเป็นในเรื่องของการจัดการเสียมากกว่า เช่น จ.เชียงใหม่ เดิมมี 9 เขตเลือกตั้ง ต่อมาคิดคำนวณอีกครั้งบอกว่ามี 11 เขต แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้วต้องเหลือ 10 เขต จึงต้องมาคิดกันใหม่ว่าตกลงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่เตรียมไว้จะทำอย่างไร หาก กกต.ยื่นตีความตั้งแต่ต้น และมีความชัดเจนออกมาพรรคการเมืองต่างๆ ก็คงไม่ต้องยุ่งยากจนถึงปัจจุบัน
JJNY : 5in1 ‘มาฆบูชา’ เงียบ│"เพื่อไทย"โคราชพร้อม│‘ณัฐวุฒิ’งงทำไมยื่น│สมชัย ยื่นยุบ รทสช│แวกเนอร์โวล้อม “บักมุต”ได้แล้ว
https://www.matichon.co.th/economy/news_3854359
ร้านค้าสังฆภัณฑ์ ส่ายหัวยอดขาย ‘มาฆบูชา’ ยังเงียบ ค้าภายในหารือ 3 ฝ่ายรับมือหมูหน้าร้อนราคาพุ่ง
วันที่ 3 มีนาคม นายอุดม ศรีสมทรง รองอธิบดีกรมการค้าภายใน(คน.) กระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังตรวจสอบสถานการณ์การจำหน่ายชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ที่ร้านจำหน่ายสังฆภัณฑ์ บริเวณหน้าวัดสร้อยทอง เขตบางซื่อ และในห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาประชาชื่น เพื่อให้ความมั่นใจต่อประชาชนที่จะได้ซื้อสินค้าคุณภาพและราคาเหมาะสมสำหรับการใช้จ่ายช่วงวันมาฆบูชา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 6 มีนาคม
โดยพบว่า ผู้ประกอบการให้ความร่วมมือในการปิดป้ายแสดงราคาอย่างชัดเจน และตรวจสอบการหมดอายุของสินค้าที่ต้องไม่เกิน 6 เดือน สำหรับกำลังซื้อผู้ประกอบการเห็นว่าภาพรวมใช้จ่ายจะดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่กำลังซื้อไม่กลับมาเท่าเดิมเหมือน 4-5 ปีก่อนหน้านี้ ปัจจัยคือภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ราคาสินค้าโดยรวมสูงทำให้ประหยัดใช้จ่าย และพฤติกรรมการสั่งซื้อและการทำบุญผ่านระบบออนไลน์มากขึ้น การมาซื้อตามร้านค้าหรือห้างจะน้อยลง
“จากสอบถามร้านค้าหรือห้าง ยอมรับว่ายอดซื้อไม่ได้ดีขึ้น จากเดิมเคยซื้อชุดใหญ่ 5-9 ชุด ก็เหลือ 1-3 ชุด ทำให้ผู้ประกอบการปรับตัวลดขนาดชุดหรือเพิ่มทางเลือกใหม่ๆ เช่น เลือกสินค้าแบบนำมาแพค แทนการจัดเป็นชุดสำเร็จเหมือนความนิยมในสมัยก่อน ราคาต่อชุดก็ย่อมเยามากขึ้น และได้กำชับผู้ประกอบการชุดไทยธรรมหรือชุดสังฆทานผู้ประกอบการต้องแสดงรายการสินค้า ขนาดน้ำหนักต่อหน่วย ปริมาณการบรรจุและราคาของสินค้า แต่ละรายการที่บรรจุในชุดไทยธรรมหรือชุดสังฆทาน
รวมทั้งค่าภาชนะที่บรรจุ รายการและราคาของสินค้าต้องมีขนาดตัวอักษรและตัวเลข (FONT) ตั้งแต่ขนาด 16 ขึ้นไป หรือมีขนาดเทียบเท่า และห้ามมิให้ฉวยโอกาสปรับราคาจำหน่ายเพิ่มสูงขึ้นโดยไม่มีเหตุผลอันควร เพื่อคุ้มครองดูแลให้ผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรมในการซื้อสินค้า หากไม่ปิดป้ายแสดงราคา มีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือขายเกินควรมีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี ปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท” นายอุดมกล่าว
นายอุดม กล่าวถึงความคืบหน้าการดูแลราคาเนื้อหมู หลังกลุ่มผู้เลี้ยงสุกรมีการส่งสัญญาณจะขยับราคาหมูเป็นหน้าฟาร์มตามเป้าหมายที่ 95 บาทต่อกิโลกรัมนั้น กรมมีการติดตามสถานการณ์และการเคลื่อนไหวของราคาหมูชำแหละทุกวัน ซึ่งพบว่า ราคาหน้าฟาร์มที่เคยลง เริ่มนิ่ง น่าจะมีจากหลายสาเหตุ คือ ความต้องการบริโภคเพิ่ม หมูนอกระบบลดลง ซึ่งก่อนหน้านี้ราคาหมูเคยสูงจากผลผลิตหมูในประเทศลดลงมาก ต้นทุนเลี้ยงสูง และมีหมูตามชายแดนที่มีราคาถูกกว่าในไทยลักลอบเข้ามา และเมื่อราคาหมูแพง ทำให้หันไปบริโภคโปรตีนอื่นแทน เช่น เนื้อไก่ ปลา ไข่ไก่ หรือ ลดเมนูจากหมู
“เร็วๆ นี้จะหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งผู้ผลิต ผู้ค้า หน่วยงานรัฐที่กำกับดูแล เรื่องราคาที่จะออกมาแต่ละช่วงก็ต้องเห็นชอบกันทุกฝ่าย ซึ่งทางปฎิบัติราคาเนื้อหมูต้นทางถึงปลายทาง มีข้อตกลงในการคำนวณ เช่น หากหมูฟาร์มต้นทาง 70 บาท ราคาเขียงก็ไม่เกิน 140 บาท ยกเว้นบางพื้นที่ห่างไกลมีเรื่องค่าขนส่งสูง ราคาจะเกินนี้ ซึ่งวันนี้ราคาเนื้อหมูแดงเฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่ 155 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งราคาอยู่ในช่วง 150-230 บาท อย่างแม่ฮ่องสอนราคาจะสูงสุดประมาณ 220-230 บาท แต่แหล่งใกล้ชำแหละก็ 150 บาท จากราคาหมูหน้าฟาร์ม 80 บาท ที่ราคาหน้าฟาร์มถึง 95 บาท อาจมีผลต่อราคาขายปลีก 180-190 บาทในเดือนเมษายนนั้น ต้องดูหลายปัจจัย ทั้งเรื่องต้นทุนเลี้ยงโดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ค่าใช้จ่าย และราคาที่ผู้บริโภครับได้” นายอุดมกล่าว
ด้านผู้บริหารสาขา ห้างสรรพสินค้าโลตัส สาขาประชาชื่น กล่าวถึงกำลังซื้อชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ว่า กำลังซื้อสินค้าเพื่องานบุญดีขึ้น แต่สำหรับการซื้อชุดสังฆทานและชุดไทยธรรม ดูย้อนหลังตั้งแต่เทศกาลขึ้นปีใหม่เรื่อยมา พบว่า กำลังซื้อดีในช่วงใกล้เทศกาลและเฉลี่ยมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นบาทต่อเทศกาล ถือว่าเป็นตัวเลขทรงตัว และความนิยมซื้อจะเลือกราคาต่ำกว่า 300 บาท มากขึ้น กว่าในอดีตจะซื้อราคาประมาณ 500 บาท
"เพื่อไทย"โคราชพร้อม 'อุ๊งอิ๊ง'นำปราศรัยใหญ่ 4 มี.ค.นี้ แซะไม่โหรงเหรงแน่
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7541503
พรรคเพื่อไทย จัดเตรียมเวทีสนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ก่อนปราศรัยใหญ่ 4 มี.ค.นี้ มั่นใจมีถึงแสน เก้าอี้ไม่โหรงเหรงเหมือนสัปดาห์ที่แล้ว ปราศรัยใหญ่ของ พรรครวมไทยสร้างชาติ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 3 มี.ค.2566 ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา นายสุปชัย อินทรักษา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 1 พรรคเพื่อไทย เดินทางมาตรวจสอบความเรียบร้อย ของการติดตั้งเวทีปราศรัยใหญ่ของ พรรคเพื่อไทย ซึ่งจะจัดขึ้นช่วงเย็นวันที่ 4 มี.ค.นี้
โดยมีการตั้งเวทีปราศรัยขนาดใหญ่ กว้าง 15 เมตร ยาว 40 เมตร พร้อมติดตั้งเครื่องเสียง และแสงไฟสปอตไลท์ พร้อมทั้งจอแอลอีดีขนาดใหญ่บนเวที รวมทั้งตั้งเครื่องเสียงและจอแอลอีดีตามจุดต่างๆ รอบสนามหน้าศาลากลางด้วย
นายสุปชัย กล่าวว่า การปราศรัยใหญ่พรรคเพื่อไทยครั้งนี้ จะเป็นการปราศรัยใหญ่ครั้งแรกในภาคอีสาน โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทย เดินทางมาร่วมขึ้นเวทีปราศรัยอย่างคับคั่ง อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคฯ, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค, อุ๊งอิ๊ง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย, นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย
วันเสาร์ที่ 4 มี.ค.นี้ แกนนำพรรคเพื่อไทยวางแผนเดินสายเปิดเวทีปราศรัยในพื้นที่ จ.นครราชสีมา ทั้งหมด 3 จุด ช่วงเช้า เวลา 10.30 น. ขึ้นปราศรัยที่อาคารกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา เทศบาลเมืองปักธงชัย อ.ปักธงชัย เพื่อเอาฤกษ์ประกาศปักธงชัยชนะในพื้นที่จ.นครราชสีมา เวลา 12.30 น. คณะแกนนำทั้งหมดจะเดินทางมากราบสักการะอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี ที่อ.เมืองนครราชสีมา
ก่อนไปขึ้นเวทีปราศรัยที่ อ.คง หลังจากนั้นจึงเดินทางมาที่เวทีปราศรัยใหญ่ หน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา เวลา 16.00 น. เพื่อแถลงนโยบายต่างๆ เฉพาะเจาะจงให้กับชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด ซึ่งคาดว่าจะมีผู้มาฟังการปราศรัยใหญ่ของพรรคเพื่อไทย
” ครั้งนี้กว่า 3 หมื่นคน จะไม่มีเก้าอี้ว่างตรงกลางเหมือนเวทีปราศรัยใหญ่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มาเปิดเวทีปราศรัยใหญ่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วแน่นอน คาดว่าผู้มาฟังปราศรัยทั้ง 3 เวที รวมกันจะไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นคนหรือมีถึงแสนแน่
การเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทยตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะต้องสร้างปรากฏการณ์แลนด์สไลด์ กวาดที่นั่ง ส.ส.ในพื้นที่นครราชสีมาให้ได้ทั้งหมด 16 เขต กระแสพรรคเพื่อไทยในพื้นที่โคราชตอนนี้ มาเป็นอันดับหนึ่งในทุกพื้นที่”
‘ณัฐวุฒิ’ เผยคำวินิจฉัยไม่รวมต่างด้าว เป็นไปตามคาด งงทำไมยื่นตอนจะเลือกตั้ง?
https://www.matichon.co.th/politics/news_3854543
‘ณัฐวุฒิ’ เผยคำวินิจฉัยไม่นับรวมต่างด้าว เป็นไปตามคาด งงใจ สงสัยมาตั้งนาน ทำไมเพิ่งยื่นตีความก่อนเลือกตั้งไม่กี่วัน ทำกระทบคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส. ชี้ล็อกมีผล 3 มี.ค.66 ดักทางเอาผิดผู้เกี่ยวข้องทาง กม.
เมื่อวันที่ 3 มีนาคม นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีไม่นับรวมผู้ไม่ได้สัญชาติไทย โดยคำวินิจฉัยนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2566 และไม่มีผลย้อนหลังไปถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมาว่า ผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่คาดคะเนไว้ เรื่องนี้เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนและเห็นไม่ตรงกันมาตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ.2562 เพราะการให้บริการสาธารณะและสังคมต้องนับพลเมืองทุกคน หรือบุคคลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย แต่สิทธิพลเมืองและการคำนวณเขตการเลือกตั้งต้องดูประชากรที่มีสัญชาติที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งเป็นหลัก
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สงสัยว่าเหตุใดเมื่อปี พ.ศ.2562 คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ที่ยกร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น หรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่ผ่านกฎหมายลูก จึงไม่หยิบยกขึ้นมาดำเนินการตั้งแต่ครั้งที่แล้ว จึงทำให้เกิดข้อสงสัยและความคลางแคลงใจว่าตกลงแล้วการมายื่นและตีความในครั้งนี้เป็นเพราะจะทำให้ก่อเกิดประโยชน์ และส่วนได้เสียกับพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือไม่
นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยว่า ต่อมาได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ ให้แบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ทั้งนี้ การที่ศาลเขียนว่าให้มีผลบังคับในวันที่ 3 มีนาคม 2566 และไม่ให้เท้าความ หรือย้อนความว่าเกิดการกระทำความผิดพลาดอย่างใด เพราะไม่เช่นนั้นจะมีผู้ที่ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายทั้งทางแพ่งและทางอาญาขึ้นมาอีก
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นนี้ก็ต้องแบ่งเขตเลือกตั้งให้ถูกต้องโดยเร็ว เพราะแต่ละพรรคการเมืองได้คัดว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กันไปเกือบหมดแล้ว จากนี้จะมีผลต่อกระบวนการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งทราบว่า กกต.ได้นัดถกด่วนเรื่องการแบ่งเขต ก็หวังว่าจะถกด่วนจริง ไม่ใช่ว่าติดวันเสาร์อาทิตย์แล้วอ้างว่าให้ไปรอสัปดาห์หน้าอีก ก็จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับพรรคการเมืองที่รอคอยความชัดเจนเรื่องการแบ่งเขต
เมื่อถามว่า การคำนวณจำนวน ส.ส.พึงมีแต่ละจังหวัดใหม่จะส่งผลต่อความได้เปรียบของฝ่ายใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า สำหรับ 8 จังหวัดที่ต้องคำนวณการแบ่งเขตใหม่จะมีผลกระทบบวกลบต่อแต่ละพรรคการเมืองแตกต่างกันไป ตนก็ไม่คาดคิด หรือเห็นว่าจะมีการเอื้อใครเป็นพิเศษหรือไม่ แต่จะเป็นในเรื่องของการจัดการเสียมากกว่า เช่น จ.เชียงใหม่ เดิมมี 9 เขตเลือกตั้ง ต่อมาคิดคำนวณอีกครั้งบอกว่ามี 11 เขต แต่เมื่อคำวินิจฉัยออกมาแล้วต้องเหลือ 10 เขต จึงต้องมาคิดกันใหม่ว่าตกลงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ที่เตรียมไว้จะทำอย่างไร หาก กกต.ยื่นตีความตั้งแต่ต้น และมีความชัดเจนออกมาพรรคการเมืองต่างๆ ก็คงไม่ต้องยุ่งยากจนถึงปัจจุบัน