น่ารับฟังเป็นอย่างยิ่ง แม้ในทางการเมืองบางส่วนผมไม่เห็นด้วยกับอาจารย์ปิยบุตร และผมก็ไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้ พรรคของลุงๆทั้งหลายครับ
การเลือกตั้งที่จะมีมาถึงนี้ อาจารย์ปิยบุตรทำนายอนาคตพรรคก้าวไกลไว้ ส่วนจะทายถูกหรือผิดมันขึ้นอยู่กับที่ประชาชนตัดสินลงคะแนนละครับ
ที่มา:
https://www.matichon.co.th/politics/news_3832086
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เผยทางเพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล วิเคราะห์ถึง “แลนด์สไลด์” ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แก้ไม่ออก ความว่า ประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากสังเกตจากผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการรับรู้พูดคุยในกลุ่มแวดวงต่างๆ เชื่อได้ว่า ร้อยละ 60 อยากเปลี่ยนรัฐบาล และจะใช้การเลือกตั้งในปี 2566 นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ
Advertisment
การรณรงค์ให้ลงคะแนนแบบยุทธศาสตร์เพื่อให้ พรรคเพื่อไทย (พท.) แลนด์สไลด์ กำลังเป็นที่แพร่หลายและได้การยอมรับไปทั่ว หากดูผลสำรวจความคิดเห็นก็จะพบว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยและ คุณแพทองธาร สูงมาก ทั้งในภาพรวมทั่วประเทศ และในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งภาคใต้
สำหรับพรรคก้าวไกลเองคะแนนนิยมอยู่นิ่งอยู่กับที่มาปีเศษแล้ว ผู้อำนวยการนิด้าโพลได้วิเคราะห์ไว้ในรายการหนึ่งว่า คะแนนของพรรคก้าวไกลเป็น “น้ำเต็มแก้ว” ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใด เวลาผ่านไปนานเท่าไร คะแนนก็จะอยู่เท่านี้
เรียกได้ว่า คะแนนจากผลสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้รับนั้นคือ “แฟนพันธุ์แท้”
หากพรรคก้าวไกลต้องการคะแนนมากกว่านี้ ต้องการมี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้มากกว่านี้ จำเป็นต้องแสวงหาคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกพรรคอื่นจะได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มมาได้ พรรคก้าวไกลต้องแก้ปมปัญหาเรื่อง “แลนด์สไลด์”
คนจำนวนมากที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” พรรคเพื่อไทย ย่อมลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ
แต่มีคนอีกจำนวนมากที่รักเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล
คนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค
คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว
หรือคนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้
คนเหล่านี้ อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล
ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากความคิดเรื่อง “แลนด์สไลด์”
ด้วยระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 บัญชี 100 ทำให้คะแนนแบบแบ่งเขตของผู้ที่ไม่ได้ลำดับที่ 1 ถูกทิ้งน้ำไปหมด ไม่เหมือนตอนปี 2562 ที่ยังนำมาคำนวณเป็น ส.ส.ทั่วประเทศ
และด้วยความคิดที่ว่าหากเพื่อไทยกับก้าวไกลแข่งกันเองในเขตเลือกตั้ง อาจทำให้แพ้ทั้งคู่ จนพรรคประยุทธ์ หรือพรรคอื่นที่อยู่อีกขั้วชนะไป ดังปรากฏให้เห็นหลายเขตในการเลือกตั้งปี 2562 ประกอบกับ “สวิตช์ ส.ว. 250” คน ยังทำงานออกฤทธิ์ได้อีก
ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเลือกที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยสองใบ หรือเลือกพรรคเพื่อไทยในแบบเขต เลือกพรรคก้าวไกลแบบบัญชีรายชื่อ
หากสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนี้ไปจนถึงวันลงคะแนน พรรคก้าวไกลก็จะได้ ส.ส.เขตน้อยมาก และได้ “ส่วนแบ่ง” จากบัญชีรายชื่อมา รวมยอด ส.ส.ทั้งหมด คงไปไม่เกิน 30
หากพรรคก้าวไกลไม่คิดอะไรมาก ได้เท่าไรก็เท่านั้น รอบนี้ขอ “เกาะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล” ไว้ก่อน พรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องคิดยุทธวิธีใหม่ ประคองตัวไปจนจบเลือกตั้ง และถ้าไม่มีสัญญาณแปลกๆ ใดมาขัดขวาง หรือรวมเสียงฝ่ายค้านเดิมเพียงพอ “พี่ใหญ่” ก็อาจเมตตาชวน “น้องเล็ก” ไปร่วมรัฐบาล แบ่ง รมต.ให้สัก 2-3 ที่ แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังคงต้องการเสียงมากกว่านี้ จำนวน ส.ส.มากกว่านี้ พิสูจน์ตนเองว่าแนวคิดแนวทางที่ทำกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นด้วยมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องคิดแก้ปมปัญหา “แลนด์สไลด์” ให้ได้
หนึ่ง ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะในเขตเลือกตั้งสูง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะเข้าที่ 1 ไม่ใช่เข้าที่ 2 หรือที่ 3
หากทำให้คนจำนวนมากเชื่อได้ คนก็จะมาเลือก เพราะคะแนนนี้ไม่ทิ้งน้ำ ไม่เปล่าประโยชน์ แต่จะทำให้พรรคก้าวไกลชนะ ส.ส.เขต
สอง ขีดเส้นแบ่งใหม่ ไม่ใช่ “ฝ่าย non ประยุทธ์” vs “ฝ่ายประยุทธ์” ไม่ใช่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” vs “ฝ่ายเผด็จการ” แบบเดิมๆ
แต่เป็นการสู้กันระหว่าง “พลังเก่า” vs “พลังใหม่” และพรรคก้าวไกลคือตัวแทนของพลังใหม่
สร้างความแตกต่างของตนเองออกจากทุกพรรค ทุกขั้ว พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเทคะแนนให้พลังใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้คนจำนวนมากตระหนักว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ในอนาคต มิใช่วนเวียนอยู่กับเรื่องเอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ เอาประยุทธ์ ไม่เอาประยุทธ์ วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ที่ล้อมสังคมไทย กักขังสังคมไทยไว้ตั้งแต่ 2549 ไม่ให้ไปไหน
หากเลือกเส้นทางนี้ การทำแคมเปญ กำหนดยุทธวิธี การคิดคำ ประดิษฐ์คำ ทำม็อตโต้ ชูคำขวัญ ให้เดินตามสองข้อข้างต้น คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคณะทำงาน
แต่การเมือง อยู่ที่ความเชื่อ ผู้คนจำนวนมากต้องเชื่อก่อนว่าจริง เราทำได้จริง
ต่อให้คิดค้นแคมเปญได้ดีเลิศขนาดไหน แต่ถ้าคนไม่เชื่อ แคมเปญนั้นก็เป็นเพียงบันทึกเก็บไว้ใน Portfolio
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า…ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?
มีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อโดยพร้อมเพรียงกันว่าต้องมีพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนของพลังใหม่ในการเปลี่ยนประเทศตั้งแต่รอบนี้ ได้หรือไม่?เหลือเวลาอีกสามเดือน !!!
ปิยบุตรทำนาย หากสถานการณ์เป็นแบบนี้ พรรคก้าวไกลคงได้ ส.ส. ในการเลือกตั้งปี 2566 ไม่เกิน 30 คน
การเลือกตั้งที่จะมีมาถึงนี้ อาจารย์ปิยบุตรทำนายอนาคตพรรคก้าวไกลไว้ ส่วนจะทายถูกหรือผิดมันขึ้นอยู่กับที่ประชาชนตัดสินลงคะแนนละครับ
ที่มา: https://www.matichon.co.th/politics/news_3832086
เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อและเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เผยทางเพจเฟซบุ๊ก Piyabutr Saengkanokkul – ปิยบุตร แสงกนกกุล วิเคราะห์ถึง “แลนด์สไลด์” ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) แก้ไม่ออก ความว่า ประชาชนจำนวนมากต้องการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากสังเกตจากผลการสำรวจความคิดเห็น หรือการรับรู้พูดคุยในกลุ่มแวดวงต่างๆ เชื่อได้ว่า ร้อยละ 60 อยากเปลี่ยนรัฐบาล และจะใช้การเลือกตั้งในปี 2566 นี้เป็นเครื่องมือสำคัญ
Advertisment
การรณรงค์ให้ลงคะแนนแบบยุทธศาสตร์เพื่อให้ พรรคเพื่อไทย (พท.) แลนด์สไลด์ กำลังเป็นที่แพร่หลายและได้การยอมรับไปทั่ว หากดูผลสำรวจความคิดเห็นก็จะพบว่าคะแนนของพรรคเพื่อไทยและ คุณแพทองธาร สูงมาก ทั้งในภาพรวมทั่วประเทศ และในทุกพื้นที่ แม้กระทั่งภาคใต้
สำหรับพรรคก้าวไกลเองคะแนนนิยมอยู่นิ่งอยู่กับที่มาปีเศษแล้ว ผู้อำนวยการนิด้าโพลได้วิเคราะห์ไว้ในรายการหนึ่งว่า คะแนนของพรรคก้าวไกลเป็น “น้ำเต็มแก้ว” ไม่เพิ่ม ไม่ลด ไม่ว่าเกิดเหตุการณ์ใด เวลาผ่านไปนานเท่าไร คะแนนก็จะอยู่เท่านี้
เรียกได้ว่า คะแนนจากผลสำรวจที่พรรคก้าวไกลได้รับนั้นคือ “แฟนพันธุ์แท้”
หากพรรคก้าวไกลต้องการคะแนนมากกว่านี้ ต้องการมี ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งให้มากกว่านี้ จำเป็นต้องแสวงหาคะแนนจากกลุ่มผู้ที่ไม่ตัดสินใจ หรือกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกพรรคอื่นจะได้คะแนนส่วนนี้เพิ่มมาได้ พรรคก้าวไกลต้องแก้ปมปัญหาเรื่อง “แลนด์สไลด์”
คนจำนวนมากที่เป็น “แฟนพันธุ์แท้” พรรคเพื่อไทย ย่อมลงคะแนนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งสองใบ
แต่มีคนอีกจำนวนมากที่รักเพื่อไทย แต่ก็เห็นประโยชน์ของการมีพรรคแบบก้าวไกล
คนจำนวนมากที่รักทั้งสองพรรค
คนจำนวนมากที่เห็นด้วยกับสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ แต่คิดว่าเป็นการต่อสู้ระยะยาว
หรือคนจำนวนมากชอบพรรคก้าวไกล แต่ไม่คิดว่าจะชนะได้ในเขตเลือกตั้ง ไม่คิดว่าจะชนะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้
คนเหล่านี้ อาจเลือก ส.ส.เขตของพรรคเพื่อไทย และแบ่งมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อให้พรรคก้าวไกล
ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงจากความคิดเรื่อง “แลนด์สไลด์”
ด้วยระบบเลือกตั้งแบบแบ่งเขต 400 บัญชี 100 ทำให้คะแนนแบบแบ่งเขตของผู้ที่ไม่ได้ลำดับที่ 1 ถูกทิ้งน้ำไปหมด ไม่เหมือนตอนปี 2562 ที่ยังนำมาคำนวณเป็น ส.ส.ทั่วประเทศ
และด้วยความคิดที่ว่าหากเพื่อไทยกับก้าวไกลแข่งกันเองในเขตเลือกตั้ง อาจทำให้แพ้ทั้งคู่ จนพรรคประยุทธ์ หรือพรรคอื่นที่อยู่อีกขั้วชนะไป ดังปรากฏให้เห็นหลายเขตในการเลือกตั้งปี 2562 ประกอบกับ “สวิตช์ ส.ว. 250” คน ยังทำงานออกฤทธิ์ได้อีก
ทั้งหมดนี้ทำให้ประชาชนที่ต้องการเปลี่ยนรัฐบาลเลือกที่จะเลือกพรรคเพื่อไทยสองใบ หรือเลือกพรรคเพื่อไทยในแบบเขต เลือกพรรคก้าวไกลแบบบัญชีรายชื่อ
หากสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ยังเป็นเช่นนี้ไปจนถึงวันลงคะแนน พรรคก้าวไกลก็จะได้ ส.ส.เขตน้อยมาก และได้ “ส่วนแบ่ง” จากบัญชีรายชื่อมา รวมยอด ส.ส.ทั้งหมด คงไปไม่เกิน 30
หากพรรคก้าวไกลไม่คิดอะไรมาก ได้เท่าไรก็เท่านั้น รอบนี้ขอ “เกาะพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล” ไว้ก่อน พรรคก้าวไกลก็ไม่ต้องแก้ไขอะไร ไม่ต้องคิดยุทธวิธีใหม่ ประคองตัวไปจนจบเลือกตั้ง และถ้าไม่มีสัญญาณแปลกๆ ใดมาขัดขวาง หรือรวมเสียงฝ่ายค้านเดิมเพียงพอ “พี่ใหญ่” ก็อาจเมตตาชวน “น้องเล็ก” ไปร่วมรัฐบาล แบ่ง รมต.ให้สัก 2-3 ที่ แต่ถ้าพรรคก้าวไกลยังคงต้องการเสียงมากกว่านี้ จำนวน ส.ส.มากกว่านี้ พิสูจน์ตนเองว่าแนวคิดแนวทางที่ทำกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนเห็นด้วยมาก พรรคก้าวไกลก็ต้องคิดแก้ปมปัญหา “แลนด์สไลด์” ให้ได้
หนึ่ง ทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าพรรคก้าวไกลมีโอกาสชนะในเขตเลือกตั้งสูง ไม่ใช่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกลจะเข้าที่ 1 ไม่ใช่เข้าที่ 2 หรือที่ 3
หากทำให้คนจำนวนมากเชื่อได้ คนก็จะมาเลือก เพราะคะแนนนี้ไม่ทิ้งน้ำ ไม่เปล่าประโยชน์ แต่จะทำให้พรรคก้าวไกลชนะ ส.ส.เขต
สอง ขีดเส้นแบ่งใหม่ ไม่ใช่ “ฝ่าย non ประยุทธ์” vs “ฝ่ายประยุทธ์” ไม่ใช่ “ฝ่ายประชาธิปไตย” vs “ฝ่ายเผด็จการ” แบบเดิมๆ
แต่เป็นการสู้กันระหว่าง “พลังเก่า” vs “พลังใหม่” และพรรคก้าวไกลคือตัวแทนของพลังใหม่
สร้างความแตกต่างของตนเองออกจากทุกพรรค ทุกขั้ว พร้อมกับสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้คนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องเทคะแนนให้พลังใหม่เพื่อการเปลี่ยนแปลง ให้คนจำนวนมากตระหนักว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือความใฝ่ฝันถึงสังคมใหม่ในอนาคต มิใช่วนเวียนอยู่กับเรื่องเอาทักษิณ ไม่เอาทักษิณ เอาประยุทธ์ ไม่เอาประยุทธ์ วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ ที่ล้อมสังคมไทย กักขังสังคมไทยไว้ตั้งแต่ 2549 ไม่ให้ไปไหน
หากเลือกเส้นทางนี้ การทำแคมเปญ กำหนดยุทธวิธี การคิดคำ ประดิษฐ์คำ ทำม็อตโต้ ชูคำขวัญ ให้เดินตามสองข้อข้างต้น คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของคณะทำงาน
แต่การเมือง อยู่ที่ความเชื่อ ผู้คนจำนวนมากต้องเชื่อก่อนว่าจริง เราทำได้จริง
ต่อให้คิดค้นแคมเปญได้ดีเลิศขนาดไหน แต่ถ้าคนไม่เชื่อ แคมเปญนั้นก็เป็นเพียงบันทึกเก็บไว้ใน Portfolio
ปัญหาจึงมีอยู่ว่า…ผู้นำพรรคก้าวไกลมีศักยภาพเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะชนะในเขตเลือกตั้งได้หรือไม่?
มีความสามารถเพียงพอที่จะทำให้คนเชื่อโดยพร้อมเพรียงกันว่าต้องมีพรรคก้าวไกลเป็นตัวแทนของพลังใหม่ในการเปลี่ยนประเทศตั้งแต่รอบนี้ ได้หรือไม่?เหลือเวลาอีกสามเดือน !!!