‘ทะลุวัง’ ยื่น ‘เพื่อไทย’ เร่ง 3 ข้อเรียกร้อง ‘ตะวัน-แบม’ ‘อันนา’ บอก วันที่มีอำนาจแล้วโปรดให้มาฟังเสียง ปชช.ที่เดือดร้อน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3799041
‘ทะลุวัง’ ยื่น ‘เพื่อไทย’ เร่ง 3 ข้อเรียกร้อง ‘ตะวัน-แบม’ ‘โจเซฟ’ ลั่น ไม่ใช่มีคนตายในคุกแล้วอยากกลับบ้าน จนไม่แตะ ม.112 ขณะที่ ‘อันนา’ บอก วันที่มีอำนาจแล้วโปรดให้มาฟังเสียง ปชช.ที่เดือดร้อน
เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 31 มกราคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะราษฎรยกเลิกมาตรา 112 (ครย.) กลุ่มทะลุวัง กลุ่มโมกหลวง 24 มิถุนาประชาธิปไตย เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน เข้ายื่นหนังสือถึงผู้บริหารพรรค พท. เพื่อเสนอนโยบายเร่งด่วน 3 ข้อเรียกร้องของ น.ส.
ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือ
ตะวัน และ น.ส.
อรวรรณ ภู่พงศ์ หรือ
แบม โดยมีแกนนำพรรค พท. อาทิ นาย
ภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค, นาย
ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค, นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค พท., นพ.
พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานนโยบายพรรค พท. เป็นตัวแทนรับยื่นหนังสือ
ด้าน
โจเซฟ นักกิจกรรมชาย กล่าวว่า ตนขอสื่อสารกับนาย
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หวังว่าท่านจะเข้ามาฟัง ตนมาจากครอบครัวที่มีคุณยายรักนาย
ทักษิณ มาจากคนที่หวังดีกับท่าน จึงอยากให้พรรค พท.มีความกล้าหาญออกมาพูดว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีปัญหาอย่างไร และพรรค พท.จะทำอย่างไรกับมาตรา 112 ทั้งนี้ การที่เราจะยกเลิกมาตรา 112 หรือปฏิรูปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เราต้องผ่านรัฐสภา และอยากพูดว่าไม่ต้องกลัวว่าจะตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายขวาจัดหรือฝ่ายล้มเจ้า ฉะนั้น ถ้าพรรค พท.มีความกล้าที่จะประกาศยกเลิก จะกู้ศรัทธาจากคนรุ่นใหม่ได้ รวมทั้งไม่อยากได้ยินว่าคนรุ่นใหม่ต้องตายในคุก แต่ท่านจะไม่แตะ ม.112 เพราะท่านอยากกลับบ้าน
ขณะที่น.ส.
เนติพร เสน่ห์สังคม หรือ
บุ้ง กล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้มาเพื่อเป็นศัตรูกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย แต่มาในฐานะตัวแทนทะลุวัง และตัวแทนตะวันกับแบม เพราะอยากรู้ว่าพรรคพท.จะเอาอย่างไร เพื่อที่จะไปบอกน้องทั้ง 2 คน เพราะสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จคือการรักษาชีวิตทั้งสองคน ขอให้ผุ้มีอำนาจในประเทศไทยยืนเคียงข้างประชาชน และวันนี้จะไปยืนที่ไหนขอให้แสดงความชัดเจนออกมา และว่า
“ทะลุวังจะยังคงเคลื่อนไหวอย่างนี้ต่อไป ถามพรรคใหญ่ พรรคเล็กทุกพรรคว่าคุณจะเองอย่างไรกันแน่กับมาตรา 112 และมาตรา 116 กับข้อเรียกร้องข้อที่ 3 ของน้องๆ”
และย้ำว่าไม่ต้องกัวลว่า จะมีแค่พรรค พท.ที่ทะลุวังจะไปเยือน แต่เราจะไปเยือนทุกพรรค
น.ส.
อันนา อันนานนท์ กล่าวว่า ฝากไปถึงพรรค พท.ว่าวันนี้คุณไม่มีอำนาจ คุณเคยโดนยึดอำนาจ แต่วันที่คุณมีอำนาจโปรดหันหลังกลับมาฟังประชาชนที่เดือดร้อนจากมาตรานี้ และครั้งหนึ่งคุณก็เคยเดือดร้อน แต่วันนี้เรานำความเดือดร้อนมาบอกพรรค พท. เพื่อให้พรรค พท.แก้ปัญหาให้ตรงจุด
จากนั้น แกนนำพรรค พท.ได้ให้ตัวแทนกลุ่มดังกล่าวขึ้นไปหารือกันที่ชั้น 2 ของพรรค
‘โรม’ ดักคอ กกต.อย่าเนียนแบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ตามฐานเสียงบางพรรค ซ้ำรอยปี’62
https://www.matichon.co.th/politics/news_3799123
‘โรม’ ดักคอ ‘กกต.’ อย่าเนียนแบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ตามฐานเสียงบางพรรค ซ้ำรอยปี’62
เมื่อวันที่ 31 มกราคม นายรั
งสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้มีความชัดเจนต่อการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างสมเหตุสมผล และไม่บ่ายเบี่ยงในการสร้างระบบรายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ว่าเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดจากการเลือกตั้งปี 2562 เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิสดารที่ไม่ส่งผลดีทั้งต่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และนำไปสู่ข้อครหาเรื่องความไม่โปร่งใส
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ทำให้เกิดคำถามว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งสะท้อนพื้นที่ประชากรอย่างถูกต้องหรือไม่ และเป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งเพียงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่ ดังจะเห็นได้ว่าในหลายเขตเลือกตั้งที่มีการแบ่งออกมาครอบคลุมพื้นที่ห่างกันมาก จากสุดเขตฝั่งหนึ่งไปถึงอีกสุดเขตฝั่งหนึ่ง บางแห่งห่างกันถึง 200 กิโลเมตรก็มี คำถามคือการแบ่งเขตแบบนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของผู้แทนที่จะต้องเดินทางไปพบปะประชาชนตามการแบ่งเขตเช่นนี้จะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ กกต.ทำการแบ่งเขตในการเลือกตั้งปี 2566 ที่จะถึงนี้อย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับธรรมชาติของพื้นที่ ไม่ใช่ตัดแบ่ง หรือรวมตำบลต่างๆ ออกเป็นเขตเลือกตั้งตามฐานเสียงของพรรคการเมืองบางพรรคเป็นสำคัญ
“
ผมไม่อยากให้ประเทศมีข้อครหาว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงกลายเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกอีกครั้งเหมือนปี 2562 สังคมไทยผ่านการเลือกตั้งมาหลายครั้ง มีแบบอย่างการแบ่งเขตที่สอดคล้องกับพื้นที่มากมายให้นำมาเป็นบทเรียนได้ สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่มีอยู่ 400 เขต ประเทศไทยก็เคยผ่านมาแล้ว หากแบ่งเขตได้อย่างเป็นธรรมก็จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น” นาย
รังสิมันต์กล่าว
นาย
รังสิมันต์กล่าวถึงกรณีการรายงานผลคะแนนแบบเรียลไทม์ ซึ่ง กกต.อ้างว่าไม่อาจทำได้ เพราะใช้งบประมาณมากเกินไป โดยรังสิมันต์กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติงบประมาณให้ กกต.ถึงเกือบ 6 พันล้านบาท เป้าหมายหนึ่งก็เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสที่สุด หากการประกาศผลการเลือกตั้งสามารถเป็นไปแบบเรียลไทม์ได้ การทุจริตด้วยวิธีการต่างๆ แบบที่เคยทำกันมา ไม่ว่าจะเป็นไฟดับระหว่างนับคะแนน การแอบสลับหีบ ย้ายหีบ หรือการทุจริตในรูปแบบอื่นๆ ก็จะทำได้ยากขึ้น เพราะประชาชนจำนวนมากจะเห็นผลการเลือกตั้งไปพร้อมๆ กัน
นาย
รังสิมันต์กล่าวว่า การประกาศผลแบบเรียลไทม์คือระบบที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ด้วยเทคโนโลยีที่ประเทศไทยมีในวันนี้ รวมถึงอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง และการที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากสำหรับการประกาศผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า กกต.อยากทำหรือไม่ มั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ทุกคนอยากรู้ผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์หมด ไม่มีใครอยากเห็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น การทราบผลได้ทันทีเป็นประโยชน์ต่อประชาชน การที่ กกต.ออกมาอ้างว่าจะไม่ให้มีเพราะราคามันแพงเกินไปจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
“
ประชาชนเป็นเจ้าของเงิน เขาอยากเห็นการเลือกตั้งที่สุจริต ถ้าเราใช้เงินไปกับการสร้างเครื่องมือเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ผมเชื่อว่าประชาชนก็เอาด้วย แต่ถ้า กกต.บอกว่าไม่อยากทำ ผมกลับมีความรู้สึกว่า กกต.ต้องการช่วยใครหรือไม่ มันคือการที่ กกต. ซึ่งมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งกำลังบอกว่าไม่อยากให้มีเครื่องมือที่สร้างความสุจริตโปร่งใสต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ตกลงคุณกำลังทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้ประชาชน หรือพรรคการเมืองบางพรรค คนบางคนหรือไม่” นาย
รังสิมันต์กล่าว
เด็กก้าวไกล แนะรัฐออกมาตรการเฉพาะหน้า เยียวยาเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์
https://www.thairath.co.th/news/politic/2616920
เด็กก้าวไกล ที่ปรึกษา กมธ.พัฒนาการเมือง แนะรัฐตั้งกองทุนออกมาตรการเยียวยาผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน เพื่อบรรเทาความเสียหายของประชาชนและชดเชยที่ยังไม่สามารถจัดการขบวนการมิจฉาชีพได้
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 66 นาย
จรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ เขตยานนาวา-บางคอแหลม ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ได้รับยื่นหนังสือจากตัวแทนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกลุ่มมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ โดยเสนอให้รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบ ระหว่างที่มาตรการป้องกันและปราบปรามยังดำเนินการอยู่
นาย
จรยุทธ ระบุว่าปัญหากลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนผ่านคอลเซ็นเตอร์และรูปแบบทางเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นอะไรที่แพร่ระบาดมาเป็นเวลานานแล้วและนับวันมีแต่จะหนักข้อขึ้น มีการนำเทคนิคใหม่ๆ มาใช้ตลอดเวลาเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ และเข้าใจได้ว่าการดำเนินการป้องกันและปราบปรามอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะมีลักษณะข้ามชาติ แต่ตราบที่มิจฉาชีพเหล่านี้ยังคงปฏิบัติการอยู่ ก็จะยังคงมีบุคคลที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่ออีกเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ตนเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดโดยตรงของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ และในเมื่อรัฐยังคงไม่สามารถหาทางปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมในลักษณะนี้ได้ บวกกับผู้ที่จะตกเป็นเหยื่อมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ตนจึงเห็นว่าน่าจะถึงเวลาสมควรแล้ว ที่จะต้องมีการคิดถึงมาตรการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจจะเป็นการจัดตั้งในลักษณะของกองทุนหรือการใช้งบประมาณในรูปแบบอื่น
นาย
จรยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ต้องเสนอเช่นนี้ เพราะรัฐจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ที่ยังคงไม่สามารถเข้าปราบปรามกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ได้ แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบที่รัฐจะต้องดำเนินการ แต่เมื่อรัฐทำไม่สำเร็จ ความเสียหายเกิดขึ้นมาแล้ว รัฐก็ควรจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพื่อชดเชยกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
"
ผมอยากย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของประชาชน ไม่มีใครที่จะสามารถรู้ทันทุกเรื่องทุกกลโกงของมิจฉาชีพเหล่านี้ และในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และส่งผลกระทบเดือดร้อนต่อคนจำนวนมาก สำหรับบางคนมันคือเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต เงินที่ต้องเอาไปใช้ในธุระจำเป็นอื่นๆ ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดการเยียวยาแม้จะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่ก็จะสามารถทุเลาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้ เป็นคนละส่วนกับการป้องกันและปราบปราม ที่รัฐจะต้องหาทางจัดการให้ได้ในอนาคต" นาย
จรยุทธ กล่าว
JJNY : ‘ทะลุวัง’ ยื่น ‘เพื่อไทย’│‘โรม’ดักคอกกต.แบ่งเขต│เด็กก้าวไกลแนะเยียวยาเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์│เอกชนเสียงแข็งค่าไฟ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3799041
‘ทะลุวัง’ ยื่น ‘เพื่อไทย’ เร่ง 3 ข้อเรียกร้อง ‘ตะวัน-แบม’ ‘โจเซฟ’ ลั่น ไม่ใช่มีคนตายในคุกแล้วอยากกลับบ้าน จนไม่แตะ ม.112 ขณะที่ ‘อันนา’ บอก วันที่มีอำนาจแล้วโปรดให้มาฟังเสียง ปชช.ที่เดือดร้อน
เมื่อเวลา 11.15 น. วันที่ 31 มกราคม ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) คณะราษฎรยกเลิกมาตรา 112 (ครย.) กลุ่มทะลุวัง กลุ่มโมกหลวง 24 มิถุนาประชาธิปไตย เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน เข้ายื่นหนังสือถึงผู้บริหารพรรค พท. เพื่อเสนอนโยบายเร่งด่วน 3 ข้อเรียกร้องของ น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน และ น.ส.อรวรรณ ภู่พงศ์ หรือแบม โดยมีแกนนำพรรค พท. อาทิ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรค พท., นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานนโยบายพรรค พท. เป็นตัวแทนรับยื่นหนังสือ
ด้านโจเซฟ นักกิจกรรมชาย กล่าวว่า ตนขอสื่อสารกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หวังว่าท่านจะเข้ามาฟัง ตนมาจากครอบครัวที่มีคุณยายรักนายทักษิณ มาจากคนที่หวังดีกับท่าน จึงอยากให้พรรค พท.มีความกล้าหาญออกมาพูดว่าประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีปัญหาอย่างไร และพรรค พท.จะทำอย่างไรกับมาตรา 112 ทั้งนี้ การที่เราจะยกเลิกมาตรา 112 หรือปฏิรูปตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เราต้องผ่านรัฐสภา และอยากพูดว่าไม่ต้องกลัวว่าจะตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายขวาจัดหรือฝ่ายล้มเจ้า ฉะนั้น ถ้าพรรค พท.มีความกล้าที่จะประกาศยกเลิก จะกู้ศรัทธาจากคนรุ่นใหม่ได้ รวมทั้งไม่อยากได้ยินว่าคนรุ่นใหม่ต้องตายในคุก แต่ท่านจะไม่แตะ ม.112 เพราะท่านอยากกลับบ้าน
ขณะที่น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือบุ้ง กล่าวว่า วันนี้ตนไม่ได้มาเพื่อเป็นศัตรูกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย แต่มาในฐานะตัวแทนทะลุวัง และตัวแทนตะวันกับแบม เพราะอยากรู้ว่าพรรคพท.จะเอาอย่างไร เพื่อที่จะไปบอกน้องทั้ง 2 คน เพราะสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จคือการรักษาชีวิตทั้งสองคน ขอให้ผุ้มีอำนาจในประเทศไทยยืนเคียงข้างประชาชน และวันนี้จะไปยืนที่ไหนขอให้แสดงความชัดเจนออกมา และว่า
“ทะลุวังจะยังคงเคลื่อนไหวอย่างนี้ต่อไป ถามพรรคใหญ่ พรรคเล็กทุกพรรคว่าคุณจะเองอย่างไรกันแน่กับมาตรา 112 และมาตรา 116 กับข้อเรียกร้องข้อที่ 3 ของน้องๆ”
และย้ำว่าไม่ต้องกัวลว่า จะมีแค่พรรค พท.ที่ทะลุวังจะไปเยือน แต่เราจะไปเยือนทุกพรรค
น.ส.อันนา อันนานนท์ กล่าวว่า ฝากไปถึงพรรค พท.ว่าวันนี้คุณไม่มีอำนาจ คุณเคยโดนยึดอำนาจ แต่วันที่คุณมีอำนาจโปรดหันหลังกลับมาฟังประชาชนที่เดือดร้อนจากมาตรานี้ และครั้งหนึ่งคุณก็เคยเดือดร้อน แต่วันนี้เรานำความเดือดร้อนมาบอกพรรค พท. เพื่อให้พรรค พท.แก้ปัญหาให้ตรงจุด
จากนั้น แกนนำพรรค พท.ได้ให้ตัวแทนกลุ่มดังกล่าวขึ้นไปหารือกันที่ชั้น 2 ของพรรค
‘โรม’ ดักคอ กกต.อย่าเนียนแบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ตามฐานเสียงบางพรรค ซ้ำรอยปี’62
https://www.matichon.co.th/politics/news_3799123
‘โรม’ ดักคอ ‘กกต.’ อย่าเนียนแบ่งเขตเลือกตั้งพิสดาร ตามฐานเสียงบางพรรค ซ้ำรอยปี’62
เมื่อวันที่ 31 มกราคม นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้มีความชัดเจนต่อการแบ่งเขตเลือกตั้งอย่างสมเหตุสมผล และไม่บ่ายเบี่ยงในการสร้างระบบรายงานผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ หลังพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง 2 ฉบับ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ว่าเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นหนึ่งในบทเรียนสำคัญที่สุดจากการเลือกตั้งปี 2562 เป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิสดารที่ไม่ส่งผลดีทั้งต่อประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และนำไปสู่ข้อครหาเรื่องความไม่โปร่งใส
นายรังสิมันต์กล่าวว่า ทำให้เกิดคำถามว่าการแบ่งเขตเลือกตั้งสะท้อนพื้นที่ประชากรอย่างถูกต้องหรือไม่ และเป็นการแบ่งเขตเลือกตั้งเพียงเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองบางพรรคหรือไม่ ดังจะเห็นได้ว่าในหลายเขตเลือกตั้งที่มีการแบ่งออกมาครอบคลุมพื้นที่ห่างกันมาก จากสุดเขตฝั่งหนึ่งไปถึงอีกสุดเขตฝั่งหนึ่ง บางแห่งห่างกันถึง 200 กิโลเมตรก็มี คำถามคือการแบ่งเขตแบบนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของผู้แทนที่จะต้องเดินทางไปพบปะประชาชนตามการแบ่งเขตเช่นนี้จะมีประสิทธิภาพได้อย่างไร ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้ กกต.ทำการแบ่งเขตในการเลือกตั้งปี 2566 ที่จะถึงนี้อย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับธรรมชาติของพื้นที่ ไม่ใช่ตัดแบ่ง หรือรวมตำบลต่างๆ ออกเป็นเขตเลือกตั้งตามฐานเสียงของพรรคการเมืองบางพรรคเป็นสำคัญ
“ผมไม่อยากให้ประเทศมีข้อครหาว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะถึงกลายเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกอีกครั้งเหมือนปี 2562 สังคมไทยผ่านการเลือกตั้งมาหลายครั้ง มีแบบอย่างการแบ่งเขตที่สอดคล้องกับพื้นที่มากมายให้นำมาเป็นบทเรียนได้ สำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ที่มีอยู่ 400 เขต ประเทศไทยก็เคยผ่านมาแล้ว หากแบ่งเขตได้อย่างเป็นธรรมก็จะทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการยอมรับมากขึ้น” นายรังสิมันต์กล่าว
นายรังสิมันต์กล่าวถึงกรณีการรายงานผลคะแนนแบบเรียลไทม์ ซึ่ง กกต.อ้างว่าไม่อาจทำได้ เพราะใช้งบประมาณมากเกินไป โดยรังสิมันต์กล่าวว่า ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีก็ได้อนุมัติงบประมาณให้ กกต.ถึงเกือบ 6 พันล้านบาท เป้าหมายหนึ่งก็เพื่อให้การจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสที่สุด หากการประกาศผลการเลือกตั้งสามารถเป็นไปแบบเรียลไทม์ได้ การทุจริตด้วยวิธีการต่างๆ แบบที่เคยทำกันมา ไม่ว่าจะเป็นไฟดับระหว่างนับคะแนน การแอบสลับหีบ ย้ายหีบ หรือการทุจริตในรูปแบบอื่นๆ ก็จะทำได้ยากขึ้น เพราะประชาชนจำนวนมากจะเห็นผลการเลือกตั้งไปพร้อมๆ กัน
นายรังสิมันต์กล่าวว่า การประกาศผลแบบเรียลไทม์คือระบบที่เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ด้วยเทคโนโลยีที่ประเทศไทยมีในวันนี้ รวมถึงอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง และการที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้แล้ว ทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากสำหรับการประกาศผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์ แต่คำถามสำคัญอยู่ที่ว่า กกต.อยากทำหรือไม่ มั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ทุกคนอยากรู้ผลการเลือกตั้งแบบเรียลไทม์หมด ไม่มีใครอยากเห็นการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้น การทราบผลได้ทันทีเป็นประโยชน์ต่อประชาชน การที่ กกต.ออกมาอ้างว่าจะไม่ให้มีเพราะราคามันแพงเกินไปจึงเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
“ประชาชนเป็นเจ้าของเงิน เขาอยากเห็นการเลือกตั้งที่สุจริต ถ้าเราใช้เงินไปกับการสร้างเครื่องมือเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ผมเชื่อว่าประชาชนก็เอาด้วย แต่ถ้า กกต.บอกว่าไม่อยากทำ ผมกลับมีความรู้สึกว่า กกต.ต้องการช่วยใครหรือไม่ มันคือการที่ กกต. ซึ่งมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งกำลังบอกว่าไม่อยากให้มีเครื่องมือที่สร้างความสุจริตโปร่งใสต่อการเลือกตั้งครั้งนี้ ตกลงคุณกำลังทำหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้ประชาชน หรือพรรคการเมืองบางพรรค คนบางคนหรือไม่” นายรังสิมันต์กล่าว
เด็กก้าวไกล แนะรัฐออกมาตรการเฉพาะหน้า เยียวยาเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์
https://www.thairath.co.th/news/politic/2616920
เด็กก้าวไกล ที่ปรึกษา กมธ.พัฒนาการเมือง แนะรัฐตั้งกองทุนออกมาตรการเยียวยาผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน เพื่อบรรเทาความเสียหายของประชาชนและชดเชยที่ยังไม่สามารถจัดการขบวนการมิจฉาชีพได้
เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 66 นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพฯ เขตยานนาวา-บางคอแหลม ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองฯ ได้รับยื่นหนังสือจากตัวแทนประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากกลุ่มมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ โดยเสนอให้รัฐบาลมีมาตรการเยียวยาประชาชนผู้ได้รับความเสียหาย เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบ ระหว่างที่มาตรการป้องกันและปราบปรามยังดำเนินการอยู่
นายจรยุทธ ระบุว่าปัญหากลุ่มมิจฉาชีพที่หลอกลวงประชาชนผ่านคอลเซ็นเตอร์และรูปแบบทางเทคโนโลยีอื่นๆ เป็นอะไรที่แพร่ระบาดมาเป็นเวลานานแล้วและนับวันมีแต่จะหนักข้อขึ้น มีการนำเทคนิคใหม่ๆ มาใช้ตลอดเวลาเพื่อหลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ และเข้าใจได้ว่าการดำเนินการป้องกันและปราบปรามอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย เพราะมีลักษณะข้ามชาติ แต่ตราบที่มิจฉาชีพเหล่านี้ยังคงปฏิบัติการอยู่ ก็จะยังคงมีบุคคลที่หลงเชื่อตกเป็นเหยื่ออีกเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี ตนเห็นว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดโดยตรงของประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ และในเมื่อรัฐยังคงไม่สามารถหาทางปราบปรามและป้องกันอาชญากรรมในลักษณะนี้ได้ บวกกับผู้ที่จะตกเป็นเหยื่อมีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน ตนจึงเห็นว่าน่าจะถึงเวลาสมควรแล้ว ที่จะต้องมีการคิดถึงมาตรการเยียวยาผู้ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจจะเป็นการจัดตั้งในลักษณะของกองทุนหรือการใช้งบประมาณในรูปแบบอื่น
นายจรยุทธ ยังกล่าวด้วยว่า ที่ต้องเสนอเช่นนี้ เพราะรัฐจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ที่ยังคงไม่สามารถเข้าปราบปรามกลุ่มอาชญากรเหล่านี้ได้ แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบที่รัฐจะต้องดำเนินการ แต่เมื่อรัฐทำไม่สำเร็จ ความเสียหายเกิดขึ้นมาแล้ว รัฐก็ควรจะต้องมีมาตรการช่วยเหลือเพื่อชดเชยกับความล้มเหลวในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
"ผมอยากย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของประชาชน ไม่มีใครที่จะสามารถรู้ทันทุกเรื่องทุกกลโกงของมิจฉาชีพเหล่านี้ และในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว และส่งผลกระทบเดือดร้อนต่อคนจำนวนมาก สำหรับบางคนมันคือเงินที่เก็บมาทั้งชีวิต เงินที่ต้องเอาไปใช้ในธุระจำเป็นอื่นๆ ดังนั้น อย่างน้อยที่สุดการเยียวยาแม้จะไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอ แต่ก็จะสามารถทุเลาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนได้ เป็นคนละส่วนกับการป้องกันและปราบปราม ที่รัฐจะต้องหาทางจัดการให้ได้ในอนาคต" นายจรยุทธ กล่าว