สาปอัปสรานครขอมโบราณ ตอน เล่ห์นางพรายตะเคียน




สาปอัปสรานครขอมโบราณ 
ตอน 
เล่ห์นางพรายตะเคียน

เป็นไปตามที่จ่าชิตคาดการณ์ไว้ หลังพากันไต่ขึ้นทางชันจนแทบจะหมดแรง ก็ต้องหาที่กางเต้นท์นอนกัน เพราะมืดค่ำลงเสียก่อน ได้ที่เหมาะไม่ไกลจากลำห้วยเส้นหนึ่ง น้ำในลำห้วยใสสะอาดเห็นมีปลาแหวกว่ายอยู่มากมาย 

ได้ยินเสียงน้ำตกดังอยู่แว่ว ๆ ป่าทึบแบบนี้มีทั้งความชื้นแฉะและเยือกเย็น ก่อกองไฟติดฟืนได้ลำบาก แต่ด้วยความชำนาญ จ่าชิตก็หาทางก่อกองไฟได้สำเร็จ กองไฟลุกโชนสว่างขึ้น ให้ความอบอุ่นและป้องกันสัตว์ร้ายไม่ให้เข้ามาใกล้ในยามค่ำคืน

เรื่องของอาหารการกิน จ่าชิตเดินไปทางใต้ต้นไม้ใหญ่ ครู่เดียวก็ได้ชะมดหิ้วติดมือมาด้วยตัวหนึ่ง เขาจัดแจงไปฟันไม้ไผ่มาหุงข้าว เอาชะมดมาทำแกงกิน ใช้เวลาไม่นานคนทั้งสองก็ได้มื้ออาหารแสนอร่อย บรรยากาศกินอาหารในป่ามักทำให้เจริญอาหารเป็นพิเศษ ยิ่งกว่ากินในภัตตาคารหรูหราเป็นไหน ๆ ขอให้มีข้าว พริกกับเกลือ นำติดตัวมา ป่าก็เหมือนเป็นตลาดสดดี ๆ นี่เอง หลังกินข้าวกันเสร็จและลงอาบน้ำในลำห้วยกันแล้ว ตะวันกับจ่าชิตก็มานั่งปรึกษาหารือกันถึงการเดินทางในวันต่อไป

“เราน่าจะเดินอ้อมไปทางช่องเขานะ ขึ้นเขามาแบบนี้มันเดินลำบาก” 

ตะวันเปรยขึ้นมา เพราะเห็นว่าถ้าเดินอ้อมเลาะช่องเขาไป จะเดินได้สะดวกมากกว่าทางขึ้นเขา วันนี้เดินเหนื่อยจนหอบ

“ขืนไปทางนั้นก็โดนทากดูดเลือดหมดตัวกันพอดี ป่าทึบแบบนี้ดินมันอ่อน มีแต่ใบไม้ทับถมกัน ตัวทากมันเลยชุม งูเงี้ยวเขี้ยวขอก็เยอะ ไม่น่าพักค้างคืนหรอก อดทนเดินตัดเขาไปอีกหน่อย ไม่นานก็จะถึงหมู่บ้านของลุงคะยิ่น แวะไปเอาข้าวที่บ้านแกมาเพิ่ม แล้วเราก็จะลงเนินเขากันแล้ว ว่าแต่คืนนี้เราอย่านอนกันหมด รู้สึกป่ามันเงียบแปลก ๆ เอ็งนั่งยามเป็นคนแรกนะ ข้าของีบเอาแรงหน่อย กลางดึกจะลุกมาเปลี่ยน”

จ่าชิตบอกพลางจัดการกับที่นอนในเต้นท์ ขณะนั้นแสงแดดได้หมดไปแล้ว ผืนป่าเยือกเย็นลงและเงียบวังเวงจนน่าขนลุก

“ตกลง เอ็งนอนเหอะ” ตะวันรับคำอย่างว่าง่าย เขาเองถึงจะเหนื่อยและอ่อนเพลียมาพอแรง แต่ก็ยังไม่รู้สึกอยากนอนพักผ่อนแต่ประการใด อีกอย่างหนึ่ง ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าป่าแถวนี้มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่ค่อยน่าไว้วางใจ

หลังจากจ่าชิตมุดเข้าเต้นท์ไปแล้ว ตะวันจึงนั่งยามเป็นผลัดแรกอยู่ที่หน้ากองไฟ เขาซุนฟืนเข้ากองไฟ ลากขอนไม้มานั่ง และจะนั่งยามไปจนกระทั่งถึงเวลาเที่ยงคืน จึงจะไปปลุกจ่าชิตให้มานั่งเป็นผลัดต่อไป 

คืนนี้สภาพท้องฟ้าดูมืดครึ้มอึมครึมลง เมฆก้อนใหญ่จับตัวกันหนาทึบ จนมองไม่เห็นแสงดาว สายลมพัดกระโชกมาเป็นระยะ คล้ายดั่งฝนจะตก แต่หน้านี้มันเป็นหน้าแล้ง ฝนจึงไม่น่าจะตกลงมา การเห็นท้องฟ้ามืดดำในบางครั้ง บางทีอาจเป็นเพราะอาถรรพ์ของป่า 

นั่งยามไปใจก็คิดใคร่ครวญถึงชีวิตของตัวเอง พ่อแม่ของตะวันเสียไปแล้วตั้งแต่เขายังเล็ก ทิ้งสมบัติไว้ให้แก่ลูกชายคนเดียวมากพอประมาณ เขาจึงอยู่ในการอุปการะของผู้เป็นป้าตลอดมา ศึกษาเล่าเรียนทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี เข้าทำงานทางด้านนี้ด้วยความสนุกสนาน เพราะมีใจรักในการทำงาน 
ทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับซากของโบราณสถานต่าง ๆ โดยเฉพาะปราสาทหิน ซึ่งเป็นอารยะธรรมของขอมโบราณ ความรู้สึกของตะวันราวกับจะคุ้นเคยกับพวกมันเป็นอย่างดี ก่อนที่มันจะหักพังลงมา ตะวันมักจะระบุรูปทรงสัณฐานของตัวปราสาทได้ ราวกับเคยเห็นมันมาก่อน ทำให้เพื่อนร่วมงานมักประหลาดใจอยู่เสมอ

นึกถึงเพื่อนร่วมทางที่เข้าป่าดงดิบมาด้วยกัน จ่าชิตเองก็เป็นลูกกำพร้า แต่เขาเติบโตมากับหลวงตาในวัด ได้ทำหน้าที่เป็นรั้วของชาติอยู่หลายปี ก่อนจะไปพบรักกับลูกสาวของเศรษฐีคนหนึ่ง แต่เป็นธรรมดาของดอกฟ้ากับหมาวัด ด้วยฐานะที่แตกต่างกัน จึงไม่แปลกที่ความรักของจ่าชิตจะเกิดอุปสรรค แถมยังถูกพ่อของฝ่ายหญิงกลั่นแกล้งเอา จนกระทั่งต้องออกจากงาน จึงงัดเอาความรู้ทางด้านเดินป่ามาหากิน เพราะมักเดินธุดงค์กับหลวงตามาตั้งแต่ยังเล็ก เขาร่ำเรียนวิชาอาคมมาจากหลวงตา จนเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านคาถาอาคมคนหนึ่ง 

เมื่อได้มาเจอกับตะวัน หลังคบหาเป็นเพื่อนกันมาระยะหนึ่ง จ่าชิตซึ่งคิดว่า ป่าคือสถานที่รักษาแผลใจให้กับตัวเองได้ดีที่สุด จึงตกลงใจจะเข้าป่ามากับตะวัน และยิ่งรู้ว่าตะวันมีความฝันอันแปลกประหลาด ที่อาจเกี่ยวข้องกับแผ่นแกะสลักหินของลุงคะยิ่น ร่วมกับได้ยินลุงคะยิ่นเคยเล่าให้ฟังว่า กลางป่าของเทือกเขาแห่งนี้ อาจมีเมืองโบราณที่เต็มไปด้วยสมบัติซุกซ่อนอยู่ จ่าชิตจึงยิ่งแสดงความยินดีออกมา

จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงสักประมาณห้าทุ่มได้ สายลมยามค่ำคืนพัดเปลวไฟในกองไฟส่ายไหววูบวาบ ก่อให้เกิดแสงเงาอันประหลาดตา ตะวันโยนท่อนฟืนเติมลงในกองไฟให้ลุกโชนสว่างขึ้นอีก ควันไฟลอยสูงขึ้นในอากาศ ก่อนกระจายหายไปในความมืด 

เขานั่งมองเปลวไฟที่ส่ายไหวเต้นระบำอยู่ต่อหน้า สายตาเลือนรางลงทุกขณะ อาการง่วงงุนเข้าเกาะกุมสติสัมปชัญญะ พยายามสลัดศีรษะไล่ความมึนงงนั้นให้หายไป ควานหาบุหรี่จากในกระเป๋าเสื้อออกมาจุดสูบ พลางกวาดสายตามองไปโดยรอบบริเวณ แล้วเวลานั้นเองที่กลิ่นหอมบางอย่างลอยมาแตะจมูก มันคล้ายกลิ่นของดอกไม้ป่า ทว่ากลิ่นของมันหอมจนออกเอียนฉุน ประสาทของตะวันตื่นตัวทันที

พลันก็มีเสียงหนึ่งดังแว่วแทรกเสียงธรรมชาติของป่าขึ้นมา มันดังออกมาจากหลังต้นตะเคียนใหญ่ทางซ้ายมือ ห่างจากเต้นท์ไปเกือบจะถึงลำห้วย ฟังดูแล้วเหมือนเป็นเสียงของผู้หญิงร้องเพลง มีท่วงทำนองเพลงที่ไม่เคยคุ้นหูมาก่อน ตะวันขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของนกระวังไพร เสียงลมพัดเสียดสีใบไม้ดังหวีดหวิว หรือเป็นเสียงกรีดปีกของแมลงกลางคืน แต่ฟังดูแล้วก็เหมือนเป็นเสียงของผู้หญิงกำลังร้องเพลงอยู่จริง ๆ ตะวันถอนบุหรี่ออกจากปากมาขยี้ดับ กดไฟฉายพุ่งแสงไปทางต้นไม้นั้นทันที 

ติดตามเรื่องราวได้ที่ลิ้งค์นี้ค่ะ https://youtu.be/nQooO8UL-ME
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ฝากแวะชมเรื่องนี้ด้วยค่ะ ภาพและเนื้อหาน่าสนใจดี^^

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น เรื่องเล่าสยองขวัญ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่