ก่อนอื่นผมต้องขออภัยนะครับหากจะทำให้ใครในที่นี้ต้องมีความรู้สึกขุ่นเคือง และบทความนี้อาจจะยาวไปเสียหน่อยแต่ ก็ขอให้ทุกท่านอ่านจนจบนะครับ
ปัญหา
หลังจาก ที่ผมได้เห็น ผู้ที่มีความเชื่อในวิทยาศาสตร์บางท่าน กล่าวปฏิเสธถึง เรื่องราวทางศาสนาเนื่องจาก
ไม่สามารถหา หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับได้ โดยการ ปฏิเสธนั้นคือการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
แต่จริงๆแล้ว
ในความเห็นส่วนตัว เห็นว่า นี่ไม่ใช่หลักการของวิทยาศาสตร์ที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะ หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์คือ การเปิดใจถึงความเป็นไปได้
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เราจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกปัดตกไปมากมาย ที่สามารถพิสูจน์ในภายหลังว่าสิ่งที่ถูกปัดตกไปนั้นเป็นจริง เนื่องจากในหลายครั้ง วิทยาศาสตร์ยังต้องรอองค์ความรู้เพิ่มเติมเพื่อมาพิสูจน์เรื่องดังกล่าว อีกทั้งในปัจจุบันยังไม่สามารถหาหลักฐาน มากล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเท็จได้
แล้วมันเป็นข้อเสียต่อการก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างไร
การปฏิเสธโดยสิ้นเชิงถึงความเป็นไปได้นั้น อาจสร้างความรู้สึกลบ และการปฏิบัติในเชิงลบต่อ เรื่องดังกล่าวได้ ยกตัวอย่างเช่น การถูกหัวเราะเยาะจากผู้คนรอบข้าง ลองคิดดูนะครับว่า หากในอดีตมีผู้มีความเชื่อว่าโลกกลม แล้วจะหาทางพิสูจน์นั้นในระหว่างทางจะต้องผ่านความยากลำบากมากเพียงใด ซึ่งนั่นอาจทำให้คิดล้มเลิกไปกลางคันได้
อีกประการหนึ่งคือ
การกล่าวว่าสิ่งหนึ่งเป็นเท็จหรือจริง โดยไม่ผ่านการพิสูจอย่างชัดเจน 100% นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก คำกล่าวที่เหมาะสมที่สุดต่อเรื่องบางเรื่องในทางศาสนานั้นคือ "เรื่องดังกล่าวยังไม่สามารถผ่านการพิสูจน์ถึงความเป็นจริง ในทางวิทยาศาสตร์ได้" หรือ "องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้" จริงอยู่ว่าการทำให้เข้าใจง่าย โดยใช้คำอธิบายที่ไม่ซับซ้อนนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องพึงระวังถึงการสื่อความหมายที่คลาดเคลื่อนด้วย
กล่าวโดยย่อคือ หัวใจสำคัญของวิทยาศาสตร์ข้อหนึ่ง คือการเปิดใจถึงความเป็นไปได้ และ ควรพึงระวังถึงการสรุปว่า เรื่องใดเป็นจริงหรือเรื่องใดเป็นเท็จ
ขอบคุณครับ
หัวใจสำคัญของวิทยาศาสตร์ และการปฏิเสธความเชื่อทางศาสนา
ปัญหา
หลังจาก ที่ผมได้เห็น ผู้ที่มีความเชื่อในวิทยาศาสตร์บางท่าน กล่าวปฏิเสธถึง เรื่องราวทางศาสนาเนื่องจาก
ไม่สามารถหา หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มารองรับได้ โดยการ ปฏิเสธนั้นคือการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
แต่จริงๆแล้ว
ในความเห็นส่วนตัว เห็นว่า นี่ไม่ใช่หลักการของวิทยาศาสตร์ที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะ หัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์คือ การเปิดใจถึงความเป็นไปได้
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
เราจะเห็นได้ว่าที่ผ่านมามีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกปัดตกไปมากมาย ที่สามารถพิสูจน์ในภายหลังว่าสิ่งที่ถูกปัดตกไปนั้นเป็นจริง เนื่องจากในหลายครั้ง วิทยาศาสตร์ยังต้องรอองค์ความรู้เพิ่มเติมเพื่อมาพิสูจน์เรื่องดังกล่าว อีกทั้งในปัจจุบันยังไม่สามารถหาหลักฐาน มากล่าวว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเท็จได้
แล้วมันเป็นข้อเสียต่อการก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างไร
การปฏิเสธโดยสิ้นเชิงถึงความเป็นไปได้นั้น อาจสร้างความรู้สึกลบ และการปฏิบัติในเชิงลบต่อ เรื่องดังกล่าวได้ ยกตัวอย่างเช่น การถูกหัวเราะเยาะจากผู้คนรอบข้าง ลองคิดดูนะครับว่า หากในอดีตมีผู้มีความเชื่อว่าโลกกลม แล้วจะหาทางพิสูจน์นั้นในระหว่างทางจะต้องผ่านความยากลำบากมากเพียงใด ซึ่งนั่นอาจทำให้คิดล้มเลิกไปกลางคันได้
อีกประการหนึ่งคือ
การกล่าวว่าสิ่งหนึ่งเป็นเท็จหรือจริง โดยไม่ผ่านการพิสูจอย่างชัดเจน 100% นั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก คำกล่าวที่เหมาะสมที่สุดต่อเรื่องบางเรื่องในทางศาสนานั้นคือ "เรื่องดังกล่าวยังไม่สามารถผ่านการพิสูจน์ถึงความเป็นจริง ในทางวิทยาศาสตร์ได้" หรือ "องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้" จริงอยู่ว่าการทำให้เข้าใจง่าย โดยใช้คำอธิบายที่ไม่ซับซ้อนนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องพึงระวังถึงการสื่อความหมายที่คลาดเคลื่อนด้วย
กล่าวโดยย่อคือ หัวใจสำคัญของวิทยาศาสตร์ข้อหนึ่ง คือการเปิดใจถึงความเป็นไปได้ และ ควรพึงระวังถึงการสรุปว่า เรื่องใดเป็นจริงหรือเรื่องใดเป็นเท็จ
ขอบคุณครับ