ต่อจากกระทู้ที่แล้วที่ว่า แนวคิดการทำงาน100%ของสมอง นะครับ

การทำงาน100%ของสมองอาจจะฟังดูน่าหงุดหงิดเพราะมันวัดไม่ได้ใช่ไหมครับเพราะงั้นตัวเลขและ%ในที่นี้จะเป็นเพียงการเปรียบเทียบให้เห็นภาพนะครับ

หัวข้อคือ ถ้าสมองยังทำงานไม่ถึงขีดสุดละอย่างที่ทุกคนรู้ว่าสมองเรามีการทำงานทุกส่วนตลอดเวลาอยู่แล้วผมจะสมมุติให้การทำงานของสมองในที่นี้เป็น%

ในการทำงานปกติทั่วไปหรือในการใช้ชีวิตประจำวันหรือคิดวิเคราห์ทั่วไปจะอยู่ที่10%-20%จะยังไม่พูดถึงตอนเจอเหตุการ์ณฉุกเฉินหรือเจอเหตุการณ์ที่ต้องวิเคราะห์เยอะๆนะครับ
ที่ผมจะพูดคือถ้าหากว่าเราสามารถใช้สมองได้ถึงขีดสุดในทุกส่วนของสมองหรือคือ100%

คำถาม จะมีผลกระทบอย่างไรในหลายๆด้านท่าสมองทำงานถึงขีดสุด*100% สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น สมองเกิดการโอเวอร์โหลดทำให้เข้าสู่กลไกลป้องกันตัวเองและผลกระทบในหลายๆด้านจะอธิบายในส่วนต่อๆไปนะ

สมมุติฐาน เวลามนุษย์เจอเหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างเช่นไฟไหม้สมองมนุษย์จะสั่งให้หลั่งสารอะดรีนาลีนเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่การตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินและการใช้พลังงาน ทำให้กล้ามเนื้อหลอดเลือดหัวใจทำงานอย่างเต็มที่ หัวใจบีบตัวมากขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น ความดันเลือดสูงขึ้น และทำในสิ่งที่เมื่อก่อนไม่สามารถทำได้ เช่นยกของที่ไม่เคยยกได้มาก่อนเป็นผลมาจากสั่งการของสมองแต่ภาวะนี้จะเกิดขึ้นเพียง ชั่วคราว
ยกตัวอย่าง มนุษย์เวลาปกติใช้สมองที่20%แต่พอเข้าสู่เหตุการณ์ฉุกเฉินอย่างไฟไหม้อาจจะเพิ่มเป็น30%-40%ทำไมให้แค่นี้เดียวอธิบายนะครับ

ต่อมาผมขอยกตัวอย่างบุคคลสำคัญอย่างไอน์สไตล์นะครับ
ที่รู้กันคนทั่วไปสมองอยู่ที่20%แต่ไอน์สไตล์มีการสแกนสมองพบว่าไม่เหมือนคนปกติซึ้งผมจะให้%เป็น60-70%ของคนทั่วไปนะครับทำไมถึงเป็นอย่างนั้นผมคิดว่าเกิดจากที่ไอน์สไตล์ได้มีการฝึกใช้สมองมาตั้งแต่เด็กบวกกับอาจจะมีสิ่งกระตุ้นบางอย่างในขณะนั้นทำให้สมองของไอน์สไตล์เกิดการเชื่อมต่อบางอย่างในสมองอาจส่งผลให้การคิดวิเคราะห์ของไอน์สไตล์สูงกว่าคนทั่วไปที่คิดแบบนี้เพราะในตอนเด็กของไอน์สไตล์เองก็ยังไม่ได้มีการสแกนสมองของเขาเพื่อมาเปรียบเทียบกับตอนที่เขาเป็นอัจฉริยะใช่ไหมครับอีกอย่างสิ่งที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องและอาจะเป็นสิ่งกระตุ้นคือของขวัญจากพ่อและแม่ในวัยเด็กของเขาครับซึ่งเป็นเข็มทิศกับไวโอลิน ส่วน%ที่ขาดไปผมคิดว่ายังอาจมีอีกหลายปัจจัยที่เขาเข้าไม่ถึงในตอนนั้นและบวกกับองค์ความรู้ต่างๆยังไม่มากพอในตอนนั้นหนึ่งใน%ที่ขาดไปอาจจะมีด้านสุขภาพด้วยที่พูดมาเป็นเพียงการวิเคราะห์ส่วนตัวนะครับถ้าอ่านถึงตรงนี้ทุกท่านน่าจะพอเข้าใจนะครับ

ต่อมาขออธิบายจะเกิดอะไรขึ้นท่าโอเวอร์โหลดแล้วเข้าสู่กลไกป้องกันตัวเองและผลกระทบอาจจะเกิดขึ้น
เป็นเพียงการคาดการณ์ส่วนตัวนะครับ

ส่วน กลไกป้องกันตัวเองผมจะสมมุติว่าผมได้ทำการคิดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกมากๆกลไกจะทำงานโดยการเริ่มปวดหัวเป็นสัญญาณเตือนท่ายังไม่หยุดสมองจะทำงานอัตโนมัติโดยการหาแทรกเรื่องไรสาระเข้ามาพยามให้เราหลุดโฟกัสจากเรื่องที่ทำวิเคราะห์อยู่อันนี้อาจจะเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากภายใน

สมมุติอีกเหตุการเวลาเราออกกำลังกายจะมีลิมิตใช้ไหมครับว่าเราเหนื่อยตอนไหนยกนํ้าหนักได้กี่ทีนั้นอาจจะเป็นกลไกป้องกันตัวในจากภายนอกซึ่งกลไกป้องกันตัวนี้ยากต่อปัจจัยภายนอกที่จะมารบกวนทำให้เราอาจจะไม่ได้คิดว่ามันคือกลไกป้องกันตัวเองแล้วตีความว่าเราก็แค่เหนื่อยแค่นั้นซึ่งไม่ผิดครับเพราะเป็นเพียงเหตุการณ์สมมุติเท่านั้น

สรุป
เหตุการ์ณแรก กลไกลป้องกันตัวภายใน
เหตุการ์ณที่สอง กลไกป้องกันตัวจากภายนอก

ผลกระทบถ้ามนุษย์สามารถใช้สมองทุกส่วนในระดับสูงสุด*100%ได้จริง

มนุษย์จะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติเพราะการใช้พลังงานที่มากเกินไปของสมองซึ่งส่งผลมาจากการใช้สมองทุกส่วนในระดับสูงสุดซึ่งเรารู้กันดีว่าสมองใช้พลังต่อร่างกายที่ประมาณ20%และสูงถึง50%ในตอนเด็กและ60%ในช่วงทารกซึ่งอาจจะเป็นผลในตอนเด็กเรารับรู้สิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่สามารถรับรู้ได้จะอธิบายที่หลัง


ยกตัวอย่าง2กรณี
หากสามารถควบคุมได้คิดว่าร่างกายจะไม่มีผลกระทบมากในระยะยาว
หากไม่สามารถควบคุมได้คิดว่าในระยะยาวมนุษย์จะปรับให้เข้ากับร่างกายทำให้สมดุลได้

อธิบายเรื่องการใช้พลังงานสมองในตอนเด็ก

ตอนเด็กหรือเราอาจจะเคยเห็นเด็กที่ทักสิ่งต่างๆแต่เรามองไม่เห็นใช่ไหมครับหรือที่เรียกกันว่าผีในความคิดส่วนตัวผมมองว่าผีอาจจะเป็นพลังงานที่เรายังพิสูจน์ไม่ได้หรือมองไม่เห็นด้วยตาแล้วเกี่ยวกับตอนเด็กยังไงคือยังงี้ครับตอนเด็กมีการใช้พลังงานสมองในปริมาณที่สูงมากหรือ60%ซึ่งตอนเด็กสมองของเรายังไม่เข้าที่สมบูรณ์แบบใช้ไหมครับทำให้สมองเกิดการเชื่อมต่อในส่วนต่างๆของสมองหรืออาจจะรวมไปถึงร่างกายด้วยคงมีคำถามกันว่าท่าเป็นยังงั้นทำไมถึงไม่ฉลาดแต่เด็กเกิดมาพูดได้เลยคือผมคิดว่าเพราะตอนเด็กอวัยวะต่างๆยังทำงานได้ไม่เต็มที่อาจจะรวมถึงสมองด้านการวิเคราะห์การพูดด้วยซึ่งการเชื่อมต่อแบบที่กล่าวไปทำให้เด็กมีสมองที่สามารถรับรู้หรือมองเห็นพลังงานหรือบางอย่างที่เราไม่รู้จักได้ซึ่งตอนเด็กเราอธิบายไม่ถูกอยู่แล้วว่ามันคืออะไรทำให้ไม่มีการสนใจมากพอมี่จะพิสูจน์ผมคิดว่าอย่างนั้นส่วนตัวแล้วเป็นไม่เชื่อเรื่องผีแบบสุดๆเพราะจะหาอะไรมาอธิบายเชิงวิทยาศาสตร์ตลอด

มีอะไรเชื่อมโยงกัน
ผมเห็นว่า เวลาเราเจอเหตุการ์ณฉุกเฉินสมองจะหลั่งอะดรีนาลีนออกมาเพื่อตอบสนองกับสถานการณ์ตอนนั้นซึ่งทางการแพทย์ก็บอกไว้แบบนั้นแล้วเชื่อมโยงตรงไหนกับหัวข้อคือถ้าเราสามารถควบคุมสมองได้ถึงขีดสุด100%เราอาจจะสามารถควบคุมสารอะดรีนาลีนได้ยังไม่รวมถึงสารอื่นๆแน่นอนมีทั้งข้อดีข้อเสียครับ

เพิ่มเติมทุกคนรู้อยู่แล้วใช้ไหมครับว่าสมองมีการทำงานทุกส่วนตลอดเวลาซึ่งข้อนั้นผมพอจะรู้ครับแต่ผมคิดว่าทุกส่วนที่ทำงานยังทำได้ไม่ถึงขีดสูงสุดของสมองครับผมเลยอยากรู้ว่าท่าสมองทุกส่วนเชื่อมโยงกันในขณะที่ทำงานได้สูงสุดจะเป็นแบบไหนครับซึ่งเราไม่มีทางรู้แต่ชัดเพราะยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสมองทำงานได้แค่ไหนขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ

แนวคิดเพิ่มเติม
อยากเปลี่ยนการทำงานของสมองเป็นตัวเลขและเทียบการทำงานของสมองเป็น%ได้
คิดว่ามีวิธีไหนหรือเทียบแบบ
การไหลเวียนของเลือดxพลังงานที่ใช้ไป=…%ของสมองหรืออยากจะคำนวณยังไง


ส่วนวิธีหรือเงื่อนไขที่จะเพิ่มการทำงานของสมองให้สูงขึ้นได้นั้นผมคิดมาเล่นๆ
1.เราต้องฝึกใช้สมองในระดับสูงบ่อยๆ
2.หาองค์ความรู้ข้อมูลในเรื่องที่เราอยากรู้และวิเคราะห์เชิงลึก
3.ร่างกายและสมองต้องต้องฝึกให้อยู่ในระดับสมดุลเพื่อไม่ให้เกิดกลไกป้องกันตัวเอง
4.ใช้สมองและร่างกายในระดับสูงไปพร้อมกันเช่นออกกำลังกายวิ่งไปด้วยแล้ววิเคราะห์ข้อมูลที่เราสนใจในระดับสูงไปด้วย(ต้องมีสมาธิในระดับสูง)คิดว่านะ
5.เงื่อนไขต่อไปแล้วแต่บุคคลว่าตัวเองขาดอะไร
และผมคิดว่ายังมีอีกหลายเงื่อนไขมากๆและการให้บรรลุ100%ทุกอย่างต้องอยู่ในระดับสมดุลครับ

อาจจะงงกับคำว่าสูงสุดกับสุดขีดอาจจะคล้ายๆกันสำหรับผมแต่คือคำเดียวกันนะครับขอโทษด้วยถ้าอ่านแล้วงงพอดีผมเรียนจบไม่สูงครับไม่รู้เรื่องประญาอะไรทำนองนี้ด้วยแค่อยากเขียนแล้วมาแชร์ความคิดกันครับ

คิดเห็นยังไงกันบางครับเม้นบอกได้นะครับบางคนอาจจะมองว่าไกลตัวหรือไรสาระหรือจะว่าไอพวกดูหนังเยอะก็ไม่ว่ากันครับผม

ทิ้งท้าย
เพราะคนที่ไม่มีเรื่องให้สงสัยคือคนไม่มีความรู้ครับ

ปล.ตกหลนคำไหนชี้แนะด้วยครับ🙏🏻🙏🏻
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่