ไปเที่ยวซากะ...แนะนำอย่าพลาดเส้นทางนี้ Saga's Classic course


วันนี้ เราจะไปจังหวัดซากะกัน หลายคนอาจจะคุ้นๆ กับชื่อนี้จากหนังไทยและซีรีส์ไทยอย่าง Timeline จดหมาย ความทรงจำ  Stay..ซากะฉันจะคิดถึงเธอ กลกิโมโน เรามารู้จักจังหวัดเล็กๆ น่ารักๆ แห่งนี้ให้มากขึ้นกันดีกว่า

จังหวัดซากะอยู่ในภูมิภาคคิวชู ติดกับจังหวัดฟุกุโอกะซึ่งเป็นเมืองหลัก สามารถเดินทางได้ง่ายทั้งรถไฟ JR รถบัส หรือเช่ารถขับเอง มีอากาศค่อนข้างอบอุ่น อาจมีฝนตกเยอะในช่วงหน้าร้อนคือเดือนมิถุนายนถึงกันยายน และหน้าหนาวในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคมอุณหภิมจะลดไปต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส

ซากะเป็นจังหวัดที่มีทั้งป่า ภูเขาและทะเล ใครสายธรรมชาติไม่ควรพลาด อาหารทะเลสดๆ จนน้ำจิ้มซีฟู้ดที่คุณพกมาอาจจะไม่พอ เครื่องปั้นดินเผาชื่อดังของโลก งานเทศกาลต่างๆ อีกมากมาย นับว่าซากะพรั่งพร้อมไปทั้งธรรมชาติและศิลปะวัฒนธรรมให้ค้นหา

เราจึงมีแแผนการเดินทางที่จะไปเที่ยวซากะ 3 วันมาแนะนำ โดยเส้นทางนี้แนะนำให้ขับรถเที่ยวค่ะ มาดูกันว่าเราจะไปที่ไหนบ้าง
Day 1 Fukuoka Airport, Niji no Matsubara, Karatsu Castle, Kagamiyama Observatory, Saga Beef
Day 2 Yobuko Morning Market Street, Yobuko Squid, Arita Porcelain Park, Ureshino Onsen
Day 3 Yutoku Inari Shrine, Hizen Hamashuku, Yoshinogari, Tosu Premium

เริ่มกันที่...
Day 1 Fukuoka Airport, Niji no Matsubara, Karatsu Castle, Kagamiyama Observatory, Saga Beef

โดยวันแรก เราเริ่มออกเดินทางจาก Fukuoka Airport โดยวิธีเช่ารถขับเองเพื่อไปยังเมืองคะรัตสึ (Karatsu) ใช้เวลาเกือบๆ 2 ชั่วโมง ก็ถึงเป้าหมายแรกของเรา จะขับผ่านถนนป่าสนนิจิโนะ มัตสึบาระ (Niji no Matsubara)


นิจิโนะ มัตสึบาระ (Niji no Matsubara)หรือป่าสนที่อยู่ริมทะเล ยาวไปตามชายหาดกว่า 4.5 กิโลเมตร ว่ากันว่ามีต้นสนมากกว่าล้านต้นเลยทีเดียว ซึ่งส่วนมากจะเป็นสนดำ (Japanese Black Pine) เพราะเมื่อ 400 กว่าปีก่อน ทางการสั่งผู้คนให้ปลูกไว้เพื่อป้องกันพื้นที่เกษตรกรรมจากลมทะเล  เราขับรถชมวิวเลาะตามชายหาดที่ทอดยาวโดยมีต้นสนเป็นอุโมงค์ที่สวยงาม ใครอยากชมความงามแบบใกล้ชิดก็มีจุดจอดรถ แล้วจะเห็นความมหัศจรรย์ของต้นสนที่แต่ละต้นจะมีรูปร่างแปลกแตกต่างกันออกไปเนื่องจากแรงลม

จากนั้นเราเดินทางต่อไปยังปราสาทคะรัตสึ (Karatsu Castle) ซึ่งห่างจากป่าสนประมาณ 3 กิโลเมตร ขับรถไปแค่ 7 นาที

ปราสาทคะรัตสึ เป็นปราสาทริมทะเลที่ได้ชื่อว่ากระเรียนเริงระบำ คุณลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งที่พบได้ยากในปราสาทแห่งอื่น คือ ปราสาทแห่งนี้เหมือนลอยอยู่กลางน้ำ ชมจากภายนอกก็สวยงาม 
ด้านในปราสาทจัดแสดงอาวุธ ชุดซามูไร ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นวิวเมืองแบบ 360 องศาและวิวทิวสนนิจิโนะมัตสึบาระ โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ผลิซากุระในเดือนต้นเดือนเมษายน และดอกฟูจิในช่วงปลายเดือนเมษายนสวยสะพรั่งจนไม่ควรพลาดชม

จากปราสาทเราขับต่อมาอีกไม่ถึง 20 นาที แต่ทางจะคดเคี้ยวสักหน่อยก็ถึงจุดชมวิวบนภูเขาคากามิยามะ (Kagamiyama Observatory)

ด้วยความสูงกว่า 280 เมตร ที่นี่วิวพาโนราม่าทั้งเมืองคะรัตสึจะอยู่ในสายตาคุณ วิวปราสาทคะรัตสึและป่าสนที่เคยไปแวะมา เราจะเห็นทั้งหมด! (โดยเฉพาะในวันฟ้าเปิด อากาศสดใส) 

ตกเย็นวันนี้เราขอแนะนำที่พักใกล้เมืองใกล้ธรรมชาติโรงแรม Karatsu Seaside Hotel ห้องพักกว้างขวางเห็นวิวริมทะเล เหมาะสำหรับครอบครัวมากค่ะ 

แถมมีออนเซ็น ให้แช่ร่างกายพักผ่อนอีกด้วย สำหรับใครที่ยังไม่กล้าลุยลงออนเซ็นแบบเปลือยกายที่โรงแรมนี้มีส่วนอ้างออนเซ็นที่ให้ใส่ชุดว่ายน้ำลงด้วยนะ วิวดีมากจากชั้น 8 ของโรงแรมค่ะ

 
Day 2 Yobuko Morning Market Street, Yobuko Squid, Arita Porcelain Park, Ureshino Onsen

วันที่สองของการเดินทาง ที่แรกของวันนี้ที่เราจะไป คือ ตลาดเช้าโยบุโกะ (Yobuko Morning Market Street)

ตลาดเช้าแห่งนี้นับว่าเป็นหนึ่งในสามตลาดเช้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น แผงร้านค้าราวๆ 50 ร้านตลอดกว่า 200 เมตรรายทางถนน Asaichi-dori ของท่าเรือโยบุโกะ ช่วง 7 โมงเช้าถึงเที่ยง ที่นี่เราช็อปปิ้งอาหารทะเลทั้งสดและแห้งจากพ่อค้าแม่ค้าท้องถิ่น ผัก ผลไม้ใหม่ๆ หรืออาจได้ของฝากพื้นเมืองติดไม้ติดมือมาด้วย ได้บรรยากาศสัมผัสกับคนท้องถิ่นจริงๆ 

มาที่นี่แล้ว อาหารอีกอย่างที่ไม่ควรพลาดคือ หมึกโยบุโกะ (Yobuko Squid)

ปลาหมึกตัวบางใสวางบนจานมาให้คีบกินรสชาติหวานกว่าหมึกทั่วไป แถมเคี้ยวแล้วยังกรอบกรุบกรับให้รสสัมผัสที่แตกต่าง ชาวโยบุโกะจะมีความชำนาญโดยเฉพาะในการแล่ หั่น เฉือน หมึกมาเสิร์ฟตรงหน้าคุณในเวลาแค่ไม่ถึงนาที ร้านที่อยากแนะนำให้มาลองชิมวันนี้คือ ร้าน Kawataro Yobuko ตั้งอยู่ใกล้ๆตลาดเช้า ปลาหมึกของร้านที่จับได้ในทะเล Genkai จะขึ้นฝั่งที่ท่าเรือประมงหน้าร้านและย้ายไปยังตู้ปลาของร้านทันที อุณหภูมิและคุณภาพของน้ำของตู้ปลาจะได้รับการควบคุมอย่างละเอียด...

อิ่มท้องกันแล้ว จากนั้นเราขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงมายังเมืองอาริตะ (Arita) เพื่อเข้าชมสวนเครื่องปั้นดินเผาอาริตะ (Arita Porcelain Park) 

ที่นี่เราเหมือนหลุดไปอยู่ในยุโรปเลย เพราะอาคารแห่งนี้ใช้สถาปัตยกรรมแบบบาโรก โดยจำลองพระราชวังสวิงเกอร์ (Zwinger Palace) แห่งเมืองเดรสเดน ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีชื่อเสียงด้านเครื่องเคลือบดินเผาเช่นเดียวกับเมืองอาริตะ บริเวณพื้นที่สวนสวยงามกว้างใหญ่ให้เดินชม
นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และส่วนให้ทำกิจกรรมต่างๆ อีกด้วย

เที่ยวจนเหนื่อยแล้ว ก็ต้องหาอะไรทำให้สบายตัวซักหน่อย ที่ซากะเรื่องออนเซ็นก็มีชื่อเสียงอยู่ไม่เบา เราใช้เวลาขับรถราว 20 นาที มาที่อุเระชิโนะออนเซ็น (Ureshino Onsen)

ว่ากันว่าเป็นเมืองออนเซ็นที่มีน้ำแร่ธรรมชาติที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะคิวชูและเป็นหนึ่งใน 3 ออนเซ็นที่ดีที่สุดสำหรับผิวในญี่ปุ่น ใครได้มาแช่จะมีผิวสวย เนื่องจากมีแร่ธาตุโซเดียมไบคาร์บอเนตและเกลือคลอไรด์ที่สูง มีอุณหภูมิสูง 85-100 องศาเซลเซียสจนได้ฉายาว่า "น้ำร้อนผิวสวย" และเป็นที่มาของชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า “Ureshiino~” ที่แปลว่า “ดีเยี่ยมไปเลย”

หากไม่พักเรียวกังในก็ยังแช่ออนเซ็นได้นะ เพราะมีเปิดให้บริการสำหรับขาจร อย่างเช่นที่โรงอาบน้ำสาธารณะ ซีโบลด์ โนะ ยุ (Siebold-no-Yu Public Bath) เป็นอาคารไม้สไตล์โกธิคสองชั้น สวยงามมาก ค่าแช่จะมีราคาตั้งแต่ 400-1,000 เยน หรือจะแค่แช่เท้าก็มีหลายจุดที่ให้ได้แช่ฟรีๆ ใครอยากลองว่าแช่แล้วผิวจะเรียบเนียนตามที่อ้างนี้แค่ไหน ก็ลองแวะมาได้

สำหรับที่พักเรียวกังของอุเระชิโนะออนเซ็น เราอยากขอแนะนำที่ วาระคุเอ็น (Warakuen) โรงแรมขนาดใหญ่ ห้องพักกว้างขวาง อาหารจัดเต็มทุกมื้อ
บ่อออนเซ็นของที่นี่ เป็นบ่อผสมชาเขียวด้วย น้ำร้อนที่เต็มไปด้วยสารสกัดจากชาแช่สบายมากค่ะ

 วันที่ 3 - Yutoku Inari Shrine, Hizen Hamashuku, Yoshinogari, Tosu Premium

วันที่สาม เราเปิดวันใหม่ด้วยการไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้ายูโทกุอินาริ(Yutoku Inari Shrine)


นับว่าเป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น เป็นที่ประทับของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนจำนวนมากมากราบไหว้ขอพรให้พืชผลทางการเกษตรอุดมสมบูรณ์ ในปัจจุบันก็จะขอให้ประสบความสำเร็จทางการค้าขายและความปลอดภัย ด้านบนของศาลเจ้ายังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง ยิ่งตอนดอกซากุระบานหรือใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่จะสวยเป็นพิเศษ อีกทั้งด้านหน้าศาลเจ้ายังมีแม่น้ำคู่กับสะพานสีแดงให้ถ่ายรูปสวยๆ อีกจุดหนึ่ง และประตูโทริอิสีแดงเรียงรายสวยงาม เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวไม่พลาดที่จะถ่ายรูปด้วย อ้อ! ที่นี่เป็นสถานที่ถ่ายทำละครเรื่อง "กลกิโมโน" ด้วยนะ
และแน่นอนที่นี่มีโซนขายเครื่องรางด้วย ใครสายมูอย่าลืมแวะเช่าเครื่องรางเป็นของฝากให้ตัวคุณเองและคนที่คุณรักเพื่อเสริมพลังในด้านต่างๆ เรียกว่าเช่าทุกอย่าง ช่วยทุกเรื่อง

เราขับรถมาอีกประมาณ  6 นาที เพื่อมาถนนสายฮิเซ็นฮามาชูกุ (Hizen Hamashuku)

ย่านเก่าแก่แห่งคาชิมะ ที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านสาเก โรงงานทำสาเกและโชยุอันโด่งดังที่ตั้งอยู่ภายในอาคารบ้านเรือนเก่าแก่อายุนับร้อยๆปี นอกจากร้านขายสาเกแล้ว ก็มีร้านขายของ Handmade ที่สวยเก๋ไม่เหมือนใครแน่นอน

ร้านที่อยากแนะนำให้ไปแวะชมอยู่หัวถนน คือ ร้านฮิเซนยะ 
เป็นโรงกลั่นสาเกสำหรับนักท่องเที่ยว ภายในโรงกลั่นจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม และดำเนินการชิมและจำหน่ายสาเก

จากย่านสาเก ขับมาไกลหน่อยราวๆ 1 ชั่วโมง ก็จะถึงอุทยานประวัติศาสตร์โยชิโนะการิ (Yoshinogari Historical Park)

อุทยานที่อนุรักษ์ซากโบราณสถานและจำลองบ้านเรือน วิถีชีวิตของผู้คนใน "สมัยยาโยอิ" ซึ่งเป็นยุคประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เป็นยุคเริ่มต้นของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เราว่าที่นี่เหมาะกับการมาเที่ยวแบบครอบครัว ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะได้รับความรู้ไปพร้อมๆ กับความสนุก

ต่อที่คห. 1 นะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่