วิธีพิสูจน์การเข้าถึงฌานแล้วจริงๆ ไม่ใช่คิดไปเอง

กระทู้คำถาม
ผู้ที่ถึงแล้วช่วยไขข้อข้องใจนี้ด้วย มีผู้เกิดฌานแล้วถึงแล้วแต่ไม่รู้ตัวมีไหม?มีจุดสังเกตหรือวิธีพิสูจน์ไหมว่าจริงแท้ไม่ได้มโนไปเอง
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ยังไม่ถึงฌานแต่เล่าให้ฟังละกันครับ

ถ้าเทียบกับตัวหนังสือในตำรา จะถือว่ามีทุกอย่างในองค์ฌานก็ว่าได้ แต่ผมไม่เคยสนใจเลย เพราะเมื่อเทียบเคียงกับครูบาอาจารย์ที่เป็นต้นแบบแล้ว ยังไงก็ยังไม่ถึงฌาน อีกอย่างฌานไม่ใช่เป้าหมาย ไม่เคยใส่ใจว่าจะถึงหรือไม่ เพราะถ้าใส่ใจแบบนั้น ก็ยากที่จะเข้าถึง เพราะใจหยาบเกินไป

แต่ว่ามีบุคคลท่านหนึ่ง ระลึกชาติได้ ดูจิตใจคนได้ เห็นนรก เห็นสวรรค์ ฯลฯ ผู้คนก็ให้การนับถือมากมาย ด้วยความที่อยากรู้ก็เลยไปถามเขา ซึ่งผมไม่ได้ถามเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมเลยนะ แค่ถามว่าตัวเราเป็นอย่างไรบ้าง เขาก็ตอบมาว่าได้ฌาน 4 ใจทรงกำลังได้ดี ทำกรรมฐานได้ทุกอย่าง ให้ฝึกวิปัสสนาเพิ่ม ตรงนี้ผมก็อึ้งเหมือนกัน เพราะดูเขาตอบคนอื่นส่วนมากก็จะตอบเรื่องเกี่ยวกับอดีต อนาคต อะไรแบบนี้ แต่ตอบผมมาแบบนี้ แล้วตอนนั้นเราก็นั่งสมาธิค่อนข้างมาก ไม่รู้เขาเห็นอะไร ถ้ามานั่งวิเคราะห์ก็ดูจะเป็นเช่นนั้นได้ แต่เพราะไม่เคยวิเคราะห์ รู้แค่ว่ายังไม่ถึง อย่างมากก็เป็นอุปจารสมาธิ พอเขาทักมาแบบนี้ทำให้เข้าใจบางเรื่อง

ที่พระอาจารย์เคยบอกว่า แม้ได้เพียงอุปจารสมาธิ แต่บางคนก็สามารถดูนรก ดูสวรรค์ ดูนิพพาน ดูอะไรต่อมิอะไรได้ เขาเห็นจริง ๆ แต่ว่ามันยังไม่ใช่ของจริง มันเป็นความจริงแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์ เปรียบเหมือนน้ำส้ม 5% กรดส้ม 2% น้ำเปล่า 93% อะไรแบบนี้ ถ้าเรากินเข้าไปทุกอย่างมันก็เหมือนน้ำส้ม มีความเปรี้ยว มีรสส้ม มีกลิ่นส้ม มีสีส้ม มีเนื้อส้มผสม มีองค์ประกอบครบเหมือนน้ำส้มทุกอย่าง แต่มันไม่บริสุทธิ์ การเห็นในสมาธิก็เป็นเช่นนั้น บางคนได้ความเห็นก่อนที่สมาธิจะตั้งมั่นเป็นฌาน แต่ความเห็นนั้นยังไม่บริสุทธิ์ เขาก็เห็นสิ่งต่าง ๆ บิดเบือนไปจากความจริงค่อนข้างเยอะ แต่เขาเห็นจริง ๆ แล้วบางอย่างมันก็ดันเป็นความจริงซะอีก คือไม่ใช่ไม่จริงไปทั้งหมด แต่จริงผสมไม่จริง ทว่าคนที่ทำได้ระดับนี้ก็ยังหายากนัก การที่เราจะไม่หลงทางจึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควรเลย หากเราไม่มีครูบาอาจารย์ที่ดีพอ (ซึ่งก็หายากอีกเพราะเราก็ไม่รู้ว่าใครรู้จริง ใครรู้ไม่จริง) ฌานของบางคนจึงยังวนอยู่กับน้ำส้ม 5% แม้ว่าองค์ประกอบทั้งหลายจะมีครบก็ตาม

เช่นนั้น เราจึงไม่ควรใส่ใจสิ่งที่เราพบสิ่งที่เราเห็นมากเกินไป ใส่ใจแค่มีสติรู้ว่ามันเกิดขึ้นก็พอ เพราะปฐมฌานก็ยังไม่บริสุทธิ์พอ ทุตติยฌานก็ยังไม่พอ ตติยฌานก็ยังไม่พอ ต้องจตุตถฌานเป็นอย่างน้อย ความรู้ความเห็นจึงจะบริสุทธิ์เพียงพอ

แต่ในการปฏิบัติธรรม เราไม่ต้องไปคิดว่าเราเข้าถึงอะไรก็ได้ เพราะไม่ว่าจะถึงขั้นไหน เราก็ควรใส่ใจแค่ว่าเราปฏิบัติธรรมเพื่อความบริสุทธิ์ของใจ มีนิพพานเป็นเป้าหมาย ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อเห็นนู่นเห็นนี่ ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อความสุขในฌาน ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อลาภยศสรรเสริญ ฯลฯ ตราบที่ยังไปไม่สุด ก็อย่าไปตื่นเต้นยินดีอะไรกับมัน เช่นนี้ ผมจึงไม่เคยมานั่งคิดเลยว่าได้ฌานขั้นไหนแล้ว เพราะต่อให้ได้ก็ต้องวางเฉย การมานั่งคิดว่าเราถึงขั้นไหนแล้ว ยิ่งทำให้ใจไม่บริสุทธิ์ ยิ่งทำให้ใจไม่ละเอียดอ่อน ยิ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดมากขึ้นเพราะความที่อยากเข้าถึง

ฉะนั้น อย่าไปใส่ใจอาการคล้ายฌานที่เกิดขึ้นเลย แม้มันจะดูน่าอัศจรรย์เพราะเราไม่เคยสัมผัสมันมาก่อน แต่มันเป็นแค่เศษเสี้ยวของอารมณ์ฌานเท่านั้น หากถึงฌานจริง ๆ ที่จะไม่รู้ว่าเข้าถึงแล้วย่อมไม่มี (แต่อาจไม่รู้จักคำเรียก) เพราะมันจะชัดเจนเหมือนที่บางท่านเปรียบไว้ว่า เหมือนเราตื่นจากหลับ ตอนฝันมันยังลังเล มันยังมีสงสัย แต่พอตื่นแล้วมันไม่มีความสงสัยเลยว่าเราตื่นแล้ว เพราะสภาวะมันเป็นคนละอย่างกับตอนฝันโดยสิ้นเชิง สภาวะทั้งหลายจะชัดเจนแบบไม่ต้องสงสัย เหมือนหัวเชื้อ 100% ไม่มีเจือจาง ไม่ต้องกางตำรามาวิเคราะห์

ตอนปฏิบัติให้วางตำราไปเลย เพราะความฟุ้งซ่านในตำราก็เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ทำตามตำราแค่พอเป็นแนว วางใจให้พอดีแล้วก็ตั้งมั่นไปเลยว่าอะไรจะเกิดก็ช่างมัน อย่าไปเสียดายความคิด เอาสติไปสังเกตอยู่ภายใน อย่าว่อกแว่ก อย่าอยากรู้ อย่าอยากเห็น อย่าอยากได้อยากเป็นอะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวถึงก็รู้เอง ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ฌานก็ช่าง ไม่ฌานก็ช่าง จะมีอะไรบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ช่างมัน เพราะเรากำลังล่องแม่น้ำสายเล็กที่มีปลายทางคือทะเล ฉะนั้น อย่ารีบไปเหมาว่าถึงทะเลหรือยัง พอถึงแล้วมันจะรู้เอง เพราะทะเลมันจะต่างจากแม่น้ำมากมายทีเดียว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่