เมษายน 2558 รำลึกถึงเนปาลในวันที่เกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวจนมีคนเสียชีวิตมากมาย จากกระทู้ที่ตั้งไว้เมื่อตอนนั้น “รีวิว Trekking Everest Base Camp” (
https://ppantip.com/topic/33723217) ซึ่งเป็นปีที่ผมไป trekking Everest Base Camp จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากอาการ AMS (Altitude Mountain Sickness) ที่ทำให้ออกซิเจนในเลือดของผมวัดได้ไม่ถึง 50% ก่อนจะถูกพาตัวลงมา ผ่านไป 7 ปี ผมตั้งใจกลับมาเนปาลเพื่อแก้มืออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมตั้งใจมาหลายปีแล้ว และมีการคุยกับเพื่อนที่เป็นแม่งานครั้งนี้มาหลายปี ก่อนจะมีฉุกละหุกทัวร์เกิดขึ้นเป็นโปรแกรมในวันที่ 16 กันยายน ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2565 ซึ่งรอบนี้มีผู้ร่วมทริปจำนวน 12 ท่าน ในรอบนี้การเตรียมตัวเรื่องอุปกรณ์และสิ่งของที่จำเป็นของผมค่อนข้างพร้อมกว่าคราวที่แล้วมาก แต่เรื่องของการเตรียมร่างกาย รอบนี้ต้องยอมรับว่า ผมเตรียมตัวน้อยมาก และต้องบอกว่าร่างกายผมไม่พร้อมเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากในช่วงก่อนไปผมงานเข้าหนักมาก นอนตีสองตีสามเกือบทุกวันเลย ซึ่งผิดกับคราวที่แล้วที่ผมมีความฟิตเต็มร้อย แต่กลับไปไม่รอด รอบนี้ผมมีความตั้งใจว่ายังไงก็ต้องถึง เพราะถ้ารอบนี้ไม่ถึงคงไม่มีโอกาสไปอีกแล้ว
พูดถึงประเทศเนปาล เป็นประเทศตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติดสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติดสาธารณรัฐอินเดีย มีกรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ ประเทศนี้เป็นประเทศที่เงียบสงบมีผู้คนที่น่ารัก ถึงแม้พวกเขาจะดูนิ่งๆ ไม่สนใจใคร แต่ถ้าได้พูดคุยหรือถ้าได้รู้จักกัน คนเนปาลจะ nice มากๆ ผมไปมาสามรอบผมยังไม่เคยเจอเรื่องราวอะไรที่ไม่ดีจากประเทศนี้แม้แต่น้อย ขนาดโดนโกงค่ารถยังไม่เคยโดนเลย ซึ่งแน่นอนว่า ผมและกลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกัน ไม่มีทางเชื่อ content ที่เจออันตรายจากไกด์ทัวร์ที่เนปาลที่ดังทั่วโซเชียลแน่นอน ถ้าอันตรายจากธรรมชาติน่ะมันมีแน่ๆ เพราะเราไปเที่ยวในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ซึ่งมันต้องมีทั้งความสวยงามที่แฝงไปด้วยความอันตราย ถ้าเราไม่ระวังตัว แต่อันตรายจากผู้คน ผมไม่เชื่อว่าจะมี
มาต่อกันที่เรื่องทริปดีกว่าพวกผมติดต่อพูดคุยกับ agent tour ที่อยู่เนปาลมาสักระยะ รวมไปถึง agent เดิมที่ผมไปใช้บริการตั้งแต่ตอนไป ABC และ EBC รอบที่แล้วจนกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว (แนะนำให้ได้นะครับ ถ้าสนใจ) แต่พอดีมีสมาชิกในกลุ่มไปได้ agent ไทยมาเจ้าหนึ่งซึ่งราคาถูกกว่าพอสมควร ก็เลยลงมติกันว่าจะไปกับเจ้านี้ โดยค่าใช้จ่ายที่เสนอมาคือ คนละ 1105USD รวมอาหารสามมื้อและค่าเช่าถุงนอน โดยเราได้ทำการตกลงและจ่ายเงินมัดจำกัน 50% และต้องถือเงินไปจ่ายที่เนปาลอีก 50% โดยเราจะพูดถึงตารางการเดิน Trekking ทั้งหมดก่อน ทริปนี้ผมวางแผนกันไว้ 16 วัน คือวันที่เดินขึ้นลงทั้งหมด 12 วัน เผื่อเวลาให้กับวันที่ลงมาแล้วอาจจะบินกลับไม่ได้ เพราะช่วงที่พวกผมไปกันคือปลายฝน อากาศมีสิทธิ์ที่จะปิดจนเครื่องบินเล็กบินไม่ได้ เลยเผื่อเวลาไว้ดังนี้ครับ
วันที่ 1: ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึงสนามบินตรีภูวัน เมือง Kathmandu มีรถมารับคณะพาไปส่งที่โรงเเรม และ ปล่อยเดินเที่ยวอิสระใน Thermal ซึ่งเป็นย่านการค้าใน Kathmandu
วันที่ 2 : ขึ้นเครื่อง Domestic Flight ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ไปลงที่เมือง Lukla แล้วเริ่มเดินไปจุดพักแรกที่ Phakding
วันที่ 3: เดินทาง Phakding ไปที่จุดพักที่สอง Namche
วันที่ 4: วัน Acclimatization day หรือวันปรับสภาพร่างกายวันแรก เดินขึ้นไปบนยอดเขา … เพื่อปรับตัวกับความสูง แล้วลงมานอนที่ Namche อีก 1 คืน
วันที่ 5: เดินจาก Namche ไปจุดพัก Tengboche
วันที่ 6: เดินจาก Tengboche ไปจุดพัก Dingboche
วันที่ 7: วัน Acclimatization day วันที่สอง ปรับสภาพร่างกาย เดินไปที่ … เพื่อปรับสภาพ แล้วลงมานอนที่ Dingboche 1 คืน
วันที่ 8: เดินจาก Dingboche ไปจุดพัก Lobuche
วันที่ 9: เดินจาก Lobuche ขึ้นไปถึงจุดพัก Gorak Shep เอาสัมภาระเข้าห้องพักแล้วเดินไปจุดหมายปลายทาง Everest Base Camp ก่อนจะเดินกลับลงมาพักที่ Gorak Shep
วันที่ 10: เดินจาก Gorak Shep ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Kalapatthar แล้วเริ่มเดินลงจาก Gorakshep ไปที่ Phereche
วันที่ 11: เดินลงจาก Phereche ยิงยาวลงสู่ Namche
วันที่ 12: เดินลงจาก Namche ยิงยาวสู่ Lukla
วันที่ 13: ขึ้นเครื่อง Domestic Flight จาก Lukla กลับสู่ Kathmandu
วันที่ 14 : ไปเที่ยวเมืองรอบๆ Patan, Phaktapu
วันที่ 15 : Sightseeing เที่ยวรอบเมือ Kathmandu
วันที่ 16: บินกลับไทย
คลำทางเที่ยว ขอเสนอ "Everest Base Camp Revenge 7 ปีไม่สายที่จะแก้มือ"
เมษายน 2558 รำลึกถึงเนปาลในวันที่เกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวจนมีคนเสียชีวิตมากมาย จากกระทู้ที่ตั้งไว้เมื่อตอนนั้น “รีวิว Trekking Everest Base Camp” (https://ppantip.com/topic/33723217) ซึ่งเป็นปีที่ผมไป trekking Everest Base Camp จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดจากอาการ AMS (Altitude Mountain Sickness) ที่ทำให้ออกซิเจนในเลือดของผมวัดได้ไม่ถึง 50% ก่อนจะถูกพาตัวลงมา ผ่านไป 7 ปี ผมตั้งใจกลับมาเนปาลเพื่อแก้มืออีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผมตั้งใจมาหลายปีแล้ว และมีการคุยกับเพื่อนที่เป็นแม่งานครั้งนี้มาหลายปี ก่อนจะมีฉุกละหุกทัวร์เกิดขึ้นเป็นโปรแกรมในวันที่ 16 กันยายน ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2565 ซึ่งรอบนี้มีผู้ร่วมทริปจำนวน 12 ท่าน ในรอบนี้การเตรียมตัวเรื่องอุปกรณ์และสิ่งของที่จำเป็นของผมค่อนข้างพร้อมกว่าคราวที่แล้วมาก แต่เรื่องของการเตรียมร่างกาย รอบนี้ต้องยอมรับว่า ผมเตรียมตัวน้อยมาก และต้องบอกว่าร่างกายผมไม่พร้อมเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากในช่วงก่อนไปผมงานเข้าหนักมาก นอนตีสองตีสามเกือบทุกวันเลย ซึ่งผิดกับคราวที่แล้วที่ผมมีความฟิตเต็มร้อย แต่กลับไปไม่รอด รอบนี้ผมมีความตั้งใจว่ายังไงก็ต้องถึง เพราะถ้ารอบนี้ไม่ถึงคงไม่มีโอกาสไปอีกแล้ว
พูดถึงประเทศเนปาล เป็นประเทศตั้งอยู่ในเทือกเขาหิมาลัย มีพรมแดนทิศเหนือติดสาธารณรัฐประชาชนจีน ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตกติดสาธารณรัฐอินเดีย มีกรุงกาฐมาณฑุเป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่สุดของประเทศ ประเทศนี้เป็นประเทศที่เงียบสงบมีผู้คนที่น่ารัก ถึงแม้พวกเขาจะดูนิ่งๆ ไม่สนใจใคร แต่ถ้าได้พูดคุยหรือถ้าได้รู้จักกัน คนเนปาลจะ nice มากๆ ผมไปมาสามรอบผมยังไม่เคยเจอเรื่องราวอะไรที่ไม่ดีจากประเทศนี้แม้แต่น้อย ขนาดโดนโกงค่ารถยังไม่เคยโดนเลย ซึ่งแน่นอนว่า ผมและกลุ่มเพื่อนที่ไปด้วยกัน ไม่มีทางเชื่อ content ที่เจออันตรายจากไกด์ทัวร์ที่เนปาลที่ดังทั่วโซเชียลแน่นอน ถ้าอันตรายจากธรรมชาติน่ะมันมีแน่ๆ เพราะเราไปเที่ยวในสถานที่ที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ซึ่งมันต้องมีทั้งความสวยงามที่แฝงไปด้วยความอันตราย ถ้าเราไม่ระวังตัว แต่อันตรายจากผู้คน ผมไม่เชื่อว่าจะมี
มาต่อกันที่เรื่องทริปดีกว่าพวกผมติดต่อพูดคุยกับ agent tour ที่อยู่เนปาลมาสักระยะ รวมไปถึง agent เดิมที่ผมไปใช้บริการตั้งแต่ตอนไป ABC และ EBC รอบที่แล้วจนกลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว (แนะนำให้ได้นะครับ ถ้าสนใจ) แต่พอดีมีสมาชิกในกลุ่มไปได้ agent ไทยมาเจ้าหนึ่งซึ่งราคาถูกกว่าพอสมควร ก็เลยลงมติกันว่าจะไปกับเจ้านี้ โดยค่าใช้จ่ายที่เสนอมาคือ คนละ 1105USD รวมอาหารสามมื้อและค่าเช่าถุงนอน โดยเราได้ทำการตกลงและจ่ายเงินมัดจำกัน 50% และต้องถือเงินไปจ่ายที่เนปาลอีก 50% โดยเราจะพูดถึงตารางการเดิน Trekking ทั้งหมดก่อน ทริปนี้ผมวางแผนกันไว้ 16 วัน คือวันที่เดินขึ้นลงทั้งหมด 12 วัน เผื่อเวลาให้กับวันที่ลงมาแล้วอาจจะบินกลับไม่ได้ เพราะช่วงที่พวกผมไปกันคือปลายฝน อากาศมีสิทธิ์ที่จะปิดจนเครื่องบินเล็กบินไม่ได้ เลยเผื่อเวลาไว้ดังนี้ครับ
วันที่ 1: ขึ้นเครื่องที่สุวรรณภูมิ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง ถึงสนามบินตรีภูวัน เมือง Kathmandu มีรถมารับคณะพาไปส่งที่โรงเเรม และ ปล่อยเดินเที่ยวอิสระใน Thermal ซึ่งเป็นย่านการค้าใน Kathmandu
วันที่ 2 : ขึ้นเครื่อง Domestic Flight ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ไปลงที่เมือง Lukla แล้วเริ่มเดินไปจุดพักแรกที่ Phakding
วันที่ 3: เดินทาง Phakding ไปที่จุดพักที่สอง Namche
วันที่ 4: วัน Acclimatization day หรือวันปรับสภาพร่างกายวันแรก เดินขึ้นไปบนยอดเขา … เพื่อปรับตัวกับความสูง แล้วลงมานอนที่ Namche อีก 1 คืน
วันที่ 5: เดินจาก Namche ไปจุดพัก Tengboche
วันที่ 6: เดินจาก Tengboche ไปจุดพัก Dingboche
วันที่ 7: วัน Acclimatization day วันที่สอง ปรับสภาพร่างกาย เดินไปที่ … เพื่อปรับสภาพ แล้วลงมานอนที่ Dingboche 1 คืน
วันที่ 8: เดินจาก Dingboche ไปจุดพัก Lobuche
วันที่ 9: เดินจาก Lobuche ขึ้นไปถึงจุดพัก Gorak Shep เอาสัมภาระเข้าห้องพักแล้วเดินไปจุดหมายปลายทาง Everest Base Camp ก่อนจะเดินกลับลงมาพักที่ Gorak Shep
วันที่ 10: เดินจาก Gorak Shep ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ Kalapatthar แล้วเริ่มเดินลงจาก Gorakshep ไปที่ Phereche
วันที่ 11: เดินลงจาก Phereche ยิงยาวลงสู่ Namche
วันที่ 12: เดินลงจาก Namche ยิงยาวสู่ Lukla
วันที่ 13: ขึ้นเครื่อง Domestic Flight จาก Lukla กลับสู่ Kathmandu
วันที่ 14 : ไปเที่ยวเมืองรอบๆ Patan, Phaktapu
วันที่ 15 : Sightseeing เที่ยวรอบเมือ Kathmandu
วันที่ 16: บินกลับไทย