ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราคบกับแฟนเก่า เขาเป็นคนนิสัยดี อบอุ่นมาก ตอนคบกันแรกๆ ใส่ใจและดูแลเราดีมาก แต่ช่วงพักหลังก่อนที่จะเลิกกัน ตอนนั้นเราเรียนหนัก ทั้งเป็นโรคซึมเศร้า และเป็นแพนิค จากการเครียดและพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลา2-3 ปี ระหว่างเรียน สุดท้ายก่อนจบ ปี 4 เราตัดสินใจลาออกเพราะไม่ชอบสิ่งที่เรียน และตัดสินใจเข้ารักษาตัวจากการเป็นโรคซึมเศร้าเต็มตัว ตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้สาเหตุว่าทำไมเราถึงเป็นโรคซึมเศร้า แถมเป็นโรคซึมเศร้าขั้นรุนแรง ชนิดที่ระบบร่างกายรวยจากการเป็นซึมเศร้า จนป่วยและติดเชื้อในร่างกายง่ายมาก ความสัมพันธ์ของเรากับเขาเริ่มระหองระแหง ตั้งแต่ที่เราตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย เพราะแม่เขาเคยพูดกับเราว่า " ถ้าเธอเรียนไม่จบ ฉันจะไม่ให้แต่งกับลูกชายฉัน " ด้วยความที่เราเป็นโลกซึมเศร้า เราเลยโทรไปถามแม่ว่า แม่ ถ้าลูกตัดสิ้นใจลาออก แม่จะว่าอะไรไหม แม่บอกว่าไม่ เมย์ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรา น่าแปลกที่แม่พูดแบบนั้น เรากลับรู้สึกโล่งใจ และตัดสินใจลาออก
ช่วงแรกของการลาออกจากมหาลัย ตอนนั้น เราทนความกดดันจากครอบครัวสูงมาก ว่าทำไมไม่เรียนให้จบ เราเลยเปลี่ยนจากการลาออกเป็นดรอปเรียนไว้ แต่เราไม่มีความสุขในการเรียนเลย
จนเวลาผ่านไป ด้วยความที่เราไม่ได้ไปไหน อยู่แต่ห้องเล็กๆ ทำให้อาการแพนิคและโรคซึมเศร้าไม่ดีขึ้น เราร้องไห้ทุกคืนเพราะทรมานกับอาการที่เป็นอยู่มาก เราไม่รู้ว่าสาเหตุมี่เราเป็นแบบนี้เพราะอะไร
จนวันนึง เราคุยกับน้องคนนึงที่เป็นโรคซึมเศร้า ด้วยความที่เราเป็น เราถึงเข้าใจความรู้สึก แต่อยู่ดีๆน้องเขาก็บอกชอบเรา เราก็เลยถามแฟนว่าควรทำไงดี ?
คือถามแบบนี้ คือ เราไม่ได้ชอบน้องเขาแต่ด้วยความที่สงสาร แต่ไม่รู้จะพูดยังไงให้เขาไม่วู่วามมำอะไรเสี่ยงๆ วันเดียวกัน แม่เขามาที่บ้านมารับกลับบ้าน
วันนั้นเราปวดท้องมาก เพราะประจำเดือนมา แล้วเราบอกกับเขาว่าเราจะกลับไปเองได้ไหม เพราะเราไม่ไหว สุดท้าย ครอบครัวเขาบอกว่าเราสำออย
แค่นั่งรถจะอะไรหนักหนา สุดท้ายเราก็ยอมกลับไปด้วย ระหว่างทางตอนนั้น เรากำลังคิดคำที่จะพูดกับน้องเขา อยู่ดีๆ เขาแย่งโทรศัพท์เรา แล้วโทรไปหาน้องเขา และบอกกับครอบครัวเขาว่า น้องผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเรา ความรู้สึกเรานะตอนนั้นเหมือนโดนตบหน้า พูดอะไรไม่ออก ในใจเหมือนมันจุกไปหมด
เราบอกเขาชัดเจนตั้งแต่ต้นมีอะไรไม่เคยปิดบัง
และไว้ใจเขาตลอด แต่ดูสิ่งที่เขาพูดกับครอบครัวเขาสิ เราตอนนั้นเหมือนน้ำตาตกใน ที่เขาไม่เคยเชื่อใจเราเลย แล้วครอบครัวเขาก็พูดถึงผู้หญิงคนอื่นใดใน มหาลัยในเราฟัง ว่าคนนั้นดีแบบโน้น ดีแบบนี้
กลับไปถึงบ้าน เราใช้เวลาคิดในความสัมพันธ์ของเรากับเขาเป็นเดือนสองเดือน และพอถึงจุดๆนึง มันก็เริ่มเห็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ชัดเจนมากขึ้น ยิมรับน่ะ ว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าและเป็นแพนิค ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ ไม่ช็อคก็บุญหัวแล้ว
ครอบครัวเขาไม่ยอมรับที่เราเรียนไม่จบ นั่นคือประเด็นความสัมพันธ์ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเรารักเขา และคิดว่าเขาจะรักเรา และเข้าใจ
แต่ประเด็นคือเราได้ยินครอบครัวเขาพูดลับหลังเรา ว่า คนแบบเราเป็นได้แค่นางบำเรอ ให้ลูกชายเขา ไม่มีทางฃที่เขาจะแต่งเข้าบ้านหรอก ถ้าเรียนไม่จบ อายชาวบ้านเขา เขาบอกว่าเขาหวังปลอกลอกลูกชายเขา ให้ลูกชายเขาคบกับหญิงสาวที่รวยกว่า เรียนจบ มีตระกูลร่ำรวยดีกว่าไหม เขาหาไว้ให้แล้ว
ตอนแม่เขาพูด เราเองยังไม่รู้สึกเจ็บเท่าเขาพูดเอง
ในวันนั้น คนที่เรารักเขาและคิดว่าเขาจะเข้าใจเราเขาพูดกับเราว่า เราเรียนก็ไม่จบ คบเขาเพราะเงิน คนอย่างเราอ่ะหน้าเงิน คบเขาเพราะหวังสมบัติ ต่อให้เลิกกับเขาไป เราเป็นได้แค่เมียน้อย เป็นได้แค่เด็กเสี่ย บอกวว่าเราเป็นคนสำออย เรียกร้องความสนใจ แสแสร้งมารยา ให้เขาสงสาร ในตอนนั้นที่เราได้ยินคำนั่นจากเขา นี่เหรอ คนที่พูดบอกว่ารักเรา
คืนนั้น เราคิดวนไปวนมาในความสัมพันธ์ครั้งนี้
ถึงแม้แม่เขาจะยื่นข้อเสนอให้มีลูก แต่แลกกับการอยู่กับเขาแล้วทำงานวันละร้อย คิดคำนวณถึงด้วยนิสัยและอนาคตของลูกเรา
เดือนละร้อย ค่านมเด็ก ค่าแพมเพิสค่ายารักษาเด็กยังไม่พอเลย จนมีวันนึง จากที่ทะเลาะและเขาพูดแบบนั้นออกมา เราไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษออกจากปากเขาแม้แต่ครั้งเดียว
ตอนนั้น เราตัดสินใจบอกเเลิกเขาแบบจริงๆจังๆ ตอนแรกเราก็ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ร้องไห้และตอนไม่หลับอยู่สองเดือน สุดท้าย เราทนพิษความทรงจำไม่ไหว เราเลยบอกแม่ว่า แม่ จะไปทำงานที่กรุงเทพฯน่ะ ตอนนั้น แม่เป็นห่วง เพราะเราเพิ่งเลิกกับแฟน สภาพจิตใจเราไม่ดีนัก แกเลยไม่ให้ไป
ไปๆมาๆ เราเองก็ยิ่งอยู่ยิ่งทะเลาะกับแม่ด้วยความที่เรามีสภาพร่างกายและจิตใจไม่ดี เราเลยตัดสินใจออกจากบ้าน
เอาจริงๆ ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนชีวิตเราครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ จากเด็กที่เอาแต่เรียน ไม่สนนใจโลกภายนอก บวกกับเป็นโรคซึมเศร้า เราตัดสินใจไปเรียนแผนไทย เราเจอเพื่อนและครูที่ดีมาก เรามีพี่คนนึงที่เป็นที่ปรึกษาให้เราตลอด ตลอดเวลาที่รู้จักกัน ถึงจะไม่ค่อยได้คุย แต่เราก็รู้สึกขอบคุณแกมาก ที่ทำให้ทัศนคติของการมองโลกของเราเปลี่ยนไป และทันคนมากขึ้น และค่อยๆเปิดโลก และอาการซึมเศร้าของเรา ค่อยๆดีขึ้น กับการเจอคนใหม่ๆ เจอที่ใหม่ๆ
ตอนแรกเรายังจบปักกับคำพูดที่ว่า เราเรียนไม่จบ แต่พอใช้ชีวิตนานๆ เข้า เรารู้สึกว่า การเรียนไม่ได้มีแต่ในห้องเรียน ชีวิตคนเราไม่ได้จบแค่เรียนจบสักหน่อย ทำไมต้องเอาคำพูดของเขาทำให้เราหมดกำลังใจด้วยล่ะ เธอจะเรียนอะไรก็ได้ที่เธอรัก เธอจะทำอะไรก็ได้ที่เธอสนใจ อยากจะไปไหนก็ไปได้
จนสองสามปีนี้ ครบรอบที่เราเลิกกับเขา เรารู้สึกว่าเราโตขึ้นและเปลี่ยนเป็นคนละคน อาจจะมีบ้างที่เหมือนเดิม แต่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขก็กว่าเมื่อก่อนมาก ชีวิตที่เป็นของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาคาดหวัง หรือมาตีกรอบให้ ว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
ขอบคุณน่ะ ที่เลิกกัน
ไม่งั้น วันนี้เราคงไม่มีความสุขขนาดนี้ถ้าไม่เลิกกัน
เราคงไม่เจอคนใหม่ๆ ทัศนคติของฉันคงไม่เปลี่ยนไปขนาดนี้ และการมองโลกของฉันคงไม่กว้างมากขนาดนี้
ปีใหม่นี้ ฉันมีความสุขมากเลย ฉันรักตัวเองมากขึ้นสุขภาพดีขึ้น พักผ่อนเพียงพอ 😉😉 และฉันรู้สึกว่า ฉันพร้อมแล้วกับการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และเปิดโลกใหม่ๆ นี่คือชีวิตฉันเลือกเอง ฉันไม่เสียใจน่ะ บางครั้งอาจจะน่าเบื่อไปหน่อย แต่ว่า ฉันก็ชอบความสงบ มี่ไม่ต้องมานั่งแคร์ว่าใคร จะรู้สึกกับฉันยังไง ว่าใครจะคิดกับฉันยังไง ฉันรู้แค่ว่า แค่ฉันใช้ชีวิตให้มีความสุข และไม่เดือดร้อนใคร ก็เพียงพอแล้ว
ขอบคุณที่เป็นส่วนนึงที่ทำให้ชีวิตเรามีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ทำให้เราเติบโต พัฒนาตัวเองจากโลกความเป็นจริงมากขึ้น และรักตัวเองมากขึ้น ขอบคุณจริงๆ เราจะเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และเราจะไม่สนใจอดีตอีก แล้วตอนนี้ ก็พร้อมเปิดใจให้คนใหม่ๆ แล้วด้วย ❤️
เราหวังให้ตัวเองเจอคนที่ดี และมีทัศนคติที่ดี
เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น และยอมรับข้อพกพร่องเราได้
Happy new years 2024 /2566
เธอเก่งมาก ที่มีรอยยิ้มสดใสได้ขนาดนี้ 😁😆😄😉
ขอบคุณน่ะ ที่ยอมปล่อยเราออกมา ตอนนี้เรารู้สึกว่า เรามีความสุขกว่าตอนคบกับเขามากเลย
ช่วงแรกของการลาออกจากมหาลัย ตอนนั้น เราทนความกดดันจากครอบครัวสูงมาก ว่าทำไมไม่เรียนให้จบ เราเลยเปลี่ยนจากการลาออกเป็นดรอปเรียนไว้ แต่เราไม่มีความสุขในการเรียนเลย
จนเวลาผ่านไป ด้วยความที่เราไม่ได้ไปไหน อยู่แต่ห้องเล็กๆ ทำให้อาการแพนิคและโรคซึมเศร้าไม่ดีขึ้น เราร้องไห้ทุกคืนเพราะทรมานกับอาการที่เป็นอยู่มาก เราไม่รู้ว่าสาเหตุมี่เราเป็นแบบนี้เพราะอะไร
จนวันนึง เราคุยกับน้องคนนึงที่เป็นโรคซึมเศร้า ด้วยความที่เราเป็น เราถึงเข้าใจความรู้สึก แต่อยู่ดีๆน้องเขาก็บอกชอบเรา เราก็เลยถามแฟนว่าควรทำไงดี ?
คือถามแบบนี้ คือ เราไม่ได้ชอบน้องเขาแต่ด้วยความที่สงสาร แต่ไม่รู้จะพูดยังไงให้เขาไม่วู่วามมำอะไรเสี่ยงๆ วันเดียวกัน แม่เขามาที่บ้านมารับกลับบ้าน
วันนั้นเราปวดท้องมาก เพราะประจำเดือนมา แล้วเราบอกกับเขาว่าเราจะกลับไปเองได้ไหม เพราะเราไม่ไหว สุดท้าย ครอบครัวเขาบอกว่าเราสำออย
แค่นั่งรถจะอะไรหนักหนา สุดท้ายเราก็ยอมกลับไปด้วย ระหว่างทางตอนนั้น เรากำลังคิดคำที่จะพูดกับน้องเขา อยู่ดีๆ เขาแย่งโทรศัพท์เรา แล้วโทรไปหาน้องเขา และบอกกับครอบครัวเขาว่า น้องผู้ชายคนนั้นเป็นแฟนเรา ความรู้สึกเรานะตอนนั้นเหมือนโดนตบหน้า พูดอะไรไม่ออก ในใจเหมือนมันจุกไปหมด
เราบอกเขาชัดเจนตั้งแต่ต้นมีอะไรไม่เคยปิดบัง
และไว้ใจเขาตลอด แต่ดูสิ่งที่เขาพูดกับครอบครัวเขาสิ เราตอนนั้นเหมือนน้ำตาตกใน ที่เขาไม่เคยเชื่อใจเราเลย แล้วครอบครัวเขาก็พูดถึงผู้หญิงคนอื่นใดใน มหาลัยในเราฟัง ว่าคนนั้นดีแบบโน้น ดีแบบนี้
กลับไปถึงบ้าน เราใช้เวลาคิดในความสัมพันธ์ของเรากับเขาเป็นเดือนสองเดือน และพอถึงจุดๆนึง มันก็เริ่มเห็นรอยร้าวในความสัมพันธ์ชัดเจนมากขึ้น ยิมรับน่ะ ว่าคนเป็นโรคซึมเศร้าและเป็นแพนิค ถ้าเจอสถานการณ์แบบนี้ ไม่ช็อคก็บุญหัวแล้ว
ครอบครัวเขาไม่ยอมรับที่เราเรียนไม่จบ นั่นคือประเด็นความสัมพันธ์ แต่ด้วยความที่ตอนนั้นเรารักเขา และคิดว่าเขาจะรักเรา และเข้าใจ
แต่ประเด็นคือเราได้ยินครอบครัวเขาพูดลับหลังเรา ว่า คนแบบเราเป็นได้แค่นางบำเรอ ให้ลูกชายเขา ไม่มีทางฃที่เขาจะแต่งเข้าบ้านหรอก ถ้าเรียนไม่จบ อายชาวบ้านเขา เขาบอกว่าเขาหวังปลอกลอกลูกชายเขา ให้ลูกชายเขาคบกับหญิงสาวที่รวยกว่า เรียนจบ มีตระกูลร่ำรวยดีกว่าไหม เขาหาไว้ให้แล้ว
ตอนแม่เขาพูด เราเองยังไม่รู้สึกเจ็บเท่าเขาพูดเอง
ในวันนั้น คนที่เรารักเขาและคิดว่าเขาจะเข้าใจเราเขาพูดกับเราว่า เราเรียนก็ไม่จบ คบเขาเพราะเงิน คนอย่างเราอ่ะหน้าเงิน คบเขาเพราะหวังสมบัติ ต่อให้เลิกกับเขาไป เราเป็นได้แค่เมียน้อย เป็นได้แค่เด็กเสี่ย บอกวว่าเราเป็นคนสำออย เรียกร้องความสนใจ แสแสร้งมารยา ให้เขาสงสาร ในตอนนั้นที่เราได้ยินคำนั่นจากเขา นี่เหรอ คนที่พูดบอกว่ารักเรา
คืนนั้น เราคิดวนไปวนมาในความสัมพันธ์ครั้งนี้
ถึงแม้แม่เขาจะยื่นข้อเสนอให้มีลูก แต่แลกกับการอยู่กับเขาแล้วทำงานวันละร้อย คิดคำนวณถึงด้วยนิสัยและอนาคตของลูกเรา
เดือนละร้อย ค่านมเด็ก ค่าแพมเพิสค่ายารักษาเด็กยังไม่พอเลย จนมีวันนึง จากที่ทะเลาะและเขาพูดแบบนั้นออกมา เราไม่เคยได้ยินคำว่าขอโทษออกจากปากเขาแม้แต่ครั้งเดียว
ตอนนั้น เราตัดสินใจบอกเเลิกเขาแบบจริงๆจังๆ ตอนแรกเราก็ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ร้องไห้และตอนไม่หลับอยู่สองเดือน สุดท้าย เราทนพิษความทรงจำไม่ไหว เราเลยบอกแม่ว่า แม่ จะไปทำงานที่กรุงเทพฯน่ะ ตอนนั้น แม่เป็นห่วง เพราะเราเพิ่งเลิกกับแฟน สภาพจิตใจเราไม่ดีนัก แกเลยไม่ให้ไป
ไปๆมาๆ เราเองก็ยิ่งอยู่ยิ่งทะเลาะกับแม่ด้วยความที่เรามีสภาพร่างกายและจิตใจไม่ดี เราเลยตัดสินใจออกจากบ้าน
เอาจริงๆ ครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนชีวิตเราครั้งยิ่งใหญ่เลยก็ว่าได้ จากเด็กที่เอาแต่เรียน ไม่สนนใจโลกภายนอก บวกกับเป็นโรคซึมเศร้า เราตัดสินใจไปเรียนแผนไทย เราเจอเพื่อนและครูที่ดีมาก เรามีพี่คนนึงที่เป็นที่ปรึกษาให้เราตลอด ตลอดเวลาที่รู้จักกัน ถึงจะไม่ค่อยได้คุย แต่เราก็รู้สึกขอบคุณแกมาก ที่ทำให้ทัศนคติของการมองโลกของเราเปลี่ยนไป และทันคนมากขึ้น และค่อยๆเปิดโลก และอาการซึมเศร้าของเรา ค่อยๆดีขึ้น กับการเจอคนใหม่ๆ เจอที่ใหม่ๆ
ตอนแรกเรายังจบปักกับคำพูดที่ว่า เราเรียนไม่จบ แต่พอใช้ชีวิตนานๆ เข้า เรารู้สึกว่า การเรียนไม่ได้มีแต่ในห้องเรียน ชีวิตคนเราไม่ได้จบแค่เรียนจบสักหน่อย ทำไมต้องเอาคำพูดของเขาทำให้เราหมดกำลังใจด้วยล่ะ เธอจะเรียนอะไรก็ได้ที่เธอรัก เธอจะทำอะไรก็ได้ที่เธอสนใจ อยากจะไปไหนก็ไปได้
จนสองสามปีนี้ ครบรอบที่เราเลิกกับเขา เรารู้สึกว่าเราโตขึ้นและเปลี่ยนเป็นคนละคน อาจจะมีบ้างที่เหมือนเดิม แต่เรารู้สึกว่าเรามีความสุขก็กว่าเมื่อก่อนมาก ชีวิตที่เป็นของตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมาคาดหวัง หรือมาตีกรอบให้ ว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
ขอบคุณน่ะ ที่เลิกกัน
ไม่งั้น วันนี้เราคงไม่มีความสุขขนาดนี้ถ้าไม่เลิกกัน
เราคงไม่เจอคนใหม่ๆ ทัศนคติของฉันคงไม่เปลี่ยนไปขนาดนี้ และการมองโลกของฉันคงไม่กว้างมากขนาดนี้
ปีใหม่นี้ ฉันมีความสุขมากเลย ฉันรักตัวเองมากขึ้นสุขภาพดีขึ้น พักผ่อนเพียงพอ 😉😉 และฉันรู้สึกว่า ฉันพร้อมแล้วกับการเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และเปิดโลกใหม่ๆ นี่คือชีวิตฉันเลือกเอง ฉันไม่เสียใจน่ะ บางครั้งอาจจะน่าเบื่อไปหน่อย แต่ว่า ฉันก็ชอบความสงบ มี่ไม่ต้องมานั่งแคร์ว่าใคร จะรู้สึกกับฉันยังไง ว่าใครจะคิดกับฉันยังไง ฉันรู้แค่ว่า แค่ฉันใช้ชีวิตให้มีความสุข และไม่เดือดร้อนใคร ก็เพียงพอแล้ว
ขอบคุณที่เป็นส่วนนึงที่ทำให้ชีวิตเรามีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่ทำให้เราเติบโต พัฒนาตัวเองจากโลกความเป็นจริงมากขึ้น และรักตัวเองมากขึ้น ขอบคุณจริงๆ เราจะเดินไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และเราจะไม่สนใจอดีตอีก แล้วตอนนี้ ก็พร้อมเปิดใจให้คนใหม่ๆ แล้วด้วย ❤️
เราหวังให้ตัวเองเจอคนที่ดี และมีทัศนคติที่ดี
เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น และยอมรับข้อพกพร่องเราได้
Happy new years 2024 /2566
เธอเก่งมาก ที่มีรอยยิ้มสดใสได้ขนาดนี้ 😁😆😄😉