เด็กเพื่อไทยอัด ‘ประยุทธ์’ เคลมผลงาน Medical hub ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750003
‘ลิณธิภรณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ เคลม Medical hub ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’ ชี้เป็นนักการเมืองต้อง Fair play อย่าเอาเปรียบทางการเมืองใกล้เลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ดร.
ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคลมผลงานนโยบาย Medical Hub ให้บริการการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอุตสาหกรรมชั้นนำในภูมิภาคว่า ชัดเจนแล้วเมื่อปี่กลองทางการเมืองเริ่มดังขึ้น พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวมา 8 ปีแล้ว แต่ได้ประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกพรรคหนึ่งทั้งที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีอีกพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นการผิดมารยาททางการเมืองและไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ถือว่าขณะนี้ พล.อ.
ประยุทธ์เป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่อใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งจึงพยายามควานหาผลงาน โดยเลือกที่จะเคลมผลงาน Medical Hub ที่นางสาว
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ริเริ่ม ตอกเสาเข็มโครงการนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2556 แต่ พล.อ.
ประยุทธ์กลับนำเอามาพูดเป็นความภาคภูมิใจเสมือนว่าเป็นผู้ริเริ่มโครงการเอง เป็นการกระทำซ้ำรอยกับพูดถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค บนเวทีโลก ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา ทั้งที่เป็นผลงานที่ ดร.
ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ริเริ่มและทำสำเร็จไว้
ทั้งนี้ หลายนโยบายที่ได้ทำต่อจากพรรคเพื่อไทย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กลายเป็นหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า พรรคเพื่อไทยดีใจที่นโยบายดีๆ ถูกนำไปทำต่อและเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน แต่การกล่าวอ้างว่าเป็นผลงานตน โดยไม่ให้เครดิตกับสิ่งดีๆ ที่ น.ส.
ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขโมยผลงานใช่หรือไม่
สำหรับนโยบาย Medical Hub ของรัฐบาล น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ริเริ่มในปี 2556 และเริ่มดำเนินการเรื่อยมา โดยกำหนดแนวทางการพัฒนา Medical Hub เป็น 4 ด้าน คือ
1. เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)
2. เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub)
3. เป็นศูนย์กลางการศึกษา วิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)
4. เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
ดร.
ลิณธิภรณ์กล่าวว่า ด้วยการริเริ่มโครงการ Medical hub อย่างมีวิสัยทัศน์ของ น.ส.
ยิ่งลักษณ์ ทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลก ด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ถูกยึดอำนาจในปี 2557 โครงการนี้ก็จะประสบความสำเร็จในปี 2561 ตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งจะมาให้ความสำคัญในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้
“
พล.อ.ประยุทธ์ต้องสะกดคำว่า Fair play และไม่เอาเปรียบนักการเมืองคนอื่นให้เป็น คือเป็นผู้เล่นที่เล่นตามกติกา และยุติธรรม การเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะมีเสียง ส.ว.มาหนุนหลังโหวตให้ ก็ถือเป็นความอยุติธรรมทางการเมืองอยู่แล้ว ดังนั้น ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งอีกไม่กี่เดือน ต้องไม่มีการเอาเปรียบนักการเมืองจากพรรคอื่น ควรมีใจที่เป็นธรรม และควรรู้จักพอ ประเทศไทยเดินหน้าโดยไม่ต้องมี พล.อ.ประยุทธ์” ดร.
ลิณธิภรณ์กล่าว
พท. จี้ รบ.เร่งวางมาตรการสกัดโควิดควบคู่ฟื้นท่องเที่ยว หลังจีนเปิดประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3749933
พท. จี้ รบ.ประยุทธ์ เร่งวางมาตรการป้องกันโควิดควบคู่พลิกวิกฤต-ฟื้นท่องเที่ยวไทยหลังจีนเปิดประเทศ
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม น.ส.
ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า หลังจากที่ประเทศจีนผ่อนคลายมาตรการโดยอนุญาตให้คนจีนเดินเที่ยวต่างประเทศได้ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยตื่นตัวกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนมากที่สุดคือ คนจีน ประมาณ 10 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ให้กับไทยมากถึง 5.80 แสนล้านบาท หากปี 2566 เราสามารถต้อนรับคนจีน ได้ประมาณ 5 ล้านคนเป็นอย่างน้อย คาดว่าน่าจะสร้างรายได้ได้กว่า 3 แสนล้านบาท และสามารถดึงแรงงานภาคการท่องเที่ยวที่มีกว่า 4.4 ล้านคนในช่วงก่อนโควิดกลับมาทำงานได้
น.ส.
ชนก กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับความวิตกกังวลของพี่น้องประชาชนจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดในจีนนั้น โดยธรรมชาติของคนจีนที่มีทัศนคติเรื่องสุขภาพที่ดีมานับพันปีล้วนจะต้องระวังการแพร่ระบาดต่อกันโดยธรรมชาติ หน้าที่ของรัฐบาลไทยโดย พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีหน้าที่ทำวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส เปลี่ยนความตระหนกให้เกิดเป็นความมั่นใจ เร่งวางมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ไปควบคู่กับการทำให้ประเทศไทยกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยวอีกครั้ง ให้เหมือนหรือเทียบเท่ากับในอดีต
“
พรรคเพื่อไทยเราให้ความสำคัญกับสุขภาพของพี่น้องประชาชน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญเรื่องการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระทบถึงปากท้องของพี่น้องประชาชน เราไม่ละเลยกับปัญหา และข้อกังวลของพี่น้องประชาชน แต่ก็มองเห็นโอกาสจากทุกมิติ ดิฉันเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยของเราสามารถสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนได้ และเราจะสร้างประเทศไทยให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของโลก สร้างงาน สร้างรายได้ และเทศกาลต่างๆ ในไทย เช่น ‘สงกรานต์’ หรือ ‘ลอยกระทง’ จะต้องถูกนักท่องเที่ยวต่างชาติปักหมุดไว้ในปฏิทินของตน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้หากประยุทธ์ทำไม่ได้ก็ยุบสภาหรือลาออกไป แล้วเพื่อไทยจะเข้ามาทำให้ดู” น.ส.
ชนก กล่าว
‘ก้าวไกล’ แฉซ้ำส่วยอุทยานฯ ถาม วราวุธ 3 ปีก่อนปฏิเสธข่าว มาครั้งนี้หลักฐานคาตา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3749959
‘ก้าวไกล’ แฉซ้ำส่วยอุทยานฯ ถาม วราวุธ 3 ปีก่อนปฏิเสธข่าว มาครั้งนี้หลักฐานคาตา
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นาย
มานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถูกจับข้อหาเรียกรับสินบนโยกย้ายและรักษาตำแหน่งข้าราชการ ว่า การเรียกรับสินบนเพื่อซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงานต่างๆ นั้นมีทั่วไปในหลายกระทรวง แต่สำหรับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น มีการซื้อขายตำแหน่งและเรียกค่าคงตำแหน่งไว้สำหรับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ในกรม
โดยมีการส่งส่วยและรับส่วยกันในลักษณะรายปีงบประมาณและรายเดือนด้วย ที่ผ่านมาทราบว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ในกรมอุทยานฯ หากใครต้องการอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ก็ต้องจ่ายเงินที่เรียกเป็นกิโลกรัม โดย 1 กิโลกรัมเท่ากับ 1 ล้านบาท เรียกเก็บตั้งแต่ 5 แสน-20 ล้านบาท โดยเฉพาะอุทยานทางทะเลที่ทำเงินเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก
นาย
มานพกล่าวว่า ขอย้อนถามไปถึง นาย
วราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงกรณีข่าวเมื่อเดือนกันยายน 2562 ในขณะที่นายวราวุธเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ มีข้อร้องเรียนว่าอธิบดีกรมอุทยานฯ ในขณะนั้นเรียกเก็บส่วยถึง 600 ล้านบาท และจ่ายไปแล้ว 300 ล้านบาทให้แก่นายวราวุธ และในขณะนั้นนายวราวุธได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่มาครั้งนี้อธิบดีถูกจับได้คาหนังคาเขาจากเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานและพบเงินสดเป็นจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่มีการร้องเรียนเมื่อครั้งก่อน
“
จึงอยากถามท่านรัฐมนตรีว่า ครั้งนี้ท่านจะปฏิเสธอย่างไรว่าไม่มีการรับส่วยกันจริง เพราะจับได้คาหนังคาเขาหลักฐานครบ และคำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการรับส่งส่วยกันแบบนี้หรือไม่ อยากฟังคำตอบชัดๆ ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไรต่อ” นาย
มานพกล่าว
นาย
มานพกล่าวต่อว่า ส่วนรัฐมนตรีบอกว่าไม่อยากให้ข้าราชการเสียขวัญกำลังใจจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขออธิบายใหม่ว่า คนที่เสียขวัญนั้นคงไม่ใช่ข้าราชการ เพราะข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตจะกลับยิ่งมีขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้นเพราะได้มีการทลายเครือข่ายเรียกรับส่วยไปแล้ว ส่วนคนที่เสียขวัญกำลังใจก็คงจะมีแต่คนทุจริตเท่านั้น จึงอยากถามท่านด้วยว่ากำลังใจยังอยู่ดีหรือไม่
ตำหนิ!พฤติกรรม ‘ปลัดมท.’ ไม่เหมาะสมดูถูกลูกน้อง-เหยียดสถาบัน
https://www.dailynews.co.th/news/1844426/
“ก้าวไกล” ตำหนิพฤติกรรมปลัด มท. ไม่เหมาะสม ดูถูกผู้ใต้บังคับบัญชา-เหยียดสถาบันการศึกษา จี้ ”อนุพงษ์” ตอบประชาชน ควรเป็นปลัดอยู่หรือไม่.
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล และนาง
อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการประชุมออนไลน์ของข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย เนื้อหาของคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นถึงการพูดดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น
“ ทำไมมันโง่แบบนี้“, “ เรียนจบที่ไหนมา“ รวมถึงการพูดในเชิงดูหมิ่นสถาบันการศึกษาระดับปริญญาตรีของผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า ไม่มีความรู้เพราะไม่ได้เรียนสถาบันเดียวกันกับตน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมในวงกว้าง
นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า นาย
สุทธิพงษ์ดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเดียวยังไม่พอ ในการโชว์ภูมิความรู้ยังโชว์แบบผิดๆ ด้วย ที่บอกว่าจุดที่อุปสงค์และอุปทานมาเจอกันเรียกว่า “
ตลาดสัมบูรณ์“ ก็เป็นคำอธิบายที่ผิด เรื่องนี้มีสอนกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ว่า จุดที่อุปสงค์และอุปทานเจอกัน เรียกว่าจุดดุลยภาพ (equilibrium) ส่วนคำว่า “
ตลาดสัมบูรณ์” นั้น ตั้งแต่เรียนมาผมไม่เคยได้ยิน ที่ใกล้เคียงคือคำว่า “
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์” ซึ่งหมายถึงตลาดที่มีผู้ซื้อและผู้ขายมากรายขายสินค้าแข่งขันกัน จนกระทั่งไม่มีรายใดมีอำนาจเหนือกว่าในการกำหนดราคาของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับตลาดผูกขาด
นาย
วิโรจน์ กล่าวต่อว่าขอเรียกร้องถึง พล.อ.
อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ว่า ต้องตอบคำถามถึงสิ่งที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยทำ ว่า การกระทำแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ คนแบบนี้สมควรเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยอยู่อีกหรือไม่
“
ทำไมทัศนคติแบ่งพรรคแบ่งพวก สิงห์สีนั้น สิงห์นี้สีนี้ ยังมีอยู่ในกระทรวงมหาดไทย ใครเป็นสิงห์สีนี้จะได้รับการดูแลในฐานะข้าราชการชั้นหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่สีเดียวกัน ก็ทำงานงกๆ ไป ในฐานะข้าราชการชั้นสอง การที่จะย้ายแบบนี้ยังคงมีอยู่อีกหรือ” นาย
วิโรจน์ กล่าว
JJNY : 5in1 เด็กเพื่อไทยอัด‘ประยุทธ์’│พท.จี้เร่งวางมาตรการ│‘ก้าวไกล’แฉซ้ำส่วย│ตำหนิ!‘ปลัดมท.’│เกาหลีใต้ร่วมวงคุมทัวร์จีน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3750003
‘ลิณธิภรณ์’ อัด ‘ประยุทธ์’ เคลม Medical hub ‘รัฐบาลยิ่งลักษณ์’ ชี้เป็นนักการเมืองต้อง Fair play อย่าเอาเปรียบทางการเมืองใกล้เลือกตั้ง
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ดร.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เคลมผลงานนโยบาย Medical Hub ให้บริการการแพทย์และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเป็นอุตสาหกรรมชั้นนำในภูมิภาคว่า ชัดเจนแล้วเมื่อปี่กลองทางการเมืองเริ่มดังขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลวมา 8 ปีแล้ว แต่ได้ประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกพรรคหนึ่งทั้งที่ตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีอีกพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นการผิดมารยาททางการเมืองและไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ถือว่าขณะนี้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่อใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งจึงพยายามควานหาผลงาน โดยเลือกที่จะเคลมผลงาน Medical Hub ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ริเริ่ม ตอกเสาเข็มโครงการนี้ไว้ตั้งแต่ปี 2556 แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับนำเอามาพูดเป็นความภาคภูมิใจเสมือนว่าเป็นผู้ริเริ่มโครงการเอง เป็นการกระทำซ้ำรอยกับพูดถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค บนเวทีโลก ที่สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ สหรัฐอเมริกา ทั้งที่เป็นผลงานที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ริเริ่มและทำสำเร็จไว้
ทั้งนี้ หลายนโยบายที่ได้ทำต่อจากพรรคเพื่อไทย เช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กลายเป็นหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า พรรคเพื่อไทยดีใจที่นโยบายดีๆ ถูกนำไปทำต่อและเกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน แต่การกล่าวอ้างว่าเป็นผลงานตน โดยไม่ให้เครดิตกับสิ่งดีๆ ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เคยทำไว้ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขโมยผลงานใช่หรือไม่
สำหรับนโยบาย Medical Hub ของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ริเริ่มในปี 2556 และเริ่มดำเนินการเรื่อยมา โดยกำหนดแนวทางการพัฒนา Medical Hub เป็น 4 ด้าน คือ
1. เป็นศูนย์กลางบริการเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (Wellness Hub)
2. เป็นศูนย์กลางบริการสุขภาพ (Medical Service Hub)
3. เป็นศูนย์กลางการศึกษา วิชาการและงานวิจัย (Academic Hub)
4. เป็นศูนย์กลางยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ (Product Hub)
ดร.ลิณธิภรณ์กล่าวว่า ด้วยการริเริ่มโครงการ Medical hub อย่างมีวิสัยทัศน์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทำให้ประเทศไทยติดอันดับ 5 ของโลก ด้านอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ หากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ถูกยึดอำนาจในปี 2557 โครงการนี้ก็จะประสบความสำเร็จในปี 2561 ตามแผนยุทธศาสตร์ที่วางไว้ ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เพิ่งจะมาให้ความสำคัญในช่วงใกล้เลือกตั้งนี้
“พล.อ.ประยุทธ์ต้องสะกดคำว่า Fair play และไม่เอาเปรียบนักการเมืองคนอื่นให้เป็น คือเป็นผู้เล่นที่เล่นตามกติกา และยุติธรรม การเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เพราะมีเสียง ส.ว.มาหนุนหลังโหวตให้ ก็ถือเป็นความอยุติธรรมทางการเมืองอยู่แล้ว ดังนั้น ในระหว่างอยู่ในตำแหน่งอีกไม่กี่เดือน ต้องไม่มีการเอาเปรียบนักการเมืองจากพรรคอื่น ควรมีใจที่เป็นธรรม และควรรู้จักพอ ประเทศไทยเดินหน้าโดยไม่ต้องมี พล.อ.ประยุทธ์” ดร.ลิณธิภรณ์กล่าว
พท. จี้ รบ.เร่งวางมาตรการสกัดโควิดควบคู่ฟื้นท่องเที่ยว หลังจีนเปิดประเทศ
https://www.matichon.co.th/politics/news_3749933
พท. จี้ รบ.ประยุทธ์ เร่งวางมาตรการป้องกันโควิดควบคู่พลิกวิกฤต-ฟื้นท่องเที่ยวไทยหลังจีนเปิดประเทศ
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะโฆษกกรรมาธิการ (กมธ.) การท่องเที่ยว สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า หลังจากที่ประเทศจีนผ่อนคลายมาตรการโดยอนุญาตให้คนจีนเดินเที่ยวต่างประเทศได้ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยตื่นตัวกับข่าวนี้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประเทศไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเป็นอันดับที่ 4 ของโลก และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนมากที่สุดคือ คนจีน ประมาณ 10 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ให้กับไทยมากถึง 5.80 แสนล้านบาท หากปี 2566 เราสามารถต้อนรับคนจีน ได้ประมาณ 5 ล้านคนเป็นอย่างน้อย คาดว่าน่าจะสร้างรายได้ได้กว่า 3 แสนล้านบาท และสามารถดึงแรงงานภาคการท่องเที่ยวที่มีกว่า 4.4 ล้านคนในช่วงก่อนโควิดกลับมาทำงานได้
น.ส.ชนก กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับความวิตกกังวลของพี่น้องประชาชนจากยอดผู้ติดเชื้อโควิดในจีนนั้น โดยธรรมชาติของคนจีนที่มีทัศนคติเรื่องสุขภาพที่ดีมานับพันปีล้วนจะต้องระวังการแพร่ระบาดต่อกันโดยธรรมชาติ หน้าที่ของรัฐบาลไทยโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีหน้าที่ทำวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาส เปลี่ยนความตระหนกให้เกิดเป็นความมั่นใจ เร่งวางมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ไปควบคู่กับการทำให้ประเทศไทยกลับมามีรายได้จากการท่องเที่ยวอีกครั้ง ให้เหมือนหรือเทียบเท่ากับในอดีต
“พรรคเพื่อไทยเราให้ความสำคัญกับสุขภาพของพี่น้องประชาชน ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญเรื่องการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่กระทบถึงปากท้องของพี่น้องประชาชน เราไม่ละเลยกับปัญหา และข้อกังวลของพี่น้องประชาชน แต่ก็มองเห็นโอกาสจากทุกมิติ ดิฉันเชื่อมั่นว่า พรรคเพื่อไทยของเราสามารถสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนได้ และเราจะสร้างประเทศไทยให้เป็นการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของโลก สร้างงาน สร้างรายได้ และเทศกาลต่างๆ ในไทย เช่น ‘สงกรานต์’ หรือ ‘ลอยกระทง’ จะต้องถูกนักท่องเที่ยวต่างชาติปักหมุดไว้ในปฏิทินของตน ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้หากประยุทธ์ทำไม่ได้ก็ยุบสภาหรือลาออกไป แล้วเพื่อไทยจะเข้ามาทำให้ดู” น.ส.ชนก กล่าว
‘ก้าวไกล’ แฉซ้ำส่วยอุทยานฯ ถาม วราวุธ 3 ปีก่อนปฏิเสธข่าว มาครั้งนี้หลักฐานคาตา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3749959
‘ก้าวไกล’ แฉซ้ำส่วยอุทยานฯ ถาม วราวุธ 3 ปีก่อนปฏิเสธข่าว มาครั้งนี้หลักฐานคาตา
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวถึงกรณีอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ถูกจับข้อหาเรียกรับสินบนโยกย้ายและรักษาตำแหน่งข้าราชการ ว่า การเรียกรับสินบนเพื่อซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงานต่างๆ นั้นมีทั่วไปในหลายกระทรวง แต่สำหรับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น มีการซื้อขายตำแหน่งและเรียกค่าคงตำแหน่งไว้สำหรับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติและหัวหน้าหน่วยงานต่างๆ ในกรม
โดยมีการส่งส่วยและรับส่วยกันในลักษณะรายปีงบประมาณและรายเดือนด้วย ที่ผ่านมาทราบว่ามีการเรียกรับผลประโยชน์ในกรมอุทยานฯ หากใครต้องการอยู่ในตำแหน่งสูงๆ ก็ต้องจ่ายเงินที่เรียกเป็นกิโลกรัม โดย 1 กิโลกรัมเท่ากับ 1 ล้านบาท เรียกเก็บตั้งแต่ 5 แสน-20 ล้านบาท โดยเฉพาะอุทยานทางทะเลที่ทำเงินเป็นจำนวนมากเนื่องจากมีผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก
นายมานพกล่าวว่า ขอย้อนถามไปถึง นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถึงกรณีข่าวเมื่อเดือนกันยายน 2562 ในขณะที่นายวราวุธเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ มีข้อร้องเรียนว่าอธิบดีกรมอุทยานฯ ในขณะนั้นเรียกเก็บส่วยถึง 600 ล้านบาท และจ่ายไปแล้ว 300 ล้านบาทให้แก่นายวราวุธ และในขณะนั้นนายวราวุธได้ปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่มาครั้งนี้อธิบดีถูกจับได้คาหนังคาเขาจากเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานและพบเงินสดเป็นจำนวนมาก ซึ่งสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่มีการร้องเรียนเมื่อครั้งก่อน
“จึงอยากถามท่านรัฐมนตรีว่า ครั้งนี้ท่านจะปฏิเสธอย่างไรว่าไม่มีการรับส่วยกันจริง เพราะจับได้คาหนังคาเขาหลักฐานครบ และคำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ ท่านมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการรับส่งส่วยกันแบบนี้หรือไม่ อยากฟังคำตอบชัดๆ ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไรต่อ” นายมานพกล่าว
นายมานพกล่าวต่อว่า ส่วนรัฐมนตรีบอกว่าไม่อยากให้ข้าราชการเสียขวัญกำลังใจจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขออธิบายใหม่ว่า คนที่เสียขวัญนั้นคงไม่ใช่ข้าราชการ เพราะข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตจะกลับยิ่งมีขวัญกำลังใจในการทำงานมากขึ้นเพราะได้มีการทลายเครือข่ายเรียกรับส่วยไปแล้ว ส่วนคนที่เสียขวัญกำลังใจก็คงจะมีแต่คนทุจริตเท่านั้น จึงอยากถามท่านด้วยว่ากำลังใจยังอยู่ดีหรือไม่
ตำหนิ!พฤติกรรม ‘ปลัดมท.’ ไม่เหมาะสมดูถูกลูกน้อง-เหยียดสถาบัน
https://www.dailynews.co.th/news/1844426/
“ก้าวไกล” ตำหนิพฤติกรรมปลัด มท. ไม่เหมาะสม ดูถูกผู้ใต้บังคับบัญชา-เหยียดสถาบันการศึกษา จี้ ”อนุพงษ์” ตอบประชาชน ควรเป็นปลัดอยู่หรือไม่.
เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล และนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความทางทวิตเตอร์ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในการประชุมออนไลน์ของข้าราชการในกระทรวงมหาดไทย เนื้อหาของคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นถึงการพูดดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ ทำไมมันโง่แบบนี้“, “ เรียนจบที่ไหนมา“ รวมถึงการพูดในเชิงดูหมิ่นสถาบันการศึกษาระดับปริญญาตรีของผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า ไม่มีความรู้เพราะไม่ได้เรียนสถาบันเดียวกันกับตน ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งและทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมในวงกว้าง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายสุทธิพงษ์ดูหมิ่นผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเดียวยังไม่พอ ในการโชว์ภูมิความรู้ยังโชว์แบบผิดๆ ด้วย ที่บอกว่าจุดที่อุปสงค์และอุปทานมาเจอกันเรียกว่า “ตลาดสัมบูรณ์“ ก็เป็นคำอธิบายที่ผิด เรื่องนี้มีสอนกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย ว่า จุดที่อุปสงค์และอุปทานเจอกัน เรียกว่าจุดดุลยภาพ (equilibrium) ส่วนคำว่า “ตลาดสัมบูรณ์” นั้น ตั้งแต่เรียนมาผมไม่เคยได้ยิน ที่ใกล้เคียงคือคำว่า “ตลาดแข่งขันสมบูรณ์” ซึ่งหมายถึงตลาดที่มีผู้ซื้อและผู้ขายมากรายขายสินค้าแข่งขันกัน จนกระทั่งไม่มีรายใดมีอำนาจเหนือกว่าในการกำหนดราคาของตลาด ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับตลาดผูกขาด
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่าขอเรียกร้องถึง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ว่า ต้องตอบคำถามถึงสิ่งที่ปลัดกระทรวงมหาดไทยทำ ว่า การกระทำแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ คนแบบนี้สมควรเป็นปลัดกระทรวงมหาดไทยอยู่อีกหรือไม่
“ทำไมทัศนคติแบ่งพรรคแบ่งพวก สิงห์สีนั้น สิงห์นี้สีนี้ ยังมีอยู่ในกระทรวงมหาดไทย ใครเป็นสิงห์สีนี้จะได้รับการดูแลในฐานะข้าราชการชั้นหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่สีเดียวกัน ก็ทำงานงกๆ ไป ในฐานะข้าราชการชั้นสอง การที่จะย้ายแบบนี้ยังคงมีอยู่อีกหรือ” นายวิโรจน์ กล่าว