วันที่ฟ้าเปิด บทที่ 35

กระทู้คำถาม
วันที่ฟ้าเปิด
ดรัสวันต์  และ  Q  


35

       กลางดึกของอีกสองวันต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 9 ได้แอบดักซุ่มอยู่บนทางหลวงหมายเลข 406 เมื่อพบเป้าหมายตามที่สายข่าวรายงาน ขบวนรถบรรทุกหกล้อ 3 คันวิ่งเกาะกลุ่มกันมา โดยมีรถกระบะสีดำนำขบวนจะมุ่งหน้าไปยัง อ.รัตภูมิ จ.สงขลา ตำรวจที่เฝ้าสังเกตการณ์จึงรีบส่งสัญญาณให้ตำรวจอีกชุดตั้งด่านสกัดเป้าหมาย

       เมื่อขบวนรถมาถึงด่านตำรวจที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีด่านบริเวณนี้ จึงจำต้องหยุดรถ ไม่อาจผลีผลามฝ่าด่านไปได้เพราะกำลังตำรวจอาวุธครบมือที่ยืนเตรียมพร้อมอยู่หลายสิบนายเช่นนั้น  

      เมื่อรถจอดสนิท กองกำลังตำรวจกว่าสามสิบนายเข้าล้อมจับกุม พอเปิดดูท้ายรถบรรทุกทั้ง 3 คันปรากฏว่ามีชาวโรฮิงญารวมกว่าสองร้อยชีวิตถูกอัดรวมกันอยู่ในรถบรรทุกที่คลุมผ้าใบมิดชิด เหยื่อค้ามนุษย์แทบทุกคนต่างอยู่ในสภาพที่อิดโรยและหวาดกลัว จนเจ้าหน้าที่ต้องให้การปฐมพยาบาล
เบื้องต้นในรายที่แน่นิ่งไป

      ธเนศที่นั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับของรถกระบะสีดำมีสีหน้าเคร่งเครียด ตำรวจกว่าสิบนายถือปืนล้อมรอบรถของเขาไว้ ไม่มีทางที่ธเนศจะฝ่าวงล้อมนี้ไปได้และเขาก็ยังไม่อยากฆ่าตัวตายด้วยวิธีนั้น ในหัวของธเนศคิดว่าเขาจะต้องรักษาชีวิตไว้แล้วยอมจำนนแต่โดยดี หนทางรอดข้างหน้ายังมีอีกมาก เพราะคนอย่างเขาไม่ตัดสินใจทำงานเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางโดยไม่มีอำนาจของผู้มีบารมีคอยคุ้มครองเขาอย่างแน่นอน 

      ธเนศค่อยๆ เปิดประตูก้าวลงจากรถ ตำรวจ 3 นายที่อยู่ตรงนั้นเข้าจับมือเขาไพล่หลังและใส่กุญแจมือ

      “พวกแกเดือดร้อนแน่ รู้ไหมว่าขบวนรถนี้ใครคุม” ธเนศพูดเสียงดัง

      ตำรวจทั้งสามหันมามองหน้ากันไปมา ก่อนที่ตำรวจนายหนึ่งที่ติดยศพันตำรวจเอกจะก้าวเข้ามาแล้วพูดว่า

     “งานนี้ถูกสั่งมาจากส่วนกลาง แบ็กของนายคงไม่ใหญ่พอจะมาช่วยนายได้ และอีกไม่กี่วันไอ้หมอนั่นก็จะถูกตั้งคณะกรรมการสอบ คงไม่มีเวลาจะมาช่วยพวกนายหรอก”

       ธเนศเบิกตากว้างด้วยอาการตกใจสุดขีด เขาพยายามตั้งสติ คิดหาทางออกให้ตัวเองว่าเขาจะเอาใครมาเป็นเครื่องต่อรองได้อีก  

      “ถ้าไม่อยากให้ 3 จังหวัดนั่นลุกเป็นไฟ...”

      ดูเหมือนตำรวจยศใหญ่ที่สุดในที่นั้นจะรู้ดีว่าธเนศกำลังจะหมายถึงอะไร เขาชิงตัดบทว่า

      “สะมะแอน่ะหรือ กองโจรที่หนุนหลังนายอยู่กำลังจะตายห่ากันหมดแล้ว”

       รถกรงขังนักโทษของตำรวจหลายคันถูกนำมาขนย้ายชาวโรฮิงญา ธเนศถูกจับขังในรถคันหนึ่งรวมกับแรงงานทาส ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทาสแรงงานที่โกรธแค้นและยังพอมีแรง จะไม่ใช้หมัดและเท้ากระหน่ำธเนศ  

       อีกด้านหนึ่งในจังหวัดสตูล เวลาถัดมาหนึ่งชั่วโมงนับจากการจับกุมขบวนรถที่ขนแรงงานชาวโรฮิงญา หน่วยตำรวจตะเวนชายแดนที่ 436 กว่า 20 นายเข้าโจมตีด่านแรกของค่ายสะมะแอโดยไม่ให้ตั้งตัวทันส่งข่าวเข้าไปยังหัวหน้าค่าย ส่วนยามเฝ้าด่านที่สองก็ถูกปฏิบัติการแบบสายฟ้าแลบเข้าปลิดชีวิตอย่างเงียบเชียบ 

      แผนที่และพิกัดต่างๆ นั้น ปกป้องทำขึ้นอย่างละเอียด เขาเข้าร่วมประชุมกับทีมจู่โจมของตชด.เพื่อให้รายละเอียดของที่ตั้งและทางหนีทีไล่ของค่ายแห่งนี้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง รวมถึงหน้าผาด้านหลังค่ายที่มักจะเป็นช่องทางที่มีลมกระโชกเป็นอันตรายต่อเฮลิคอปเตอร์ที่จะเข้าไปปฏิบัติการครั้งนี้  แต่โชคดีที่คืนนี้เป็นคืนเดือนมืดที่สงัดลม 

      ในยามดึกของคืนข้างแรมที่ทุกคนในค่ายต่างพักผ่อนนอนหลับอย่างสนิทใจก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยเสียงอันแผดดังของเฮลิคอปเตอร์สองลำที่พุ่งทะยานเข้าสู่จุดหมายอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า พร้อมทั้งลำแสงสปอร์ตไลต์ 4 ดวงที่ติดอยู่กับเฮลิคอปเตอร์ส่องกราดไปทั่วบริเวณจนทำให้ป่าทึบและมืดมิดแห่งนี้สว่างราวกับเวลากลางวัน กองกำลังตชด.กว่าร้อยนายที่เข้ามาแอบซุ่มก่อนหน้านี้ ครั้นได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์ มันคือสัญญาณให้พวกเขาออกมาจากที่ซ่อนและเข้าปิดล้อมค่ายแห่งนี้ไว้

       สะมะแอที่กำลังพักผ่อนอยู่ถึงกับสะดุ้งลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์แผดขึ้นกลางดึก เขารีบออกคำสั่งทันที

      “ทุกคน ไปที่โกดังเก็บปืน”

      คำสั่งของสะมะแอถูกส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ ความวุ่นวายในค่ายเริ่มต้นด้วยเสียงกระสุนปืนดังเพียงสองนัด แต่สิ่งที่ทำให้คนในค่ายต่างขวัญผวา คือเสียงระเบิดจากระเบิดมือของตชด.นายหนึ่งที่ขว้างเข้าไปหน้าประตูของกระท่อมไม้หลังหนึ่ง แรงระเบิดทำให้ประตูกระท่อมหลุดออกมา เผยให้เห็นคลังแสงที่มีทั้งปืนและอาวุธสงครามอยู่ข้างในมากมาย ระเบิดนั้นทำให้กลุ่มโจรที่พยายามจะเข้าไปที่คลังแสงชะงักงัน ไม่อาจเข้าไปเอาอาวุธออกมาได้

      แต่แล้วไม่กี่วินาทีจากนั้นระเบิดอีกลูกก็ถูกโยนเข้าไปในคลังแสงอย่างแม่นยำ เป็นวินาทีที่ทุกคนต้องวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดจากการระเบิดของคลังแสงที่มีทั้งระเบิดและกระสุนที่พุ่งออกมาทุกทิศทาง คนที่หนีไม่ทันก็ด่าวดิ้นอยู่ตรงนั้น ทั้งแรงระเบิดและไฟลุกท่วม ลูกไฟกระเด็นไปติดรั้วไม้ไผ่ที่เคยเป็นที่กักขังทาสชาวโรฮิงญาที่บัดนี้ร้างว่างเปล่า 

      รอบบริเวณมีแต่คนวิ่งหนีเอาตัวรอดจากการระเบิดของคลังแสง กว่าครึ่งของกองโจรถูกแรงระเบิดได้รับบาดเจ็บนอนร้องโอดโอย พวกที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็สิ้นใจไป ส่วนที่หลบหนีออกมาได้ก็ถูกสกัดด้วยกำลังตชด.ที่ล้อมค่ายแห่งนี้ไว้ทุกทิศทาง

     เป็นเวลานานเกือบ 10 นาที กว่าที่ระเบิดในคลังแสงจะสงบลง เหลือแต่เปลวเพลิงที่ยังไม่ยอมมอดไหม้ ลำแสงสปอร์ตไลต์จากเฮลิคอปเตอร์ที่ยังคงบินวนอยู่รอบบริเวณนั้น ช่วยส่องสว่างทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ง่ายขึ้น หรือหากมีคนพยายามหลบหนี แสงไฟที่เจิดจ้าก็จะส่องกราดตามติดจนหมดหนทางหนี 

      ความสงบราบคาบกลับคืนมาอีกครั้ง  ทั้งค่ายถูกตรวจค้นโดยละเอียด ทุกคนในค่ายที่ยังรอดชีวิตและไม่ได้รับบาดเจ็บต่างถูกต้อนมารวมกันที่ลานกว้างกลางค่าย ทุกคนถูกสั่งให้ถอดเสื้อนั่งเรียงกันเป็นแถวตอนเพื่อง่ายต่อการตรวจนับจำนวน 

      หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการครั้งนี้เข้าค้นบ้านหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของสะมะแออย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม แม้กระทั่งใช้ขวานจามผนังห้องและตู้ที่คิดว่าจะเป็นช่องลับที่หลบซ่อนของหัวหน้าขบวนการ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถพบตัวสะมะแอได้

      “หัวหน้ามาดูนี่ซิครับ” ลูกน้องมือขวาของเขาชี้ไปที่ตู้เก็บของภายในห้องรับแขกชั้นล่างของตัวบ้าน บานตู้ทึบนั้นเผยอออกเล็กน้อยคล้ายคนที่เปิดตู้นี้อยู่ในอาการรีบร้อน ไม่ทันปิดบานตู้ให้สนิท 

      “มีอะไร” ผู้บังคับบัญชาถามพลางมองตามแสงไฟฉายที่ลูกน้องส่องให้ดู

      “มีช่องลับอยู่ทางนี้ครับ” 

      “มุดเข้าไปดูซิว่ามันทะลุออกไปที่ไหน” 

       และเมื่อลูกน้องทำตามคำสั่งก็พบว่า ด้านหลังตู้เป็นช่องลับที่สามารถเปิดออกไปสู่ป่าภายนอกด้านหลังบ้าน 

     “มีทางออกจริงๆ ครับ” ลูกน้องมือขวาตะโกนตอบกลับมาจากด้านนอกให้เจ้านายรับรู้ “แต่ว่า...”

     “แต่อะไร...”

     “หัวหน้าต้องมาดูเองครับ”

     และเมื่อเขามุดออกไปตามที่ลูกน้องบอกก็ต้องพบกับภูมิประเทศด้านหลังตัวบ้านที่เป็นหน้าผาสูง กระแสลมพัดมากระทบใบหน้ายามที่เขาก้าวเท้าไปชะโงกมองที่ด้านล่างซึ่งเป็นเหวลึก ในความมืดมิดนั้น ยากที่จะเดาว่าคนที่หลบหนีมาทางนี้ จะมีสภาพอย่างไรหากพลาดท่าตกลงไปในหุบเหวนั่น 

     “คิดว่าสะมะแอจะหนีมาทางนี้ไหม หรือว่าเป็นกลลวงให้เราคิดว่าเขาจะใช้ช่องทางนี้หลบหนี” หันไปหารือลูกน้อง เขาเองก็ต้องพิจารณาหลายแง่มุม ไม่เพียงสิ่งที่เห็นตรงหน้า

     “ผมว่านี่น่าจะเป็นหนทางรอดทางเดียวของเขานะครับ เพราะด้านหน้าเราล้อมไว้หมดแล้ว” ลูกน้องออกความเห็น แล้วชะโงกลงไปมองข้างล่างอย่างเพ่งพิศ “ถ้าเขาไม่ได้เตรียมทางหนีทีไล่ที่ดีมาก ก็มีสิทธิ์ตกหน้าผาตาย”

     “มันมืดจนมองไม่เห็นก้นเหวเลย คงต้องอาศัยสปอร์ตไลต์จากเฮลิคอปเตอร์ส่องทาง” หัวหน้าพูดจบก็วิทยุไปบอกให้เฮลิคอปเตอร์วนมาทางด้านหลังบ้าน ไม่ถึงนาทีเสียงกระหึ่มของอากาศยานก็บินเข้ามายังทิศทางนี้ แต่แล้วจังหวะลมกระโชกวูบหนึ่งก็ทำให้เฮลิคอปเตอร์เสียการทรงตัว แต่โชคดีที่นักบินพยายามประคองเครื่องไว้ได้แล้วรีบเบนหัวออกไป มีเสียงตอบกลับมามาทางวิทยุว่า

     “เครื่องเข้าไปไม่ได้ครับ  มันเป็นช่องลม อันตรายเกินไป”

     “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องเข้ามา เราจะใช้วิธีอื่น”  แล้วหัวหน้าหน่วยก็ดึงพลุสัญญาณที่เหน็บเอวอยู่ออกมาหนึ่งแท่ง จุดแล้วโยนลงไปข้างล่างหน้าผาสูงแห่งนั้น แสงสว่างจ้าสีแดงของพลุนั้นส่องให้เห็นโตรกผาลึกลงไปเกือบ 30 เมตร เช่นนี้แล้วคนที่ตกลงไปไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน

     “เรายังสรุปอะไรเกี่ยวกับสะมะแอตอนนี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องคุมพื้นที่ตรงนี้ไว้ก่อน มันอาจจะมีซอกหลืบหรือถ้ำที่เรามองไม่เห็นให้เขาหลบซ่อนอยู่ในตอนนี้ แต่ในที่สุดเขาต้องออกมา” จากนั้นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ แจ้งผ่านเครื่องรับส่งวิทยุสื่อสารรายงานผลการปฏิบัติงานไปยังผู้บังคับบัญชา

      “เรายึดค่ายไว้ได้เรียบร้อยแล้วครับ ผมขอกำลังเสริมเข้ามาที่นี่เพื่อเคลียร์พื้นที่และนำกลุ่มโจรออกจากป่า แต่ว่าผมไม่สามารถจับตัวหัวหน้าขบวนการได้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้อยู่ที่นี่ก่อนหน้านี้หรือไม่ หรือเขาอาจจะลอบหนีออกจากค่ายไปแล้ว” 

      “เราจะส่งกำลังเสริมไปเดี๋ยวนี้ คุณตรวจตราดูให้ดีๆ สะมะแอไม่น่าหนีรอดไปได้ คุณจัดวางกำลังตรึงพื้นที่นี้อยู่ก่อน มันอาจจะยังซ่อนอยู่แล้วรอจังหวะที่เราตายใจคิดว่าไม่มีอะไรแล้วค่อยออกมาทีหลัง” อีกฝั่งของสัญญาณวิทยุตอบรับการขอกำลังเสริม โดยไม่ลืมที่จะกำชับการจับกุมตัวสะมะแอที่เป็นเป้าหมายสำคัญในการทลายขบวนการที่ทั้งแบ่งแยกดินแดนและทำเรื่องผิดกฎหมาย

      “ครับ ผมก็คิดเช่นนั้น ทางเดียวที่เขาจะหนีไปได้คือไต่ลงไปที่หน้าผาสูงหลังค่ายซึ่งอันตรายมาก แต่ผมได้วางกำลังตรึงพื้นที่อยู่รอบบริเวณนั้นแล้วหากมีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่ผมคิดว่าสะมะแออาจจะตกหน้าผาตายไปแล้วก็ได้นะครับ ตอนนี้ใกล้เช้าแล้ว สว่างเมื่อไหร่ผมจะให้ลูกน้องใช้เชือกโรยตัวลงไปที่ก้นเหว อาจจะเจอศพ”

        หลังจากนั้นไม่นาน กองกำลังเสริมที่ซุ่มรอคำสั่งอยู่รอบนอกก็เคลื่อนกำลังเข้ามาในค่ายของสะมะแอพร้อมรถขนนักโทษกว่าสิบคัน ตชด.ส่วนหนึ่งเข้ารื้อถอนค่ายและเผาทิ้งไม่ให้เหลือซากที่โจรกลุ่มไหนๆ จะมาสวมรอยใช้ประโยชน์ต่อได้อีก ลูกสมุนโจรที่ยังเหลืออยู่ไม่ถึงร้อยถูกนำตัวออกจากป่า ปิดฉากขบวนการค้ามนุษย์รายใหญ่และแหล่งซ่องสุมกำลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่เป็นต้นเหตุของการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่