คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
๑๐. เรื่องอสทิสทาน [๑๔๖]
ข้อความเบื้องต้น
อ่านเนื้อหาใน ==> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว
ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย.
นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่งแม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์ เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้.
...
...
...
บทว่า กาสาวกณฺฐา คือ ผู้มีชื่อว่ามีผ้ากาสาวะพันคอ.
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นพันผ้ากาสาวะผืนหนึ่งที่มือหรือที่คอเที่ยวไป. ก็ประตูบ้าน แม้กรรมมีบุตรภริยากสิกรรมและวณิชกรรมเป็นต้นทั้งหลายของภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้น ก็จักเป็นปกติเทียว. ไม่ได้ตรัสว่า สงฆ์ทุศีล ในบทนี้ว่า คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น จริงอยู่ สงฆ์ชื่อว่าทุศีลไม่มี แต่อุบาสกทั้งหลายชื่อว่าทุศีล จักถวายทานด้วยคิดว่า เราจักถวายเฉพาะสงฆ์ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น.
แม้ทักขิณาที่ถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ ด้วยประการฉะนี้. แม้ทักขิณาที่ให้ในสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอ ตรัสว่ามีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณเหมือนกัน. ก็ทักขิณาที่ถึงสงฆ์ย่อมมีแก่บุคคลผู้อาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์. แต่ความยำเกรงในสงฆ์ ทำได้ยาก.
ก็บุคคลใดเตรียมไทยธรรมด้วยคิดว่าเราจักให้ทักขิณาถึงสงฆ์ ไปวิหารแล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้พระเถระรูปหนึ่งเจาะจงสงฆ์เถิด.
ลำดับนั้น ได้สามเณรจากสงฆ์ย่อมถึงความเป็นประการอื่นว่า เราได้สามเณรแล้ว ดังนี้. ทักขิณาของบุคคลนั้นย่อมไม่ถึงสงฆ์. เมื่อได้พระมหาเถระแม้เกิดความโสมนัสว่า เราได้มหาเถระแล้ว ดังนี้ ทักขิณาก็ไม่ถึงสงฆ์เหมือนกัน.
ส่วนบุคคลใดได้สามเณร ผู้อุปสมบทแล้ว ภิกษุหนุ่มหรือเถระ ผู้พาลหรือบัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์แล้ว ไม่สงสัย ย่อมอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ว่า เราจะถวายสงฆ์ ทักขิณาของบุคคลนั้นเป็นอันชื่อว่าถึงสงฆ์แล้ว.
ได้ยินว่า พวกอุบาสกชาวสมุทรฝั่งโน้นกระทำอย่างนี้.
ก็ในอุบาสกเหล่านั้นคนหนึ่งเป็นเจ้าของวัด เป็นกุฎุมพี เจาะจงจากสงฆ์ว่า เราจักถวายทักขิณาที่ถึงสงฆ์ จึงเรียนว่า ขอท่านจงให้ภิกษุรูปหนึ่ง. อุบาสกนั้นได้ภิกษุทุศีลรูปหนึ่ง พาไปสู่สถานที่นั่ง ปูอาสนะผูกเพดานเบื้องบน บูชาด้วยของหอม ธูป และดอกไม้ ล้างเท้าทาด้วยน้ำมัน ได้ถวายไทยธรรมด้วยความยำเกรงในสงฆ์ ดุจทำความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า.
ภิกษุรูปนั้นมาสู่ประตูเรือนว่า ท่านจงให้จอบเพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติวัดในภายหลังภัต. อุบาสกนั่งเขี่ยจอบด้วยเท้าแล้วให้ว่า จงรับไป. มนุษย์ทั้งหลายได้กล่าวกะเขานั้นว่า ท่านได้ทำสักการะแก่ภิกษุนี้แต่เช้าตรู่เทียวไม่อาจเพื่อจะกล่าว บัดนี้ แม้สักว่า อุปจาระ (มรรยาท) ก็ไม่มีนี้ชื่อว่าอะไร ดังนี้.
อุบาสกกล่าวว่า แน่ะนาย ความยำเกรงนั้นมีต่อสงฆ์ ไม่มีแก่ภิกษุนั้น.
ถามว่า ก็ใครย่อมยังทักขิณาที่ถวายสงฆ์ ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอให้หมดจด.
ตอบว่า พระมหาเถระ ๘๐ รูปมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น ย่อมให้หมดจดได้.
อนึ่ง พระเถระทั้งหลายปรินิพพานนานแล้ว พระขีณาสพทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่พระเถระเป็นต้น จนถึงทุกวันนี้ ย่อมให้หมดจดเหมือนกัน.
ในบทนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ แต่ว่า เราไม่กล่าวปาฏิบุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมีอยู่ สงฆ์ปัจจุบันนี้มีอยู่ สงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคตก็มีอยู่ สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ในปัจจุบันนี้ สงฆ์ในปัจจุบันนี้ก็ไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคต พึงกล่าวตามสมัยนั้นเท่านั้น. ก็สมณปุถุชนซึ่งนำไปเฉพาะจากสงฆ์ เป็นปาฏิบุคคลิกโสดาบัน เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ทานที่ให้ในสมณะผู้ปุถุชน มีผลมากกว่า.
ในคำแม้มีอาทิว่า โสดาบันอันทายกถือเอาเจาะจง เป็นปาฏิบุคคลิก สกทาคามีก็มีนัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่ เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ให้ทานแม้ในภิกษุทุศีลซึ่งเจาะจงถือเอา มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายในพระขีณาสพนั้นแล.
ก็คำใดที่กล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก ทานที่ให้ในผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่ คำนั้นพึงละนัยนี้แล้ว พึงเห็นในจตุกะนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักขิณานี้มี ๔ อย่าง.
บทว่า ทายกโต วิสุชฺฌติ ความว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ โดยความมีผลมาก. อธิบายว่า เป็นทาน มีผลมาก.
บทว่า กลฺยาณธมฺโม ได้แก่ มีสุจิธรรม.
บทว่า ปาปธมฺโม คือ มีธรรมอันชั่ว. ก็พึงแสดงพระเวสสันดรมหาราชในบทนี้ว่า ทักขิณบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก. ก็พระเวสสันดรมหาราชนั้นทรงให้พระโอรสพระธิดาแก่พราหมณ์ชูชกแล้ว ยังแผ่นดินให้หวั่นไหว. พึงแสดงนายเกวัฏฏะผู้อาศัยอยู่ที่ประตูปากน้ำกัลยาณนทีในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก.
ได้ยินว่า เกวัฏฏะนั้นได้ถวายบิณฑบาตแก่พระทีฆโสมเถระถึง ๓ ครั้ง นอนบนเตียงเป็นที่ตายได้กล่าวว่า บิณฑบาตที่ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าทีฆโสมเถระย่อมยกข้าพเจ้าขึ้น.
พึงแสดงถึงพรานผู้อยู่ในวัฑฒมานะในบทว่า เนว ทายกโต นี้.
ได้ยินว่า นายพรานนั้นเมื่อให้ทักขิณาอุทิศถึงผู้ตายได้ให้แก่ภิกษุผู้ทุศีลรูปหนึ่งนั้นแลถึง ๓ ครั้ง. ในครั้งที่ ๓ อมนุษย์ร้องขึ้นว่า ผู้ทุศีลปล้นฉัน ดังนี้. ในเวลาที่พรานนั้นถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่งมาถึง ผลของทักขิณาก็ถึงแก่เขา.
พึงแสดงอสทิสทานในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ ฝ่ายทายกเท่านั้น.
ในคำว่า ทักขิณานั้นบริสุทธิ์ฝ่ายทายกนี้ พึงทราบความบริสุทธิ์แห่งทานในบททั้งปวง โดยทำนองนี้ว่า ชาวนาผู้ฉลาดได้นาแม้ไม่ดี ไถในสมัยกำจัดฝุ่น ปลูกพืชที่มีสาระ ดูแลตลอดคืนวัน เมื่อไม่ถึงความประมาท ย่อมได้ข้าวดีกว่านาที่ไม่ดูแลของคนอื่นชื่อฉันใด ผู้มีศีลแม้ให้ทานแก่ผู้ทุศีลย่อมได้ผลมากฉันนั้น.
ในบทว่า วีตราโค วีตราเคสุ นี้ พระอนาคามีชื่อว่าปราศจากราคะ ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากราคะโดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะฉะนั้น ทานที่พระอรหันต์ให้แก่พระอรหันต์นั้นแหละ เป็นทานอันเลิศ. เพราะเหตุไร. เพราะไม่มีความปรารถนาภพของผู้อาลัยในภพ.
ถามว่า พระขีณาสพย่อมไม่เชื่อผลทานมิใช่หรือ.
ตอบว่า บุคคลทั้งหลายเชื่อผลทานที่เป็นเช่นกับพระขีณาสพเทียว ไม่มี. ก็กรรมที่พระขีณาสพทำแล้ว ไม่เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะเป็นผู้ปราศจากฉันทราคะแล้ว ย่อมตั้งอยู่ในฐานกิริยา ด้วยเหตุนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า ทานของพระขีณาสพนั้นมีผลเลิศ ดังนี้.
ถามว่า ก็ทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรเถระมีผลมาก หรือว่าทานที่พระสารีบุตรเถระถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผลมาก.
ตอบว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรมีผลมาก. เพราะเหตุไร. เพราะบุคคลอื่นเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าสามารถให้ผลทานให้เกิดขึ้นไม่มี. จริงอย่างนั้น ทานย่อมให้ผลแก่ผู้อาจเพื่อทำด้วยสัมปทา ๔ ในอัตภาพนั้นแล.
สัมปทาในสูตรนี้มีดังนี้ คือ ความที่ไทยธรรมไม่เบียดเบียนผู้อื่นเกิดขึ้น โดยธรรม โดยชอบ, ความที่เจตนาด้วยอำนาจแห่งบุพเจตนาเป็นต้น เป็นธรรมใหญ่, ความเป็นผู้มีคุณอันเลิศยิ่ง โดยความเป็นพระขีณาสพ, ความถึงพร้อมด้วยวัตถุ โดยความเป็นผู้ออกแล้วจากนิโรธในวันนั้น ดังนี้.
จบอรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตรที่ ๑๒
จบวิภังควรรคที่ ๔
-----------------------------------------------------
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย.
นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่งแม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์ เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้.
------------------------------
ถ้าสาธุชนเห็นตามคลิปต้นกระทู้ ไม่เข้าวัด ไม่บำรุงสงฆ์ เห็นทีพระศาสนาจะอยู่ไม่ถึง 5000 ปี ดังพุทธประสงค์ทีเดียวเชียว
ข้อความเบื้องต้น
อ่านเนื้อหาใน ==> [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=706
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว
ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย.
นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่งแม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์ เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้.
...
...
...
บทว่า กาสาวกณฺฐา คือ ผู้มีชื่อว่ามีผ้ากาสาวะพันคอ.
ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นพันผ้ากาสาวะผืนหนึ่งที่มือหรือที่คอเที่ยวไป. ก็ประตูบ้าน แม้กรรมมีบุตรภริยากสิกรรมและวณิชกรรมเป็นต้นทั้งหลายของภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้น ก็จักเป็นปกติเทียว. ไม่ได้ตรัสว่า สงฆ์ทุศีล ในบทนี้ว่า คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น จริงอยู่ สงฆ์ชื่อว่าทุศีลไม่มี แต่อุบาสกทั้งหลายชื่อว่าทุศีล จักถวายทานด้วยคิดว่า เราจักถวายเฉพาะสงฆ์ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น.
แม้ทักขิณาที่ถวายสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า มีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณ ด้วยประการฉะนี้. แม้ทักขิณาที่ให้ในสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอ ตรัสว่ามีผลนับไม่ได้ ด้วยการนับคุณเหมือนกัน. ก็ทักขิณาที่ถึงสงฆ์ย่อมมีแก่บุคคลผู้อาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์. แต่ความยำเกรงในสงฆ์ ทำได้ยาก.
ก็บุคคลใดเตรียมไทยธรรมด้วยคิดว่าเราจักให้ทักขิณาถึงสงฆ์ ไปวิหารแล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงให้พระเถระรูปหนึ่งเจาะจงสงฆ์เถิด.
ลำดับนั้น ได้สามเณรจากสงฆ์ย่อมถึงความเป็นประการอื่นว่า เราได้สามเณรแล้ว ดังนี้. ทักขิณาของบุคคลนั้นย่อมไม่ถึงสงฆ์. เมื่อได้พระมหาเถระแม้เกิดความโสมนัสว่า เราได้มหาเถระแล้ว ดังนี้ ทักขิณาก็ไม่ถึงสงฆ์เหมือนกัน.
ส่วนบุคคลใดได้สามเณร ผู้อุปสมบทแล้ว ภิกษุหนุ่มหรือเถระ ผู้พาลหรือบัณฑิต รูปใดรูปหนึ่งจากสงฆ์แล้ว ไม่สงสัย ย่อมอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ว่า เราจะถวายสงฆ์ ทักขิณาของบุคคลนั้นเป็นอันชื่อว่าถึงสงฆ์แล้ว.
ได้ยินว่า พวกอุบาสกชาวสมุทรฝั่งโน้นกระทำอย่างนี้.
ก็ในอุบาสกเหล่านั้นคนหนึ่งเป็นเจ้าของวัด เป็นกุฎุมพี เจาะจงจากสงฆ์ว่า เราจักถวายทักขิณาที่ถึงสงฆ์ จึงเรียนว่า ขอท่านจงให้ภิกษุรูปหนึ่ง. อุบาสกนั้นได้ภิกษุทุศีลรูปหนึ่ง พาไปสู่สถานที่นั่ง ปูอาสนะผูกเพดานเบื้องบน บูชาด้วยของหอม ธูป และดอกไม้ ล้างเท้าทาด้วยน้ำมัน ได้ถวายไทยธรรมด้วยความยำเกรงในสงฆ์ ดุจทำความนอบน้อมแด่พระพุทธเจ้า.
ภิกษุรูปนั้นมาสู่ประตูเรือนว่า ท่านจงให้จอบเพื่อประโยชน์แก่การปฏิบัติวัดในภายหลังภัต. อุบาสกนั่งเขี่ยจอบด้วยเท้าแล้วให้ว่า จงรับไป. มนุษย์ทั้งหลายได้กล่าวกะเขานั้นว่า ท่านได้ทำสักการะแก่ภิกษุนี้แต่เช้าตรู่เทียวไม่อาจเพื่อจะกล่าว บัดนี้ แม้สักว่า อุปจาระ (มรรยาท) ก็ไม่มีนี้ชื่อว่าอะไร ดังนี้.
อุบาสกกล่าวว่า แน่ะนาย ความยำเกรงนั้นมีต่อสงฆ์ ไม่มีแก่ภิกษุนั้น.
ถามว่า ก็ใครย่อมยังทักขิณาที่ถวายสงฆ์ ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอให้หมดจด.
ตอบว่า พระมหาเถระ ๘๐ รูปมีพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเป็นต้น ย่อมให้หมดจดได้.
อนึ่ง พระเถระทั้งหลายปรินิพพานนานแล้ว พระขีณาสพทั้งหลายที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่พระเถระเป็นต้น จนถึงทุกวันนี้ ย่อมให้หมดจดเหมือนกัน.
ในบทนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ แต่ว่า เราไม่กล่าวปาฏิบุคคลิกทานว่ามีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมีอยู่ สงฆ์ปัจจุบันนี้มีอยู่ สงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคตก็มีอยู่ สงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ในปัจจุบันนี้ สงฆ์ในปัจจุบันนี้ก็ไม่พึงนำเข้าไปกับสงฆ์ซึ่งมีภิกษุมีผ้ากาสาวะพันคอในอนาคต พึงกล่าวตามสมัยนั้นเท่านั้น. ก็สมณปุถุชนซึ่งนำไปเฉพาะจากสงฆ์ เป็นปาฏิบุคคลิกโสดาบัน เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ทานที่ให้ในสมณะผู้ปุถุชน มีผลมากกว่า.
ในคำแม้มีอาทิว่า โสดาบันอันทายกถือเอาเจาะจง เป็นปาฏิบุคคลิก สกทาคามีก็มีนัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่ เมื่อบุคคลอาจเพื่อทำความยำเกรงในสงฆ์ ให้ทานแม้ในภิกษุทุศีลซึ่งเจาะจงถือเอา มีผลมากกว่าทานที่บุคคลถวายในพระขีณาสพนั้นแล.
ก็คำใดที่กล่าวว่า ดูก่อนมหาบพิตร ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลแล มีผลมาก ทานที่ให้ในผู้ทุศีลหามีผลมากอย่างนั้นไม่ คำนั้นพึงละนัยนี้แล้ว พึงเห็นในจตุกะนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ความบริสุทธิ์แห่งทักขิณานี้มี ๔ อย่าง.
บทว่า ทายกโต วิสุชฺฌติ ความว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ โดยความมีผลมาก. อธิบายว่า เป็นทาน มีผลมาก.
บทว่า กลฺยาณธมฺโม ได้แก่ มีสุจิธรรม.
บทว่า ปาปธมฺโม คือ มีธรรมอันชั่ว. ก็พึงแสดงพระเวสสันดรมหาราชในบทนี้ว่า ทักขิณบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายทายก. ก็พระเวสสันดรมหาราชนั้นทรงให้พระโอรสพระธิดาแก่พราหมณ์ชูชกแล้ว ยังแผ่นดินให้หวั่นไหว. พึงแสดงนายเกวัฏฏะผู้อาศัยอยู่ที่ประตูปากน้ำกัลยาณนทีในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก.
ได้ยินว่า เกวัฏฏะนั้นได้ถวายบิณฑบาตแก่พระทีฆโสมเถระถึง ๓ ครั้ง นอนบนเตียงเป็นที่ตายได้กล่าวว่า บิณฑบาตที่ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าทีฆโสมเถระย่อมยกข้าพเจ้าขึ้น.
พึงแสดงถึงพรานผู้อยู่ในวัฑฒมานะในบทว่า เนว ทายกโต นี้.
ได้ยินว่า นายพรานนั้นเมื่อให้ทักขิณาอุทิศถึงผู้ตายได้ให้แก่ภิกษุผู้ทุศีลรูปหนึ่งนั้นแลถึง ๓ ครั้ง. ในครั้งที่ ๓ อมนุษย์ร้องขึ้นว่า ผู้ทุศีลปล้นฉัน ดังนี้. ในเวลาที่พรานนั้นถวายแก่ภิกษุผู้มีศีลรูปหนึ่งมาถึง ผลของทักขิณาก็ถึงแก่เขา.
พึงแสดงอสทิสทานในคำนี้ว่า ทักขิณาบางอย่างบริสุทธิ์ ฝ่ายทายกเท่านั้น.
ในคำว่า ทักขิณานั้นบริสุทธิ์ฝ่ายทายกนี้ พึงทราบความบริสุทธิ์แห่งทานในบททั้งปวง โดยทำนองนี้ว่า ชาวนาผู้ฉลาดได้นาแม้ไม่ดี ไถในสมัยกำจัดฝุ่น ปลูกพืชที่มีสาระ ดูแลตลอดคืนวัน เมื่อไม่ถึงความประมาท ย่อมได้ข้าวดีกว่านาที่ไม่ดูแลของคนอื่นชื่อฉันใด ผู้มีศีลแม้ให้ทานแก่ผู้ทุศีลย่อมได้ผลมากฉันนั้น.
ในบทว่า วีตราโค วีตราเคสุ นี้ พระอนาคามีชื่อว่าปราศจากราคะ ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากราคะโดยสิ้นเชิงทีเดียว เพราะฉะนั้น ทานที่พระอรหันต์ให้แก่พระอรหันต์นั้นแหละ เป็นทานอันเลิศ. เพราะเหตุไร. เพราะไม่มีความปรารถนาภพของผู้อาลัยในภพ.
ถามว่า พระขีณาสพย่อมไม่เชื่อผลทานมิใช่หรือ.
ตอบว่า บุคคลทั้งหลายเชื่อผลทานที่เป็นเช่นกับพระขีณาสพเทียว ไม่มี. ก็กรรมที่พระขีณาสพทำแล้ว ไม่เป็นกุศลหรืออกุศล เพราะเป็นผู้ปราศจากฉันทราคะแล้ว ย่อมตั้งอยู่ในฐานกิริยา ด้วยเหตุนั้น บัณฑิตทั้งหลายจึงกล่าวว่า ทานของพระขีณาสพนั้นมีผลเลิศ ดังนี้.
ถามว่า ก็ทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรเถระมีผลมาก หรือว่าทานที่พระสารีบุตรเถระถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีผลมาก.
ตอบว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่าทานที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้แก่พระสารีบุตรมีผลมาก. เพราะเหตุไร. เพราะบุคคลอื่นเว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่าสามารถให้ผลทานให้เกิดขึ้นไม่มี. จริงอย่างนั้น ทานย่อมให้ผลแก่ผู้อาจเพื่อทำด้วยสัมปทา ๔ ในอัตภาพนั้นแล.
สัมปทาในสูตรนี้มีดังนี้ คือ ความที่ไทยธรรมไม่เบียดเบียนผู้อื่นเกิดขึ้น โดยธรรม โดยชอบ, ความที่เจตนาด้วยอำนาจแห่งบุพเจตนาเป็นต้น เป็นธรรมใหญ่, ความเป็นผู้มีคุณอันเลิศยิ่ง โดยความเป็นพระขีณาสพ, ความถึงพร้อมด้วยวัตถุ โดยความเป็นผู้ออกแล้วจากนิโรธในวันนั้น ดังนี้.
จบอรรถกถาทักขิณาวิภังคสูตรที่ ๑๒
จบวิภังควรรคที่ ๔
-----------------------------------------------------
ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายแก่สงฆ์ ทรงมุ่งหมายอะไร. ตรัสอย่างนั้น เพื่อชนรุ่นหลังและเพื่อทรงให้เกิดความยำเกรงในสงฆ์ด้วย.
นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า เราไม่ดำรงอยู่นาน แต่ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ในพระภิกษุสงฆ์ ชนรุ่นหลังจงยังความยำเกรงในสงฆ์ให้เกิดขึ้น ดังนี้ จึงทรงห้ามถึง ๓ ครั้งแล้ว ทรงให้ถวายสงฆ์. ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาจึงทรงให้ถวายผ้าใหม่คู่หนึ่งแม้ที่พระนางจะถวายแด่พระองค์ให้แก่สงฆ์ ทักขิไณยบุคคลชื่อว่าสงฆ์ เพราะฉะนั้น ชนรุ่นหลังยังความยำเกรงให้เกิดขึ้นในสงฆ์ จักสำคัญปัจจัยสี่เป็นสิ่งพึงถวาย สงฆ์เมื่อไม่ลำบากด้วยปัจจัยสี่ จักเรียนพระพุทธวจนะทำสมณธรรม เมื่อเป็นอย่างนั้น ศาสนาของเราจักตั้งอยู่ถึง ๕,๐๐๐ ปี ดังนี้.
------------------------------
ถ้าสาธุชนเห็นตามคลิปต้นกระทู้ ไม่เข้าวัด ไม่บำรุงสงฆ์ เห็นทีพระศาสนาจะอยู่ไม่ถึง 5000 ปี ดังพุทธประสงค์ทีเดียวเชียว
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
สุจินต์เข้าใจเรื่อง “ทาน” แค่ไหน ?
วัตถุประสงค์ ทำความเข้าใจเรื่องทาน ความสำคัญเรื่องทาน
ความสำคัญเรื่องทาน อ่านจากพระสูตรและอรรถกถา
อุทายีสูตร : ว่าด้วยพระอุทายี
ท่านพระอานนท์ได้เห็นท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่
จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอุทายีมีคฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมนั่งแสดงธรรมอยู่”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นมิใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่ผู้อื่นพึงตั้งธรรม ๕ ประการไว้ในตนแล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น ธรรม ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุพึงตั้งใจว่า
๑. เราจักแสดงธรรมไปตามลำดับ๑
๒. เราจักแสดงอ้างเหตุ
๓. เราจักแสดงธรรมอาศัยความเอ็นดู
๔. เราจักเป็นผู้ไม่เพ่งอามิสแสดงธรรม
๕. เราจักไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น
อานนท์ การแสดงธรรมแก่ผู้อื่นไม่ใช่ทำได้ง่าย ภิกษุเมื่อจะแสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม ๕ ประการนี้ไว้ในตนแล้วจึงแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=22&A=7431&w=%CD%D8%B7%D2%C2
๑แสดงธรรมไปตามลำดับ หมายถึงแสดงธรรมให้มีลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ เช่น แสดงเรื่องทานเป็นลำดับที่ ๑ แสดงเรื่องศีลเป็นลำดับที่ ๒ แสดงเรื่องสวรรค์เป็นลำดับที่ ๓
อีกนัยหนึ่ง หมายถึงแสดงธรรมให้ครอบคลุมเนื้อหาสาระตามที่ตั้งสุตตบท หรือคาถาบทไว้ (องฺ.ปญฺจก.อ. ๓/๑๕๙/๖๐)
***
สุจินต์พูดเกี่ยวกับวัดอย่างไร พูดกดหรือยกย่องคนที่มีความประสงค์ไปทำบุญให้ทานที่วัดอย่างไร อ่านจากคลิปที่แกะตัวอักษรมานี้
ที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=KpxYtVxDvxQ
ผู้รวบรวมได้ฟังคลิปยูทู้ป มีผู้บรรยายคือ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
มีความเห็นว่า สุจินต์กล่าวไม่ตรงตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีในพระไตรปิฎก
กล่าวคือ สุจินต์ มักจะพูดในลักษณะยกตนเองว่าเป็นผู้มีความรู้ในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคแสดงไว้ในพระไตรปิฎกอย่างละเอียดลึกซึ้งในทุกคำพูดของพระพุทธเจ้า เมื่อใดที่มีการสนทนาสอบถามผู้ที่เข้าร่วมฟังการบรรยายที่ทีมงานของคุณสุจินต์จัดให้มีขึ้น สุจินต์มักใช้วิธีตั้งคำถามคล้ายกับไล่ต้อนสอบถาม ให้คู่สนทนาตอบคำถามตามที่ตนต้องการ เช่น ถามว่า ไปวัด ไปทำอะไร ไปทำไม ไปแล้วได้บุญไหม การได้บุญจำเป็นต้องไปให้ทานกับพระภิกษุที่วัดแห่งใดแห่งหนึ่งไหม
ถ้าผู้ถามตอบไม่ตรงตามที่ตนต้องการก็มักจะใช้วิธีพูดกด ว่า ต้องเป็นคนที่รู้ธรรมจริง ธรรมของพระผู้มีพระภาคละเอียดลึกซึ้ง ต้องเป็นคนตรง
เช่น “...ก็รู้สึกว่าที่ทุกคน เป็นคนที่จริงใจ และก็ตรง อันนี้สำคัญที่สุดนะคะ เพราะเหตุว่าถ้าเราไม่ตรง ต่อความถูกต้อง เราก็ผิดโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถูกหรือผิด เราเอาตัวของเราตัดสินได้ไหม หรือเอาใครก็ได้ตัดสินได้ไหม...”
ประเด็นการยกคำพูดคำว่าต้องเป็นคนตรงนี้ ผู้เขียนเห็นด้วย นั่นคือ ต้องซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย ซื่อตรงต่อตนเอง และ ซื่อตรงต่อผู้อื่น มีคำถามว่า แล้วสุจินต์เป็นคนที่ตรงต่อพระธรรมวินัยจริงหรือไม่?
ในกรณีการอธิบายเผยแพร่คำสอนในพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันเป็นสากลว่า พระไตรปิฎกคือที่รวบรวมพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคและพระอรหันตสาวกได้แสดงไว้ คือเป็นเสมือนหนึ่งตัวแทนของพระพุทธเจ้า ดังนั้นคุณสุจินต์ หรือ ใคร ๆ ก็ตาม ที่อ้างอิงคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ต้องซื่อตรงต่อธรรมวินัยที่มีในพระไตรปิฎก อันประกอบด้วยพุทธพจน์ รวมถึงคำสอนของพระอรหันตสาวก ซึ่งไม่ขัดแย้งกันกับคำสอนของพระพุทธเจ้า
คำสอนในพระไตรปิฎก แยกออกเป็นหมวดหมู่ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก รวบรวมคำสอนไว้จำนวนมาก มีผู้ชำนาญการในพระไตรปิฎกแยกออกเป็น หมวดหมู่วินัย หมวดหมู่ธรรมและอภิธรรม หรือบางท่านสรุปลงให้สั้นเข้าก็คือ ทาน ศีล ภาวนา หรือบางท่านก็จัดเป็น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ
ในที่นี้ ผู้เขียน จะขอกล่าวถึงเรื่องของการให้ทาน
การให้ทานนี้ พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างไร คุณสุจินต์ พูดไว้อย่างไร สุจินต์พูดได้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้หรือไม่ ถ้าสุจินต์พูดไม่ตรงคือขัดแย้งกับพระพุทธเจ้า สุจินต์เป็นคนที่ซื่อตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ ผู้ที่ศึกษาควรเชื่อถือใคร ผู้ที่เดินตามสุจินต์ควรทำอย่างไร?
ตัวอย่างพระตถาคตแสดงธรรมเรื่องการให้ทานไม่จำเป็นต้องเป็นพระภิกษุเป็นนักบวชนอกศาสนาก็ไม่ควรตระหนี่ทาน คือ
อุปาลิวาทสูตร : ว่าด้วยวาทะของคหบดีชื่ออุบาลี
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“คหบดี ตระกูลของท่านเป็นดุจบ่อน้ำของพวกนิครนถ์มานานแล้ว ท่านควรเข้าใจว่า ควรให้บิณฑบาตแก่นิครนถ์เหล่านั้นผู้เข้าไปหาต่อไปเถิด”
อุบาลีคหบดีกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ด้วยพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับข้าพระองค์อย่างนี้ว่า
“ตระกูลของท่านเป็นดุจบ่อน้ำของพวกนิครนถ์มานานแล้ว ท่านควรเข้าใจว่า ควรให้บิณฑบาตแก่นิครนถ์เหล่านั้นผู้เข้าไปหาต่อไปเถิด”
นี้ ข้าพระองค์ยิ่งมีใจยินดีชื่นชมต่อพระผู้มีพระภาคมากยิ่งขึ้น
ที่มา : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=13&siri=6
***
ภาพจากคลิปต่อไปนี้ เป็นการสนทนาถามตอบระหว่างสุจินต์กับสตรี
https://www.youtube.com/watch?v=ILL7xpoWE0s
ผู้อ่าน ฟังสุจินต์พูดอย่างนี้ ตีความหมายว่าอย่างไร ขัดแย้งกับคำสอนของพระตถาคตหรือไม่
ขอให้ผู้อ่านศึกษาเปรียบเทียบจากพระพุทธพจน์ต่อไปนี้
วัจฉโคตตสูตร : พระตถาคตไม่หวงกั้นการให้ทาน การให้ทานกับสัตว์เล็กสัตว์น้อยก็เป็นทางมาแห่งบุญ
วัจฉโคตตสูตร : ว่าด้วยปริพาชกชื่อว่าวัจฉโคตร
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า วัจฉะ ชนเหล่าใดกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่า พึงให้ทานแก่เราเท่านั้น ฯลฯ
ทานที่ให้แก่สาวกของชนเหล่าอื่นไม่มีผลมาก ชนเหล่านั้นชื่อว่าไม่พูดตามที่เราพูด และชนเหล่านั้นชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่ดี ไม่เป็นจริง
วัจฉะ ผู้ใดห้ามบุคคลอื่นที่ให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง
เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง วัตถุ ๓ อย่าง อะไรบ้าง คือ
๑. ทำอันตรายแก่บุญของทายก(ผู้ให้)
๒. ทำอันตรายแก่ลาภของปฏิคาหก(ผู้รับ)
๓. ในเบื้องต้น ตัวเขาเองย่อมถูกกำจัดและถูกทำลาย
วัจฉะ ผู้ใดห้ามบุคคลอื่นที่ให้ทานอยู่ ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายแก่วัตถุ ๓ อย่าง
เป็นโจรดักปล้นวัตถุ ๓ อย่าง แต่เราเองกล่าวอย่างนี้ว่า
“ผู้ใดเทน้ำล้างภาชนะหรือน้ำล้างขันลงที่หมู่สัตว์ ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ่อน้ำครำหรือที่บ่อโสโครก ด้วยตั้งใจว่า หมู่สัตว์ที่อาศัยอยู่ในที่นั้นจงเลี้ยงชีพด้วยน้ำล้างภาชนะเป็นต้นนั้น เรากล่าวกรรมที่มีการเทน้ำล้างภาชนะเป็นต้นเหตุว่าเป็นที่มาแห่งบุญ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงในหมู่มนุษย์”
ศึกษาเพิ่มเติมที่พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับ มจร. เล่ม : ๒๐ ข้อ ๕๘ หน้า : ๒๒๑ – ๒๒๔
https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=20&siri=102
ตัวอย่างในครั้งพุทธกาลมีพระภิกษุผู้ก่ออธิกรณ์ ผู้ก่อความบาดหมาง ซึ่งเป็นกลุ่มพระภิกษุที่ทำผิดสิกขาบท ประพฤติไม่ตรงต่อพระธรรมวินัย พระตถาคตท่านทรงแนะนำอนาถบิณฑิกเศรษฐีและนางวิสาขาว่าควรให้ทานในภิกษุกลุ่มนี้หรือไม่ หวงกั้นหรือไม่
อนาถบิณฑิกเศรษฐี (และ นางวิสาขา) สอบถามพระพุทธเจ้าเรื่องการถวายทาน
“พระพุทธเจ้าข้า ทราบว่า พวกภิกษุชาวกรุงโกสัมพี ผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อเรื่องอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้นกำลังเดินทางมาสู่กรุงสาวัตถี ข้าพระองค์จะปฏิบัติต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างไร พระพุทธเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“คหบดี ท่านจงถวายทานในภิกษุทั้งสองฝ่าย ครั้นแล้วจงฟังธรรมในภิกษุทั้งสองฝ่าย
แล้วจงพอใจความเห็น ความถูกใจ ความชอบใจ และความเชื่อถือของพวกภิกษุฝ่ายธรรมวาทีเท่านั้น”
CR: https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?E=&B=5&A=9789&w=%CD%B9%D2%B6%BA%D4&option=2
ทักขิณาวิภังคสูตร : ว่าด้วยการจำแนกทักษิณาทาน
อานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าโคตรภูภิกษุ มีผ้ากาสาวะพันคอเป็นผู้ทุศีล มีธรรมเลวทราม
ชนทั้งหลายจักถวายทานเจาะจงพระสงฆ์ได้ในภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้น
แม้ในเวลานั้น เราก็ยังกล่าวทักษิณาที่ถวายในสงฆ์ว่า มีอานิสงส์นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้
แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่า มีผลมากกว่าทักษิณาที่ถวายในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย
***
“อานนท์ ในทักษิณาปาฏิปุคคลิก ๑๔ ประการนั้น
บุคคลให้ทานในสัตว์ ดิรัจฉานแล้ว พึงหวังทักษิณาอันมีอานิสงส์ ๑๐๐ อัตภาพ
ให้ทานในปุถุชนผู้ทุศีลแล้วพึงหวังทักษิณาอันมีอานิสงส์ ๑,๐๐๐ อัตภาพ
...
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/m_read.php?B=14&A=12459&w=%E2%A4%B5%C3%C0%D9
****
วิเคราะห์ และสรุป
สุจินต์ ถามว่า มีวัดไว้ทำไม ? ทำบุญให้ทานมีแต่ที่วัดหรือ ไปวัดแล้วได้บุญนั้นเป็นความคิดที่ถูกหรือ?
ผู้รวบรวมเข้าใจว่า การที่สุจินต์ถามเช่นนี้ก็เพื่อให้ผู้ฟัง คู่สนทนาคิดวิเคราะห์ แสดงเหตุผล
แต่การถามเช่นนี้คล้ายกับเป็นการทำให้เกิดความสับสนไขว้เขวของคู่สนทนา การพูดของสุจินต์กำกวมทำให้ผู้ฟังไขว้เขว เข้าข่ายเป็นการด้อยค่าการไปทำบุญให้ทานที่วัดด้วยคำต่อท้ายที่ว่า คิดว่าการเดินเข้าไปวัด (ไปให้ทานที่วัด) เป็นบุญนั้นถูกหรือ ?
เรื่องการให้ทานกับพระภิกษุที่วัด ควรอธิบายให้พุทธศาสนิกชนเข้าใจตามแนวคำสอนของพระตถาคต ว่า
วัด เป็นสถานที่อยู่อาศัยสำหรับพระภิกษุ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เรียนรู้พระธรรมวินัยรักษาสิกขาบท และบางพวกก็ย่อหย่อนไม่รักษาสิกขาบท ไม่เรียนรู้พระธรรมวินัย วัดเป็นที่อยู่อาศัยของทั้งพระภิกษุผู้มีศีลและผู้ทุศีล ซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
การให้ทานกับภิกษุผู้มีศีลและทุศีลต่างก็เป็นทางมาแห่งบุญ แต่พระตถาคตแสดงไว้ว่ามีอานิสงส์แตกต่างกัน
สุจินต์เข้าใจเรื่องการให้ทานดังตัวอย่างคำพูดที่ทำเป็นภาพอักษรจากคลิป (ข้างบน) อย่างนี้ ชื่อว่า แสดงธรรมไปตามลำดับดั่งที่พระตถาคตได้แสดงไว้หรือไม่
ความเห็นสุจินต์นี้จะเป็นเหตุปัจจัยให้ผู้เดินตามได้เรียนรู้ทาน ศีล ภาวนา ไปตามลำดับที่ถูกต้องหรือไม่
ผู้รวบรวม ไม่มีวัตถุประสงค์ให้พระภิกษุทุศีล นะครับ
ขอให้ผู้ที่เข้ามาเขียน นำเสนอให้เป็นไปตามหลักอิงอรรถ อิงธรรม อิงวินัย
คลิปยูทู้ปเรื่องอื่น ๆ ที่สุจินต์พูด แสดง ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของทาน ของดไว้ก่อนนะครับ
ขอบคุณครับ