ค่าแรง 600 บาท/วัน จะเอาเงินมาจากไหน ?

กระทู้คำถาม
ถีบขาคู่

ไม่น่าเชื่อนะครับ  วันก่อนเห็นแนะนำให้อ่านหนังสือ ทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 อยู่เลย
บอกเพื่อเพิ่มพูนความรู้ อ่านแล้วได้ประโยชน์  

ไม่น่าใช่

ถ้าเพิ่มความรู้จริง  มีประโยบน์จริง  คงไม่พูดออกมาว่า  จะเอาเงินมาจากไหน
แสดงว่าไม่เคยอ่าน  ไม่ได้อ่านนั่นแหละ   แค่อวด

อย่างเคย
ถีบขาคู่

.
สวีเดน  มีระบบการปกครองเหมือนไทย    มีอาณาเขตน้อยกว่าไทย  มีประชากรน้อยกว่าไทย   แต่จีดีพีสวีเดนสูงกว่าไทย 2 เท่า
ค่าแรงขั้นต่ำของเขา  เกือบห้าร้อยบาทต่อชั่วโมง    เก็บภาษีสูงสุดเกือบ 60%    

ทำไมเขาทำได้ ?                 

เรื่องแบบนี้  ง่ายมากครับ
ถ้าเศรษฐกิจดี   ธุรกิจมีกำไร  ก็สามารถจ่ายค่าแรงขั้นต่ำสูง ๆ ได้   อย่าว่า 600/วันเลย  วันละพันยังไหว
ประชาชนมีรายได้สูง  ก็มีรายได้เพียงพอต่อการจ่ายภาษี   ทั้งภาคเอกชน  ทั้งภาครัฐ   ไม่ต้องมีคำถามว่าจะเอาเงินมาจากไหน

แต่ถ้าเศรษฐกิจห่วยแตก  เอกชนบ่นมาแปดปี  แต่ไม่กล้าโวยวายมากนักเพราะกลัวผลกระทบ
รัฐบาลคิดได้แค่อาศัยเงินงบประมาณ  งบประมาณไม่พอก็กู้   กู้จนหนี้ท่วม
อย่าว่าค่าแรง 400 ที่หาเสียงไว้เลย   แค่สามร้อยของเดิม  ก็แทบไม่ไหว
ธุรกิจไม่มีกำไร  จะเอาที่ไหนมาจ่ายค่ารแง     ค่าแรงต่ำจะเอาที่ไหนไปจ่ายภาษี  รัฐก็มีงบประมาณไม่พอ  ขอกู้ตะบัน

คิดไม่ได้  ทำไม่เป็น   หนี้ถึงท่วมไปจะ 12 ล้านล้านบาทแล้ว
ถีบขาคู่

.

ที่ควรถาม   ไม่ใช่  จะเอาเงินมาจากไหน    แต่คือควรถามว่า  จะทำไงให้เศรษฐกิจดีมีเงินจ่ายค่าแรงสูง ๆ ได้

เริ่มที่ภาครัฐก่อนดีไหม  เพราะประเทศไทยเปลืองงบประมาณกับภาครัฐเกินไปจริง ๆ
งบประมาณประจำปีเกือบ 80%  หมดไปกับค่าใช้จ่ายภาครัฐ  เหลือเป็นเงินงบประมาณเพื่อการลงทุนแค่ 20% กว่า ๆ เท่านั้น

ประเทศไทยเป็นประเทศเตี้ยอุ่มค่อมรัฐราชการ
ข้าราชการสองล้านกว่าคน  กับ  ประชาชนอีกหกสิบกว่าล้าน  เทียบสัดส่วนงบประมาณดูสิ   ปรนเปรออะไรนักหนา

ลดข้าราชการลงสักครึ่ง  ปฏิรูปขนานใหญ่   ประเทศจะมีงบประมาณเหลือเฟือในการบริหาร  ปฏิรูป  แก้ไขเรื่องต่าง ๆ

พวกติดกรอบ  ติดวิธีคิด วิธีปฏิบัติแบบราชการ   อย่าเอาเข้ามาบริหารบ้านเมือง    เพราะตกยุคล้าหลัง  มือไม่ถึง
ปรับปรุงแก้กฎ ระเบียบ  ให้ทันสมัย   ไม่ใช่คิดได้แค่ขายแผ่นดิน กับ กู้

ภาคเอกชนไทยเข้มแข็งมาก   ขอแค่กฎ กติกาที่เป็นธรรม  มีผู้คุ้มกฎที่ยุติธรรม
เปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเท่าเทียม   เศรษฐกิจก็จะขับเคลื่อนได้กว่านี้มาก  สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เพิ่มมหาศาล

ไม่ใช่ผูกขาดอยู่กับเจ้าสัวไม่กี่หน้า   ที่รวยเอา ๆ    มีพฤติกรรมต่างตอบแทนกันหลายวาระหลายโอกาส
คนไทยได้แต่ตาปริบ ๆ

ดูเรื่องบอลโลกเป็นตัวอย่าง  สี่ปีมีครั้ง  แต่ภาครัฐกว่าจะลงมือก็จวนเจียนจะถึงวัน  ทั้งที่มีเวลาเป็นปีสองปีในการดำเนินการ
สุดท้าย   อย่างเคย   แบมือขอเงินเจ้าสัว   แล้วต่างตอบแทนกันแบบไม่อาย  แถมกลายเป็นบุญเป็นคุณซะอีก

.

ค่าแรงจากร้อยกว่าบาท   ขึ้นเป็นสามร้อย    ในความเป็นจริงแล้ว  ไม่มีใครตายหรอกครับ
ธรุกิจขนาดใหญ่   ก็ได้รับการลดภาษึนิติบุคคล   เพื่อจะได้มีเงินจ่ายค่าแรงที่เพิ่มขึ้น
ที่ทำเป็นร้องน่ะ  เพราะไม่อยากจ่ายแพง  อยากได้แค่ลดภาษีเท่านั้นเอง

ธุรกิจขนาดกลาง  ขนาดย่อม   หากไม่โดนทิ้ง  เพราะเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเอื้อเจ้าสัว
ได้รับการดูแลสนับสนุนจากภาครัฐ   ก็อยู่ได้  มีกำไรพอจ่ายค่าแรงสามร้อย

แต่เพราะทำงานไม่เป็น  ไม่มีความรู้ความสามารถพอ    ด่าเรื่องค่าแรงสามร้อยนี่แหละกลบเกลื่อน

คิดดูสิครับ
ถ้าวันนั้น  พรรคเพื่อไทยไม่ทำเรื่องค่าแรงสามร้อย  ปริญญาตรี 15000     ตอนนี้ค่าแรงคนไทยจะแค่ไหน

ถ้าวันนี้  พรรคเพื่อไทยไม่คิดเรื่องค่าแรง 600     ปริญญาตรี 25000      ใครจะทำ   
ภาคแรงงานต้องเป็นประชาชนชั้นห้าตลอดไปงั้นเหรอ

ย้อนดูสิ   ค่าแรง 400    ปริญญาตรี 18000    ไม่ทำ  ไม่ทำเลย   เพราะไม่มีปัญญาทำ
ทั้งที่เป็นนโยบายในการหาเสียงไว้แท้ ๆ      ทำไม่รู้ไม่ชี้  อ้างคนพูดคนเสนอนโยบายไม่อยู่แล้ว  ทั้งที่เป็นเรื่องในนามพรรค

หมดความน่าเชื่อถือไปแล้ว

วันนี้  พอมีคนเสนอนโยบายค่าแรง 600    ปริญญาตรี 25000    และคนเสนอเป็นพรรคที่มีผลงาน  มีความเชื่อมั่นสูง
อาการดิ้นกระแด่วทางนโยบายจึงเกิดขึ้น

อ้างเศรษฐกิจจะพัง   ทั้งที่พังไปนานแล้ว  แต่ไม่กล้ายอมรับ
ถีบขาคู่

.
เศรษฐกิจวันนี้   ที่ว่าแย่   จ่ายค่าแรง 300    ปริญญาตรีหมื่นห้าได้
ถ้าภายในสี่ห้าปีข้างหน้า   มีรัฐบาลที่เก่ง   สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ดีกว่าทุกวันนี้แค่สองเท่า
ค่าแรง 600   ปริญญาตรีสองหมื่นห้าจึงไม่ใช่ปัญหา   แค่ว่าจะมีวิสัยทัศน์มองเห็นหรือเปล่า   เท่านั้นเอง

ไปอ่าน  capital in the twenty first century ซะ
จะได้เลิกถามอย่างไม่ฉลาดไร้รู้ซะที
ถีบขาคู่

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่