JJNY : สุดทน! รัฐบาลล้มเหลวชาวสวนยางภาคใต้| นักวิชาการซัดศธ.|"เพื่อไทย"ตอกรัฐปล่อย"กัญชาคาเฟ่"|'ปักกิ่ง'ประท้วงผุดนับสิบ

สุดทน! รัฐบาลล้มเหลว ชาวสวนยางภาคใต้ เตรียมยื่นหนังสือ นายกฯ แก้ราคาตกต่ำ 
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7386256
 
 
ตรัง ชาวสวนยางภาคใต้สุดทน นัดประชุมใหญ่ตัวแทนเกษตรกร เครือข่ายสถาบันเกษตรกร ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ ที่เกิดขึ้นมายาวนาน
 
27 พ.ย. 65 – ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนกลาง นำโดย นายประทบ สุขสนาน ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนกลาง นายสมปอง นวลสมศรี ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.กระบี่
 
นายบรรจงกิจ บุญโชติ ผู้จัดการสหกรณ์กองทุนสวนยางนิคมทุ่งสง จำกัด ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.นครศรีธรรมราช และนายถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องไปยังรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ที่เกิดขึ้นมายาวนาน
 
นายประทบ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ภาคใต้เกิดฝนตกชุก ปริมาณน้ำยางออกสู่ตลาดมีน้อย แต่ราคายางพารากลับตกต่ำ โดยน้ำยางสดเหลือประมาณ กก.ละ 37-40 บาท ส่วนราคาแผ่นรมควันชั้น 3 เหลือ กก.ละ 45-46 บาท ซึ่งเดือดร้อนหนักทั้งเกษตรกรและสหกรณ์ผู้แปรรูปยางพารา
 
จึงเรียกร้องให้ รัฐบาล รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และการยางแห่งประเทศไทย เร่งแก้ไขปัญหา พร้อมเตรียมนัดประชุมใหญ่ตัวแทนเกษตรกร และเครือข่ายสถาบันเกษตรกร 6 จังหวัดภาคใต้ตอนกลางที่ จ.ตรัง ในต้นเดือนหน้า

เพื่อหารือการเคลื่อนไหวเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องการแก้ปัญหาต่อไป และเตรียมเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมารับฟัง เอาไปประกาศเป็นนโยบาย พรรคไหนทำได้ จะรณรงค์ให้ชาวสวนยางเลือกพรรคนั้น

นายสมปอง กล่าวว่า ปัญหาราคายางพาราตกต่ำต่อเนื่อง ส่วนตัวมองว่าเกิดจากความล้มเหลวของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหาร หรือบอร์ดการยางแห่งประเทศไทยชุดเก่าที่ผ่านมา ไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหา
 
ทำให้ทุกโครงการที่ออกมาล้มเหลวทั้งหมด ไม่มีความต่อเนื่อง และไม่รับฟังข้อเสนอแนะ หรือข้อเรียกร้องของชาวสวน ที่เสนอไปทำไม่ถึง 10% เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในของผู้บริหารการยาง ที่เกี่ยวพันใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจผู้ส่งออกยาง และเป็นคนใกล้ชิดนักการเมือง ทำให้เข้ามาหาผลประโยชน์

นายถนอมเกียรติ กล่าวว่า วันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ ตัวแทนเกษตรกรและตัวแทนเกษตรกรภาคใต้ตอนกลางทั้ง 6 จังหวัด ประกอบด้วย ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต พัทลุง และนครศรีฯ จะมีการประชุมร่วมกัน เพื่อหารือกันในเรื่องปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีต่อไป
 
เพราะเกษตรกรเดือดร้อนหนัก ขณะที่รัฐบาลไม่ได้สนใจแก้ปัญหาอย่างจริง ตามที่ได้ประกาศไว้ รวมทั้งการยางแห่งประเทศไทยก็ล้มเหลวในการดำเนินโครงการต่างๆ ทุกโครงการ เบื้องต้นเตรียมทวงข้อเรียกร้องเดิมทั้ง 4 ข้อ
ประกอบด้วย 
 
1. โครงการชะลอการขายยางที่ผ่านมา ทั้งยางก้อนถ้วย น้ำยางสด และยางแผ่นรมควัน ปรากฏว่าขณะนี้ล้มเหลว หยุดโครงการลงชั่วคราว เพราะ กยท.ไม่มีเงินทำต่อแล้ว ไม่สามารถจะเก็บยางไว้หมุนเวียนได้แล้ว
 
2. โครงการสวนยาง SFC เพื่อสนับสนุนการจัดการป่าไม้ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งสินค้าทั้งไม้ยางและยางพาราแปรรูปสู่ตลาดสากล แต่ก็ล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สวนยางพารามีทั้งหมด 25 ล้านไร่ แต่ไม่มีความคืบหน้าในโครงการ ส่งออกไปตลาดยุโรปไม่ได้
 
3. โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ก็ล้มเหลว เดิมเป้าหมายจำนวน 100,000 ตัน แต่ทำได้จริงเพียงประมาณ 1 หมื่นตันเท่านั้น ก็หยุดชะงัก เป้าหมายจะนำยางมาใช้ภายในประเทศให้ได้ 35% ก็ล้มเหลว และกลายเป็นว่าเรื่องยางกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง
  
และ 4.โครงการส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยการสนับสนุนงบประมาณ เช่น เดิมจะส่งเสริมการเลี้ยงแพะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสวน ก็ปรากฏว่าล้มเหลวเช่นกัน



นักวิชาการ ซัด ศธ.ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ ชี้ใช้อำนาจบังคับให้เด็กรักชาติ  
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3696616

นักวิชาการ ซัด ศธ.ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ ชี้ใช้อำนาจบังคับให้เด็กรักชาติ
 
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เตรียมออกประกาศ ศธ.ให้แยก วิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ออกจาก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตาม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย โดยที่ผ่านมา ศธ. มีนโยบาย 8+1 โดยการกำหนดโครงสร้างเวลาเรียน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ แยกออกมา 1 รายวิชาอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความรักชาตินั้น ตนมองว่าการแยกวิชาประวัติศาสตร์ ของศธ.ครั้งนี้ เป็นการกระทำอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นการใช้อำนาจบังคับเพื่อให้เด็กรักชาติ ซึ่งผิดหลักการทางการศึกษา

นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาวิชาประวัติศาสตร์สอนให้เด็กรักชาติ รักบรรพชนแบบท่องจำ การสอนแบบนี้จะทำให้เด็กมีอคติกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีข้อดีคือเด็กจะสนใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากขึ้น แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไม ศธ.ถึงปรับปรุงวิชาประวิตศาสตร์แค่วิชาเดียว ทำไมไม่ปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่ควรจะปรับปรุงก่อนวิชาอื่นๆ
 
การแยกวิชาประวิตศาสตร์ออกมา เป็นการยัดเยียดความรักชาติให้เด็ก ซึ่งการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เป็นเรื่องไม่ปกติทางการศึกษา มองว่าการไปย้ำให้สอนและแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา อาจจะทำให้เด็กตั้งคำถามมากขึ้น และอาจจะต่อต้านมากกว่าเดิม และหันไปเรียนประวัติศาสตร์แบบอื่นๆ มากกว่า และหลักสูตรการเรียนในปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2544 แม้จะมีการปรับปรุงมาตลอด แต่หลักสูตรกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนมากกว่า 1,200 ชั่วโมง ถือว่าประเทศไทยมีชั่วโมงการเรียนมากเป็นอันดับต้นๆของโลก การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา ยิ่งจะทำให้เด็กต้องเรียนหนักขึ้น” นายสมพงษ์ กล่าว
 
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ดี ศธ.ควรจะปฏิรูปการเรียน โดยเปลี่ยนการสอนให้เด็กตั้งคำถาม ให้เด็กศึกษาประวิตศาสตร์เปรียบเทียบ สอนให้เด็กสามารถหาข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งการเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เกิดการรักชาติแบบมีตรรกะและเหตุผล เรากำลังทำผิดผลาดครั้งใหญ่ ตนไม่เห็นด้วยที่จะแยกวิชาประวิตศาสตร์ เพียงเพราะมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้เด็กรักชาติ ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้การเรียนรู้ล้าหลัง และทำให้เกิดความอนุรักษ์นิยมสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ



"เพื่อไทย" ตอกรัฐปล่อย "กัญชาคาเฟ่" ผุดกลางเมืองวอนหยุดทำลายอนาคตลูกหลาน
https://siamrath.co.th/n/402857

วันที่ 27 พ.ย.65 น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะมีข้อมูลที่ได้รับจากคนในพื้นที่รวมทั้งในสื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอว่า  มีการเปิด  ‘กัญชาคาเฟ่’ ในหลายจังหวัด  โดยที่ย่านถนนข้าวสาร  ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร มีร้านหลายร้านเปิดขายกัญชาในลักษณะสันทนาการ มีการจัดเก้าอี้นั่ง และระบบระบายควันในห้องอย่างหรูหรา ลูกค้า 90% เป็นชาวต่างชาติ อีก 10% เป็นคนไทย ที่เข้ามาบริโภคเครื่องดื่มที่เป็นผลิตภัณฑ์จากกัญชา โดยเฉพาะจากช่อดอก โดยผู้ประกอบการอ้างว่ามีใบอนุญาตและในการขออนุญาตก็มีเจ้าหน้าที่จากกรมการแพทย์แผนไทยฯเข้ามาตรวจสถานที่ก่อน ทั้งๆ ขัดต่อกฎกระทรวงสาธารณสุขข้อ 3 (5) ห้ามจําหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบในสถานที่ประกอบการ เว้นแต่การจําหน่าย โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย  ซึ่งก่อนหน้านี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับแรกที่ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ไม่มีบทลงโทษ ทำให้เกิดร้านกัญชาสันทนาการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด  นี่คือกัญชาทางการแพทย์ตรงไหน 
    
น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า ในสภาวะสุญญากาศที่ไม่มีกฏหมายออกมารองรับ ทั้งเพื่อการควบคุมการใช้และการกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนการจำหน่ายกัญชา ยังหลักลอยไร้การวางมาตรการป้องกันการเข้าถึงกัญชาได้โดยง่าย  ขณะนี้กัญชาถูกปลดล็อคไม่ใช่สารเสพติดให้โทษ มีแต่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาแต่ไม่มีผลในการควบคุมและลงโทษในทางปฏิบัติ  จะเกิดผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนยากที่จะป้องกันแก้ไข นี่คือความห่วงใยของพรรคเพื่อไทยและคนไทยทั้งประเทศ  รัฐบาลผสมจากหลายพรรคจะมีท่าทีอย่างไรต่อการที่พรรคภูมิใจไทยผลักดันนโยบายกัญชาเสรีโดยที่ไม่มีมาตรการที่รัดกุมในการป้องกัน พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่า
 
1. สนับสนุนกัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ ใช้บำบัดรักษาโรคภัยต่างๆ เท่านั้น ไม่สนับสนุนกัญชาเพื่อสันทนาการ 

2. ไม่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกัญชา 
 
3. ทวงคืนอนาคตลูกหลานไทยจากกัญชา ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากการปล่อยกัญชาเสรี มีกัญชาฟรีทุกบ้าน 
       
"อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและนายอนุทิน ผู้กำกับนโยบาย กลับมาทบทวน เรื่องกัญชาเสรีอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะปัจจุบันหากเยาวชนนำกัญชามาเสพโดยขาดความรู้ความเข้าใจ จะเกิดผลต่อจิตประสาท  เกิดปัญหาตามมา  ทิ้งเป็นมรดกบาปให้ลูกหลานจะสายเกินแก้ หากยังปล่อยให้ปลูกและขายกันอย่างเสรีต่อไปแบบนี้  สังคมไทยจะตกต่ำดำดิ่งลงยิ่งกว่าที่ประสบอยู่"น.ส.ตรีชฎา กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่