สุดทน! รัฐบาลล้มเหลว ชาวสวนยางภาคใต้ เตรียมยื่นหนังสือ นายกฯ แก้ราคาตกต่ำ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7386256
ตรัง ชาวสวนยางภาคใต้สุดทน นัดประชุมใหญ่ตัวแทนเกษตรกร เครือข่ายสถาบันเกษตรกร ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ ที่เกิดขึ้นมายาวนาน
27 พ.ย. 65 – ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนกลาง นำโดย นาย
ประทบ สุขสนาน ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนกลาง นาย
สมปอง นวลสมศรี ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.กระบี่
นาย
บรรจงกิจ บุญโชติ ผู้จัดการสหกรณ์กองทุนสวนยางนิคมทุ่งสง จำกัด ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.นครศรีธรรมราช และนาย
ถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องไปยังรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ที่เกิดขึ้นมายาวนาน
นาย
ประทบ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ภาคใต้เกิดฝนตกชุก ปริมาณน้ำยางออกสู่ตลาดมีน้อย แต่ราคายางพารากลับตกต่ำ โดยน้ำยางสดเหลือประมาณ กก.ละ 37-40 บาท ส่วนราคาแผ่นรมควันชั้น 3 เหลือ กก.ละ 45-46 บาท ซึ่งเดือดร้อนหนักทั้งเกษตรกรและสหกรณ์ผู้แปรรูปยางพารา
จึงเรียกร้องให้ รัฐบาล รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และการยางแห่งประเทศไทย เร่งแก้ไขปัญหา พร้อมเตรียมนัดประชุมใหญ่ตัวแทนเกษตรกร และเครือข่ายสถาบันเกษตรกร 6 จังหวัดภาคใต้ตอนกลางที่ จ.ตรัง ในต้นเดือนหน้า
เพื่อหารือการเคลื่อนไหวเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องการแก้ปัญหาต่อไป และเตรียมเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมารับฟัง เอาไปประกาศเป็นนโยบาย พรรคไหนทำได้ จะรณรงค์ให้ชาวสวนยางเลือกพรรคนั้น
นาย
สมปอง กล่าวว่า ปัญหาราคายางพาราตกต่ำต่อเนื่อง ส่วนตัวมองว่าเกิดจากความล้มเหลวของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหาร หรือบอร์ดการยางแห่งประเทศไทยชุดเก่าที่ผ่านมา ไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหา
ทำให้ทุกโครงการที่ออกมาล้มเหลวทั้งหมด ไม่มีความต่อเนื่อง และไม่รับฟังข้อเสนอแนะ หรือข้อเรียกร้องของชาวสวน ที่เสนอไปทำไม่ถึง 10% เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในของผู้บริหารการยาง ที่เกี่ยวพันใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจผู้ส่งออกยาง และเป็นคนใกล้ชิดนักการเมือง ทำให้เข้ามาหาผลประโยชน์
นาย
ถนอมเกียรติ กล่าวว่า วันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ ตัวแทนเกษตรกรและตัวแทนเกษตรกรภาคใต้ตอนกลางทั้ง 6 จังหวัด ประกอบด้วย ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต พัทลุง และนครศรีฯ จะมีการประชุมร่วมกัน เพื่อหารือกันในเรื่องปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีต่อไป
เพราะเกษตรกรเดือดร้อนหนัก ขณะที่รัฐบาลไม่ได้สนใจแก้ปัญหาอย่างจริง ตามที่ได้ประกาศไว้ รวมทั้งการยางแห่งประเทศไทยก็ล้มเหลวในการดำเนินโครงการต่างๆ ทุกโครงการ เบื้องต้นเตรียมทวงข้อเรียกร้องเดิมทั้ง 4 ข้อ
ประกอบด้วย
1. โครงการชะลอการขายยางที่ผ่านมา ทั้งยางก้อนถ้วย น้ำยางสด และยางแผ่นรมควัน ปรากฏว่าขณะนี้ล้มเหลว หยุดโครงการลงชั่วคราว เพราะ กยท.ไม่มีเงินทำต่อแล้ว ไม่สามารถจะเก็บยางไว้หมุนเวียนได้แล้ว
2. โครงการสวนยาง SFC เพื่อสนับสนุนการจัดการป่าไม้ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งสินค้าทั้งไม้ยางและยางพาราแปรรูปสู่ตลาดสากล แต่ก็ล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สวนยางพารามีทั้งหมด 25 ล้านไร่ แต่ไม่มีความคืบหน้าในโครงการ ส่งออกไปตลาดยุโรปไม่ได้
3. โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ก็ล้มเหลว เดิมเป้าหมายจำนวน 100,000 ตัน แต่ทำได้จริงเพียงประมาณ 1 หมื่นตันเท่านั้น ก็หยุดชะงัก เป้าหมายจะนำยางมาใช้ภายในประเทศให้ได้ 35% ก็ล้มเหลว และกลายเป็นว่าเรื่องยางกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง
และ 4.โครงการส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยการสนับสนุนงบประมาณ เช่น เดิมจะส่งเสริมการเลี้ยงแพะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสวน ก็ปรากฏว่าล้มเหลวเช่นกัน
นักวิชาการ ซัด ศธ.ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ ชี้ใช้อำนาจบังคับให้เด็กรักชาติ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3696616
นักวิชาการ ซัด ศธ.ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ ชี้ใช้อำนาจบังคับให้เด็กรักชาติ
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นาย
สมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีที่ น.ส.
ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เตรียมออกประกาศ ศธ.ให้แยก วิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ออกจาก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตาม ที่ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย โดยที่ผ่านมา ศธ. มีนโยบาย 8+1 โดยการกำหนดโครงสร้างเวลาเรียน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ แยกออกมา 1 รายวิชาอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความรักชาตินั้น ตนมองว่าการแยกวิชาประวัติศาสตร์ ของศธ.ครั้งนี้ เป็นการกระทำอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นการใช้อำนาจบังคับเพื่อให้เด็กรักชาติ ซึ่งผิดหลักการทางการศึกษา
นาย
สมพงษ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาวิชาประวัติศาสตร์สอนให้เด็กรักชาติ รักบรรพชนแบบท่องจำ การสอนแบบนี้จะทำให้เด็กมีอคติกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีข้อดีคือเด็กจะสนใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากขึ้น แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไม ศธ.ถึงปรับปรุงวิชาประวิตศาสตร์แค่วิชาเดียว ทำไมไม่ปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่ควรจะปรับปรุงก่อนวิชาอื่นๆ
“
การแยกวิชาประวิตศาสตร์ออกมา เป็นการยัดเยียดความรักชาติให้เด็ก ซึ่งการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เป็นเรื่องไม่ปกติทางการศึกษา มองว่าการไปย้ำให้สอนและแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา อาจจะทำให้เด็กตั้งคำถามมากขึ้น และอาจจะต่อต้านมากกว่าเดิม และหันไปเรียนประวัติศาสตร์แบบอื่นๆ มากกว่า และหลักสูตรการเรียนในปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2544 แม้จะมีการปรับปรุงมาตลอด แต่หลักสูตรกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนมากกว่า 1,200 ชั่วโมง ถือว่าประเทศไทยมีชั่วโมงการเรียนมากเป็นอันดับต้นๆของโลก การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา ยิ่งจะทำให้เด็กต้องเรียนหนักขึ้น” นาย
สมพงษ์ กล่าว
นาย
สมพงษ์ กล่าวต่อว่า การสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ดี ศธ.ควรจะปฏิรูปการเรียน โดยเปลี่ยนการสอนให้เด็กตั้งคำถาม ให้เด็กศึกษาประวิตศาสตร์เปรียบเทียบ สอนให้เด็กสามารถหาข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งการเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เกิดการรักชาติแบบมีตรรกะและเหตุผล เรากำลังทำผิดผลาดครั้งใหญ่ ตนไม่เห็นด้วยที่จะแยกวิชาประวิตศาสตร์ เพียงเพราะมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้เด็กรักชาติ ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้การเรียนรู้ล้าหลัง และทำให้เกิดความอนุรักษ์นิยมสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
"เพื่อไทย" ตอกรัฐปล่อย "กัญชาคาเฟ่" ผุดกลางเมืองวอนหยุดทำลายอนาคตลูกหลาน
https://siamrath.co.th/n/402857
วันที่ 27 พ.ย.65 น.ส.
ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะมีข้อมูลที่ได้รับจากคนในพื้นที่รวมทั้งในสื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอว่า มีการเปิด ‘
กัญชาคาเฟ่’ ในหลายจังหวัด โดยที่ย่านถนนข้าวสาร ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร มีร้านหลายร้านเปิดขายกัญชาในลักษณะสันทนาการ มีการจัดเก้าอี้นั่ง และระบบระบายควันในห้องอย่างหรูหรา ลูกค้า 90% เป็นชาวต่างชาติ อีก 10% เป็นคนไทย ที่เข้ามาบริโภคเครื่องดื่มที่เป็นผลิตภัณฑ์จากกัญชา โดยเฉพาะจากช่อดอก โดยผู้ประกอบการอ้างว่ามีใบอนุญาตและในการขออนุญาตก็มีเจ้าหน้าที่จากกรมการแพทย์แผนไทยฯเข้ามาตรวจสถานที่ก่อน ทั้งๆ ขัดต่อกฎกระทรวงสาธารณสุขข้อ 3 (5) ห้ามจําหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบในสถานที่ประกอบการ เว้นแต่การจําหน่าย โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ซึ่งก่อนหน้านี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับแรกที่ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ไม่มีบทลงโทษ ทำให้เกิดร้านกัญชาสันทนาการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด นี่คือกัญชาทางการแพทย์ตรงไหน
น.ส.
ตรีชฎา กล่าวว่า ในสภาวะสุญญากาศที่ไม่มีกฏหมายออกมารองรับ ทั้งเพื่อการควบคุมการใช้และการกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนการจำหน่ายกัญชา ยังหลักลอยไร้การวางมาตรการป้องกันการเข้าถึงกัญชาได้โดยง่าย ขณะนี้กัญชาถูกปลดล็อคไม่ใช่สารเสพติดให้โทษ มีแต่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาแต่ไม่มีผลในการควบคุมและลงโทษในทางปฏิบัติ จะเกิดผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนยากที่จะป้องกันแก้ไข นี่คือความห่วงใยของพรรคเพื่อไทยและคนไทยทั้งประเทศ รัฐบาลผสมจากหลายพรรคจะมีท่าทีอย่างไรต่อการที่พรรคภูมิใจไทยผลักดันนโยบายกัญชาเสรีโดยที่ไม่มีมาตรการที่รัดกุมในการป้องกัน พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่า
1. สนับสนุนกัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ ใช้บำบัดรักษาโรคภัยต่างๆ เท่านั้น ไม่สนับสนุนกัญชาเพื่อสันทนาการ
2. ไม่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกัญชา
3. ทวงคืนอนาคตลูกหลานไทยจากกัญชา ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากการปล่อยกัญชาเสรี มีกัญชาฟรีทุกบ้าน
"
อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและนายอนุทิน ผู้กำกับนโยบาย กลับมาทบทวน เรื่องกัญชาเสรีอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะปัจจุบันหากเยาวชนนำกัญชามาเสพโดยขาดความรู้ความเข้าใจ จะเกิดผลต่อจิตประสาท เกิดปัญหาตามมา ทิ้งเป็นมรดกบาปให้ลูกหลานจะสายเกินแก้ หากยังปล่อยให้ปลูกและขายกันอย่างเสรีต่อไปแบบนี้ สังคมไทยจะตกต่ำดำดิ่งลงยิ่งกว่าที่ประสบอยู่"น.ส.
ตรีชฎา กล่าว
JJNY : สุดทน! รัฐบาลล้มเหลวชาวสวนยางภาคใต้| นักวิชาการซัดศธ.|"เพื่อไทย"ตอกรัฐปล่อย"กัญชาคาเฟ่"|'ปักกิ่ง'ประท้วงผุดนับสิบ
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7386256
ตรัง ชาวสวนยางภาคใต้สุดทน นัดประชุมใหญ่ตัวแทนเกษตรกร เครือข่ายสถาบันเกษตรกร ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ ที่เกิดขึ้นมายาวนาน
27 พ.ย. 65 – ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนกลาง นำโดย นายประทบ สุขสนาน ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนกลาง นายสมปอง นวลสมศรี ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.กระบี่
นายบรรจงกิจ บุญโชติ ผู้จัดการสหกรณ์กองทุนสวนยางนิคมทุ่งสง จำกัด ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง จ.นครศรีธรรมราช และนายถนอมเกียรติ ยิ่งฉ้วน ที่ปรึกษาประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย ร่วมกันแถลงข่าวเรียกร้องไปยังรัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ ที่เกิดขึ้นมายาวนาน
นายประทบ กล่าวว่า ขณะนี้พื้นที่ภาคใต้เกิดฝนตกชุก ปริมาณน้ำยางออกสู่ตลาดมีน้อย แต่ราคายางพารากลับตกต่ำ โดยน้ำยางสดเหลือประมาณ กก.ละ 37-40 บาท ส่วนราคาแผ่นรมควันชั้น 3 เหลือ กก.ละ 45-46 บาท ซึ่งเดือดร้อนหนักทั้งเกษตรกรและสหกรณ์ผู้แปรรูปยางพารา
จึงเรียกร้องให้ รัฐบาล รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และการยางแห่งประเทศไทย เร่งแก้ไขปัญหา พร้อมเตรียมนัดประชุมใหญ่ตัวแทนเกษตรกร และเครือข่ายสถาบันเกษตรกร 6 จังหวัดภาคใต้ตอนกลางที่ จ.ตรัง ในต้นเดือนหน้า
เพื่อหารือการเคลื่อนไหวเข้ายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เรียกร้องการแก้ปัญหาต่อไป และเตรียมเชิญตัวแทนพรรคการเมืองมารับฟัง เอาไปประกาศเป็นนโยบาย พรรคไหนทำได้ จะรณรงค์ให้ชาวสวนยางเลือกพรรคนั้น
นายสมปอง กล่าวว่า ปัญหาราคายางพาราตกต่ำต่อเนื่อง ส่วนตัวมองว่าเกิดจากความล้มเหลวของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหาร หรือบอร์ดการยางแห่งประเทศไทยชุดเก่าที่ผ่านมา ไม่มีวิสัยทัศน์ในการแก้ไขปัญหา
ทำให้ทุกโครงการที่ออกมาล้มเหลวทั้งหมด ไม่มีความต่อเนื่อง และไม่รับฟังข้อเสนอแนะ หรือข้อเรียกร้องของชาวสวน ที่เสนอไปทำไม่ถึง 10% เกิดปัญหาความขัดแย้งภายในของผู้บริหารการยาง ที่เกี่ยวพันใกล้ชิดกับกลุ่มธุรกิจผู้ส่งออกยาง และเป็นคนใกล้ชิดนักการเมือง ทำให้เข้ามาหาผลประโยชน์
นายถนอมเกียรติ กล่าวว่า วันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ ตัวแทนเกษตรกรและตัวแทนเกษตรกรภาคใต้ตอนกลางทั้ง 6 จังหวัด ประกอบด้วย ตรัง กระบี่ พังงา ภูเก็ต พัทลุง และนครศรีฯ จะมีการประชุมร่วมกัน เพื่อหารือกันในเรื่องปัญหาราคายางพาราตกต่ำ เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีต่อไป
เพราะเกษตรกรเดือดร้อนหนัก ขณะที่รัฐบาลไม่ได้สนใจแก้ปัญหาอย่างจริง ตามที่ได้ประกาศไว้ รวมทั้งการยางแห่งประเทศไทยก็ล้มเหลวในการดำเนินโครงการต่างๆ ทุกโครงการ เบื้องต้นเตรียมทวงข้อเรียกร้องเดิมทั้ง 4 ข้อ
ประกอบด้วย
1. โครงการชะลอการขายยางที่ผ่านมา ทั้งยางก้อนถ้วย น้ำยางสด และยางแผ่นรมควัน ปรากฏว่าขณะนี้ล้มเหลว หยุดโครงการลงชั่วคราว เพราะ กยท.ไม่มีเงินทำต่อแล้ว ไม่สามารถจะเก็บยางไว้หมุนเวียนได้แล้ว
2. โครงการสวนยาง SFC เพื่อสนับสนุนการจัดการป่าไม้ ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งสินค้าทั้งไม้ยางและยางพาราแปรรูปสู่ตลาดสากล แต่ก็ล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากพื้นที่สวนยางพารามีทั้งหมด 25 ล้านไร่ แต่ไม่มีความคืบหน้าในโครงการ ส่งออกไปตลาดยุโรปไม่ได้
3. โครงการส่งเสริมการใช้ยางในหน่วยงานภาครัฐ ก็ล้มเหลว เดิมเป้าหมายจำนวน 100,000 ตัน แต่ทำได้จริงเพียงประมาณ 1 หมื่นตันเท่านั้น ก็หยุดชะงัก เป้าหมายจะนำยางมาใช้ภายในประเทศให้ได้ 35% ก็ล้มเหลว และกลายเป็นว่าเรื่องยางกลายเป็นประเด็นทางการเมือง เพราะเกี่ยวข้องกับทุกกระทรวง
และ 4.โครงการส่งเสริมอาชีพแก่เกษตรกรชาวสวนยาง โดยการสนับสนุนงบประมาณ เช่น เดิมจะส่งเสริมการเลี้ยงแพะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสวน ก็ปรากฏว่าล้มเหลวเช่นกัน
นักวิชาการ ซัด ศธ.ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ ชี้ใช้อำนาจบังคับให้เด็กรักชาติ
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_3696616
นักวิชาการ ซัด ศธ.ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แยกประวัติศาสตร์เป็นวิชาเฉพาะ ชี้ใช้อำนาจบังคับให้เด็กรักชาติ
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า กรณีที่ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)เตรียมออกประกาศ ศธ.ให้แยก วิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ออกจาก กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมตาม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมาย โดยที่ผ่านมา ศธ. มีนโยบาย 8+1 โดยการกำหนดโครงสร้างเวลาเรียน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ และให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานจัดรายวิชาพื้นฐานประวัติศาสตร์ แยกออกมา 1 รายวิชาอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความรักชาตินั้น ตนมองว่าการแยกวิชาประวัติศาสตร์ ของศธ.ครั้งนี้ เป็นการกระทำอย่างโจ่งแจ้ง และเป็นการใช้อำนาจบังคับเพื่อให้เด็กรักชาติ ซึ่งผิดหลักการทางการศึกษา
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาวิชาประวัติศาสตร์สอนให้เด็กรักชาติ รักบรรพชนแบบท่องจำ การสอนแบบนี้จะทำให้เด็กมีอคติกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้จะมีข้อดีคือเด็กจะสนใจประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมากขึ้น แต่คำถามที่ตามมาคือ ทำไม ศธ.ถึงปรับปรุงวิชาประวิตศาสตร์แค่วิชาเดียว ทำไมไม่ปรับปรุงหลักสูตรครั้งใหญ่ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่ควรจะปรับปรุงก่อนวิชาอื่นๆ
“การแยกวิชาประวิตศาสตร์ออกมา เป็นการยัดเยียดความรักชาติให้เด็ก ซึ่งการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ เป็นเรื่องไม่ปกติทางการศึกษา มองว่าการไปย้ำให้สอนและแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา อาจจะทำให้เด็กตั้งคำถามมากขึ้น และอาจจะต่อต้านมากกว่าเดิม และหันไปเรียนประวัติศาสตร์แบบอื่นๆ มากกว่า และหลักสูตรการเรียนในปัจจุบันที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2544 แม้จะมีการปรับปรุงมาตลอด แต่หลักสูตรกำหนดให้นักเรียนต้องเรียนมากกว่า 1,200 ชั่วโมง ถือว่าประเทศไทยมีชั่วโมงการเรียนมากเป็นอันดับต้นๆของโลก การแยกวิชาประวัติศาสตร์ออกมา ยิ่งจะทำให้เด็กต้องเรียนหนักขึ้น” นายสมพงษ์ กล่าว
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า การสอนวิชาประวัติศาสตร์ที่ดี ศธ.ควรจะปฏิรูปการเรียน โดยเปลี่ยนการสอนให้เด็กตั้งคำถาม ให้เด็กศึกษาประวิตศาสตร์เปรียบเทียบ สอนให้เด็กสามารถหาข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งการเรียนรู้แบบนี้ จะทำให้เกิดการรักชาติแบบมีตรรกะและเหตุผล เรากำลังทำผิดผลาดครั้งใหญ่ ตนไม่เห็นด้วยที่จะแยกวิชาประวิตศาสตร์ เพียงเพราะมีเป้าหมายเพื่อต้องการให้เด็กรักชาติ ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้การเรียนรู้ล้าหลัง และทำให้เกิดความอนุรักษ์นิยมสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ
"เพื่อไทย" ตอกรัฐปล่อย "กัญชาคาเฟ่" ผุดกลางเมืองวอนหยุดทำลายอนาคตลูกหลาน
https://siamrath.co.th/n/402857
วันที่ 27 พ.ย.65 น.ส.ตรีชฎา ศรีธาดา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะมีข้อมูลที่ได้รับจากคนในพื้นที่รวมทั้งในสื่อสังคมออนไลน์ได้นำเสนอว่า มีการเปิด ‘กัญชาคาเฟ่’ ในหลายจังหวัด โดยที่ย่านถนนข้าวสาร ใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร มีร้านหลายร้านเปิดขายกัญชาในลักษณะสันทนาการ มีการจัดเก้าอี้นั่ง และระบบระบายควันในห้องอย่างหรูหรา ลูกค้า 90% เป็นชาวต่างชาติ อีก 10% เป็นคนไทย ที่เข้ามาบริโภคเครื่องดื่มที่เป็นผลิตภัณฑ์จากกัญชา โดยเฉพาะจากช่อดอก โดยผู้ประกอบการอ้างว่ามีใบอนุญาตและในการขออนุญาตก็มีเจ้าหน้าที่จากกรมการแพทย์แผนไทยฯเข้ามาตรวจสถานที่ก่อน ทั้งๆ ขัดต่อกฎกระทรวงสาธารณสุขข้อ 3 (5) ห้ามจําหน่ายสมุนไพรควบคุมเพื่อการสูบในสถานที่ประกอบการ เว้นแต่การจําหน่าย โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ซึ่งก่อนหน้านี้นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับแรกที่ประกาศเมื่อเดือนมิถุนายน 2565 ไม่มีบทลงโทษ ทำให้เกิดร้านกัญชาสันทนาการผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด นี่คือกัญชาทางการแพทย์ตรงไหน
น.ส.ตรีชฎา กล่าวว่า ในสภาวะสุญญากาศที่ไม่มีกฏหมายออกมารองรับ ทั้งเพื่อการควบคุมการใช้และการกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนการจำหน่ายกัญชา ยังหลักลอยไร้การวางมาตรการป้องกันการเข้าถึงกัญชาได้โดยง่าย ขณะนี้กัญชาถูกปลดล็อคไม่ใช่สารเสพติดให้โทษ มีแต่ประกาศกระทรวงสาธารณสุขที่ออกมาแต่ไม่มีผลในการควบคุมและลงโทษในทางปฏิบัติ จะเกิดผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนยากที่จะป้องกันแก้ไข นี่คือความห่วงใยของพรรคเพื่อไทยและคนไทยทั้งประเทศ รัฐบาลผสมจากหลายพรรคจะมีท่าทีอย่างไรต่อการที่พรรคภูมิใจไทยผลักดันนโยบายกัญชาเสรีโดยที่ไม่มีมาตรการที่รัดกุมในการป้องกัน พรรคเพื่อไทย ยังยืนยันว่า
1. สนับสนุนกัญชาเพื่อประโยชน์ในทางการแพทย์ ใช้บำบัดรักษาโรคภัยต่างๆ เท่านั้น ไม่สนับสนุนกัญชาเพื่อสันทนาการ
2. ไม่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางกัญชา
3. ทวงคืนอนาคตลูกหลานไทยจากกัญชา ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากการปล่อยกัญชาเสรี มีกัญชาฟรีทุกบ้าน
"อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและนายอนุทิน ผู้กำกับนโยบาย กลับมาทบทวน เรื่องกัญชาเสรีอย่างละเอียดอีกครั้ง เพราะปัจจุบันหากเยาวชนนำกัญชามาเสพโดยขาดความรู้ความเข้าใจ จะเกิดผลต่อจิตประสาท เกิดปัญหาตามมา ทิ้งเป็นมรดกบาปให้ลูกหลานจะสายเกินแก้ หากยังปล่อยให้ปลูกและขายกันอย่างเสรีต่อไปแบบนี้ สังคมไทยจะตกต่ำดำดิ่งลงยิ่งกว่าที่ประสบอยู่"น.ส.ตรีชฎา กล่าว