‘ม็อบทะลุฟ้า-เครือข่าย’บุกยื่น3ข้อให้ผบ.ตร.รับผิดชอบสลายม็อบต้านเอเปค
https://www.dailynews.co.th/news/1718481/
"ม็อบทะลุฟ้า-เครือข่าย" บุกยื่น 3 ข้อให้ ผบ.ตร. รับผิดชอบ เหตุสลายม็อบต้านเอเปค "ไผ่ ดาวดิน" นัดฟังความคืบหน้าทั้ง 3 ข้อเรียกร้องอีกครั้ง อีก 15-30 วัน
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 พ.ย. บรรยากาศหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีการวางกำลังตำรวจเตรียมพร้อมรับมือการชุมนุมของม็อบทะลุฟ้าและเครือข่าย หลังประกาศบุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้ออกมาแสดงการยอมรับผิดและออกมาขอโทษกับกรณีใช้กำลังเข้าควบคุมผู้ชุมนุมต้านเอเปค จนเกิดการปะทะมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายราย เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยขอให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงรับประกันว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชนอีก อย่างน้อยต้องมีการเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานครั้งต่อไป
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนกว่า 1,000 นาย กระจายกำลังดูแลความเรียบร้อยพร้อมรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือรถจีโน่ รถเครื่องเสียงสำหรับการเจรจาต่อรอง และรถคุมขัง อย่างละ 1 คัน มาจอดเตรียมไว้ภายใน ขณะที่ป้ายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการนำผ้าสแลนมาคลุมไว้ เพื่อป้องกันการความเสียหาย รวมถึงวางแผงเหล็กกั้นบริเวณด้านหน้า ส่วนการจราจรถนนพระราม 1 ยังคงเปิดปกติ แต่เริ่มมีปัญหารถติดขัดแล้ว เบื้องต้นตำรวจคาดว่า น่าจะมีผู้มาชุมนุมประมาณ 40-50 คน เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้องและไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ
จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.10 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศผ่านทางโทรโข่งว่า วันนี้ต้องการคำตอบจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุม พร้อมยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ คือขอให้ออกมาขอโทษต่อการกระทำดังกล่าว สตช. ต้องชดใช้เยียวยาค่าเสียหายต่อผู้เสียหาย และขอให้เปิดรายชื่อผู้ปฏิบัติงานทุกครั้ง เปิดเผยตัวตนในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบจากภาคประชาชน และมองว่าการที่ คฝ. ปกปิดใบหน้าตัวตน ทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างไม่ชอบธรรม และสลับกันปราศรัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาเวลา 15.30 น. นาย
จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ
“ไผ่ ดาวดิน” เดินทางมาร่วมสมทบกับมวลชน พร้อมเข้ายื่นหนังสือ 3 ข้อเรียกร้องภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.
สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้รับเรื่อง
พล.ต.ท.
สราวุฒิ กล่าวว่าทั้ง 2 ฝ่ายไม่อยากเกิดการสูญเสีย เพราะตำรวจก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาเช่นกัน ส่วนเรื่องค่าเสียหาย ได้นำเรียน พล.ต.อ.
ดำรงศักดิ์ กิตติ์ประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ชุมนุมสามารถร้องเรียนต่อศาลได้เรื่องการละเมิด หรือได้เสนอให้ทางผู้ชุมนุม รวบรวมความเสียหายทั้งหมดแล้วยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. ซึ่งส่วนนี้กระบวนการพิจารณาอาจต้องใช้ระยะเวลา เนื่องจากจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณา ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยป้องกันเหตุการณ์เผชิญหน้าในอนาคตนั้น ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมหารือกันอีกครั้งว่า จะป้องกันเหตุการณ์อย่างไร
ทางด้าน “
ไผ่ ดาวดิน” กล่าวว่า หลังจากนี้ทางผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกัน โดยจะนัดมาฟังความคืบหน้าทั้ง 3 ข้อเรียกร้องอีกครั้ง ในอีก 15-30 วัน ก่อนจะเดินทางกลับ
'ณัฐวุฒิ' ชี้เปรี้ยง 'ยุบสภา' แน่ !
https://siamrath.co.th/n/402258
วันที่ 24 พ.ย.2565 นาย
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “
ยุบสภาแน่ ยังไงก็ต้องเลือกตั้ง” ความว่า ..
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวจริงของพรรครวมไทยสร้างชาติ อันนี้ชัดเจนไม่ต้องหมุนเสา บรรดานักการเมืองแม้กระทั่งส.ส.ปัจจุบันที่พาเหรดกันเข้าพรรคนี้ ไม่ใช่แรงดึงดูดจากคุณพีระพันธุ์หรือคุณเอกนัฎล่ะครับ พล.อ.ประยุทธ์ล้วน ๆ ส.ส.หลายคนที่ได้รับการชักชวนเล่าสู่กันฟังว่า ได้รับโทรศัพท์จากพล.อ.ประยุทธ์ พูดจากันจนมั่นใจว่าจุดนัดพบคือพรรคการเมืองตั้งใหม่พรรคนี้
ถึงกระนั้นก็ตามเราคงไม่ได้เห็นพล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกรวมไทยสร้างชาติเร็ว ๆ นี้ล่ะครับ เพราะอย่าลืมว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ ได้มาจากการเป็นแคนดิเดตนายกเพียงหนึ่งเดียวของพลังประชารัฐ ถึงกฎหมายจะไม่ห้าม แต่ถ้านายกรัฐมนตรีจากแคนดิเดตพลังประชารัฐเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ คิดดูซิครับว่ามันจะประดักประเดิดท้าทายความอดทนของใบหน้ากันขนาดไหน?
ถ้าเอากันอย่างนั้นจริง ๆ ไปสมัครรวมไทยสร้างชาติ เกิดมีใครสะกิดส.ส.ตังตึง ๆ ในพลังประชารัฐออกมาตะโกนถามว่าตกลงท่านจะเอายังไง? เป็นนายกฯ จากแคนดิเดตพรรคหนึ่ง แล้วไปเป็นสมาชิกอีกพรรคหนึ่ง ดูไม่จืดล่ะครับ
ดังนั้น ถ้าจะเห็นพล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ คงจะได้ดูกันหลังจากยุบสภา ซึ่งยังไงก็ยุบแน่ ๆ เพื่อเปิดเวลาให้กับส.ส.ลูกทีมย้ายพรรคตามไปด้วย
สิ่งที่น่าจะเห็นก่อนในทางการเมืองคงเป็นเรื่องปรับครม.น่ะครับ ใจจริงพล.อ.ประยุทธ์คงไม่อยากปรับเลยเพราะไปทำแล้วมันจะยุ่ง แต่ประชาธิปัตย์ต้องการหนักมาก ต้องการทันที ต้องการเดี๋ยวนี้ เนื่องจากคุณนริศ ขำนุรักษ์ แต่งตัวรออยู่นานแล้ว คุณจุรินทร์เริ่มออกมาทวงตรง ๆ น่ะครับ จึงน่าจับตามองว่าถ้าสถานการณ์จำเป็นต้องปรับครม. ของประชาธิปัตย์น่ะชัด! แต่ของพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จะปรับยังไงกับเก้าอี้ที่เหลือ จะใช้รัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ หรือจะเปิดเก้าอี้ให้กับบางคนจากรวมไทยสร้างชาติ และถ้าเอาแบบนั้น พลังประชารัฐเขาจะยอมมั้ย? พล.อ.ประวิตรเขาจะยอมมั้ย? หรือผู้กองธรรมนัสจะกลับมาในฐานะโควตาพรรคพลังประชารัฐ ได้หรือไม่? ทั้งหมดทั้งหลายจะยุ่งมือนายกฯ หน่อยล่ะครับ
ส่วนเรื่องกฎหมายกัญชงกัญชาที่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ มาถึงวันนี้คงไม่มีพรรคไหนสามารถเปลี่ยนจุดยืนได้แล้วล่ะครับ ถ้าจะโหวตในสภาภูมิใจไทยเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ส่วนประชาธิปัตย์ถ้าถอยตอนนี้ไม่เสียพลน่ะครับ คงเสียหมา!
ดังนั้นเป็นไปได้ว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการใช้ Delay Tactics เอากลไกของสภาขยับเลื่อนวาระนี้ออกไปเรื่อย ๆ ยังไม่โหวตทันที พยายามที่จะหาจุดลงตัวในสภา ในพรรคร่วมรัฐบาลกันเสียก่อน ส่วนเสียงขู่ประมาณว่าแตกหักกันแน่ หรือกระทั่งถ้าหากมีการโหวตสวน จะมีส.ส.ภูมิใจไทยลาออก 20-30 คน อย่าเอามาตื่นเต้นเลยครับ ยังไงรัฐบาลก็ไม่พังด้วยเรื่องนี้ และถ้าจะมีส.ส.ลาออก 20-30 คน ในห้วงเวลานี้ ใครจะสนน่ะครับ มันไม่ต้องเลือกตั้งซ่อม ออกแล้วก็ออกไป สำคัญก็คือจะไม่มีใครออกตามที่ขู่กันน่ะครับ
การเมืองยุ่ง ๆ ในโค้งสุดท้ายของรัฐบาล แต่ยังไงก็ตามผมเชื่อว่าในที่สุดสถานการณ์ก็จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง กฎหมายลูกจะเป็นยังไง รอดูการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายแม่คือตัวรัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้ชัด ถ้ารัฐบาลครบวาระก็ต้องเลือกตั้งตามกรอบกำหนดเวลา ไอ้ที่ว่ารัฐบาลจะรักษาการกันไปเรื่อย ๆ เลยเถิดไม่มีจุดหมายมันทำไม่ได้!
ทางเดียวถ้าจะไม่เลือกตั้งก็คือต้องฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วใครจะทำล่ะ?
สัมพันธภาพระหว่างกองทัพกับรัฐบาลชุดนี้มันไม่ได้สนิทแนบแน่นอย่างที่ใครคิดนะครับ หลายงานที่นายกรัฐมนตรีออกงาน ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ไม่ได้มาด้วยตัวเอง บางครั้งบางทีนั่งอยู่ในงานเดียวกับนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นเดินทางกลับ ผู้นำเหล่าทัพก็ไม่ได้เดินตามไปส่ง ภาพเล็ก ๆ แบบนี้มันฉายสัญญาณบางประการในทางการเมืองเหมือนกันนะครับ
ถ้าคิดจะทำกันจริง ๆ มาถึงวันนี้อย่าคิดว่าจะสำเร็จง่าย ๆ นะครับ กองทัพอย่านึกว่าแน่นัก ดู “ซาอุฯ” กับ “อาร์เจนตินา” บ้าง!
https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/688628609285406
ก้าวไกล ผิดหวัง ส.ส.รัฐบาล ขวางสภาตรวจสอบ รถไฟฟ้าสายสีส้ม หวังฟันส่วนต่าง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2561588
พรรคก้าวไกล ผิดหวัง ส.ส.รัฐบาลขวางสภาตรวจสอบรถไฟฟ้าสายสีส้ม พบกำลังพยายามชงเรื่องเข้า ครม. หวังฟันส่วนต่าง “ค่าโกง” 68,613 ล้านบาท
วันที่ 24 พ.ย. นาย
สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวในฐานะผู้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา “
ขอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเพื่อส่งความเห็นและข้อเสนอแนะสำหรับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ” ซึ่งผลการลงมติเสียงข้างน้อยของฝ่ายค้านแพ้เสียงข้างมากของฝ่ายรัฐบาลไป 139 ต่อ 190 คะแนน โดยนาย
สุรเชษฐ์ รู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจลงมติขัดขวางการตรวจสอบด้วยอำนาจนิติบัญญัติของ ส.ส.รัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ภาษีประชาชนหายไปจากเงินส่วนต่าง
“ค่าโกง” มากถึง 68,613 ล้านบาท
นาย
สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนในนามของผู้เสนอญัตติขอขอบคุณทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะเรื่องนี้ทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้มีการประชุมแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีการพูดคุยในวิปฝ่ายค้านเมื่อวานนี้ จึงเป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซึ่งกรณีรถไฟฟ้าสายสีส้ม เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ ที่จะส่งผลให้ภาษีประชาชนหายไปจาก “ส่วนต่าง” ของการประมูล 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 68,613 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม ยังรู้สึกเสียดายที่สภาแห่งนี้โดยเสียงข้างมากของ ส.ส.รัฐบาล จงใจที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งข้อเท็จจริงก็ชัดเจน เป็นข่าวอยู่มากมายอย่างกว้างขวางในประเด็นการประมูลโดยมิชอบของรถไฟฟ้าสายสีส้ม
มีข้ออ้างจากสมาชิกบางส่วนที่ลงมติไม่เห็นด้วยว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบในชั้นศาล จากคดีที่เอกชนฟ้องร้องกันหลายคดี ตนอยากเรียนว่าเรื่องนี้ต้องพิจารณาว่าอำนาจตุลาการและอำนาจนิติบัญญัติมีความต่างกัน และเดินไปพร้อมๆ กันได้ ไม่ต้องรอให้ทางใดทางหนึ่งจบ เพราะถ้าปล่อยให้มีการเซ็นสัญญากันโดยยังไม่มีความชัดเจนแบบทุกวันนี้ จะกลายเป็นปัญหาผูกพันในอนาคตอย่างน้อย 35 ปี ดังนั้นเรื่องนี้ต้องตรวจสอบคู่ขนานกัน
“
การที่สภาเสียงข้างมากเลือกที่จะปฏิเสธไม่ให้พิจารณาในวาระนี้ ทั้งที่วาระต่อๆ ไปเป็นเพียงเรื่องเพื่อทราบ ในขณะที่สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้มเป็น ‘เรื่องด่วน’ ที่กำลังมีความพยายามรีบชงเข้า ครม. นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นเร่งด่วนที่เราต้องเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา”
สุรเชษฐ์ กล่าว...
ขอให้ประชาชนรวมถึงสื่อมวลชนทุกท่านช่วยกันจับตาว่ารถไฟฟ้าสายสีส้มจะมีการเร่งอนุมัติโดย ครม. ก่อนยุบสภาหรือไม่ เพราะเรากำลังพูดถึงงบประมาณมหาศาล นี่คือเงินส่วนต่าง “
ค่าโกง” 68,613 ล้านบาท สุรเชษฐ์ ทิ้งท้าย
JJNY : 5in1 ‘ม็อบทะลุฟ้า-เครือข่าย’บุกยื่น3ข้อ|'ณัฐวุฒิ'ชี้เปรี้ยง|ก้าวไกลผิดหวัง|ชาวโคราชติดป้ายประชด|ชาวนาสุรินทร์ระทม
https://www.dailynews.co.th/news/1718481/
"ม็อบทะลุฟ้า-เครือข่าย" บุกยื่น 3 ข้อให้ ผบ.ตร. รับผิดชอบ เหตุสลายม็อบต้านเอเปค "ไผ่ ดาวดิน" นัดฟังความคืบหน้าทั้ง 3 ข้อเรียกร้องอีกครั้ง อีก 15-30 วัน
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 พ.ย. บรรยากาศหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีการวางกำลังตำรวจเตรียมพร้อมรับมือการชุมนุมของม็อบทะลุฟ้าและเครือข่าย หลังประกาศบุกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเรียกร้องให้ออกมาแสดงการยอมรับผิดและออกมาขอโทษกับกรณีใช้กำลังเข้าควบคุมผู้ชุมนุมต้านเอเปค จนเกิดการปะทะมีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายราย เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยขอให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ชดใช้ค่าเสียหาย รวมถึงรับประกันว่า จะไม่เกิดเหตุการณ์ตำรวจใช้ความรุนแรงกับประชาชนอีก อย่างน้อยต้องมีการเปิดเผยรายชื่อเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติงานครั้งต่อไป
โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนกว่า 1,000 นาย กระจายกำลังดูแลความเรียบร้อยพร้อมรถฉีดน้ำแรงดันสูง หรือรถจีโน่ รถเครื่องเสียงสำหรับการเจรจาต่อรอง และรถคุมขัง อย่างละ 1 คัน มาจอดเตรียมไว้ภายใน ขณะที่ป้ายหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการนำผ้าสแลนมาคลุมไว้ เพื่อป้องกันการความเสียหาย รวมถึงวางแผงเหล็กกั้นบริเวณด้านหน้า ส่วนการจราจรถนนพระราม 1 ยังคงเปิดปกติ แต่เริ่มมีปัญหารถติดขัดแล้ว เบื้องต้นตำรวจคาดว่า น่าจะมีผู้มาชุมนุมประมาณ 40-50 คน เพื่อยื่นหนังสือข้อเรียกร้องและไม่น่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ
จนกระทั่งเวลาประมาณ 15.10 น. กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศผ่านทางโทรโข่งว่า วันนี้ต้องการคำตอบจากเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการสลายการชุมนุม พร้อมยื่นข้อเสนอ 3 ข้อ คือขอให้ออกมาขอโทษต่อการกระทำดังกล่าว สตช. ต้องชดใช้เยียวยาค่าเสียหายต่อผู้เสียหาย และขอให้เปิดรายชื่อผู้ปฏิบัติงานทุกครั้ง เปิดเผยตัวตนในการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดการตรวจสอบจากภาคประชาชน และมองว่าการที่ คฝ. ปกปิดใบหน้าตัวตน ทำให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการอย่างไม่ชอบธรรม และสลับกันปราศรัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
ต่อมาเวลา 15.30 น. นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” เดินทางมาร่วมสมทบกับมวลชน พร้อมเข้ายื่นหนังสือ 3 ข้อเรียกร้องภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.สราวุฒิ การพานิช ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้รับเรื่อง
พล.ต.ท.สราวุฒิ กล่าวว่าทั้ง 2 ฝ่ายไม่อยากเกิดการสูญเสีย เพราะตำรวจก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาเช่นกัน ส่วนเรื่องค่าเสียหาย ได้นำเรียน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติ์ประภัสร์ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ชุมนุมสามารถร้องเรียนต่อศาลได้เรื่องการละเมิด หรือได้เสนอให้ทางผู้ชุมนุม รวบรวมความเสียหายทั้งหมดแล้วยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. ซึ่งส่วนนี้กระบวนการพิจารณาอาจต้องใช้ระยะเวลา เนื่องจากจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณา ส่วนมาตรการรักษาความปลอดภัยป้องกันเหตุการณ์เผชิญหน้าในอนาคตนั้น ทั้งสองฝ่ายจะต้องร่วมหารือกันอีกครั้งว่า จะป้องกันเหตุการณ์อย่างไร
ทางด้าน “ไผ่ ดาวดิน” กล่าวว่า หลังจากนี้ทางผู้ชุมนุมจะแยกย้ายกัน โดยจะนัดมาฟังความคืบหน้าทั้ง 3 ข้อเรียกร้องอีกครั้ง ในอีก 15-30 วัน ก่อนจะเดินทางกลับ
'ณัฐวุฒิ' ชี้เปรี้ยง 'ยุบสภา' แน่ !
https://siamrath.co.th/n/402258
วันที่ 24 พ.ย.2565 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวพรรคเพื่อไทย (พท.) โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ “ยุบสภาแน่ ยังไงก็ต้องเลือกตั้ง” ความว่า ..
พล.อ.ประยุทธ์ เป็นตัวจริงของพรรครวมไทยสร้างชาติ อันนี้ชัดเจนไม่ต้องหมุนเสา บรรดานักการเมืองแม้กระทั่งส.ส.ปัจจุบันที่พาเหรดกันเข้าพรรคนี้ ไม่ใช่แรงดึงดูดจากคุณพีระพันธุ์หรือคุณเอกนัฎล่ะครับ พล.อ.ประยุทธ์ล้วน ๆ ส.ส.หลายคนที่ได้รับการชักชวนเล่าสู่กันฟังว่า ได้รับโทรศัพท์จากพล.อ.ประยุทธ์ พูดจากันจนมั่นใจว่าจุดนัดพบคือพรรคการเมืองตั้งใหม่พรรคนี้
ถึงกระนั้นก็ตามเราคงไม่ได้เห็นพล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกรวมไทยสร้างชาติเร็ว ๆ นี้ล่ะครับ เพราะอย่าลืมว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่เป็นอยู่ ได้มาจากการเป็นแคนดิเดตนายกเพียงหนึ่งเดียวของพลังประชารัฐ ถึงกฎหมายจะไม่ห้าม แต่ถ้านายกรัฐมนตรีจากแคนดิเดตพลังประชารัฐเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ คิดดูซิครับว่ามันจะประดักประเดิดท้าทายความอดทนของใบหน้ากันขนาดไหน?
ถ้าเอากันอย่างนั้นจริง ๆ ไปสมัครรวมไทยสร้างชาติ เกิดมีใครสะกิดส.ส.ตังตึง ๆ ในพลังประชารัฐออกมาตะโกนถามว่าตกลงท่านจะเอายังไง? เป็นนายกฯ จากแคนดิเดตพรรคหนึ่ง แล้วไปเป็นสมาชิกอีกพรรคหนึ่ง ดูไม่จืดล่ะครับ
ดังนั้น ถ้าจะเห็นพล.อ.ประยุทธ์สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง พรรครวมไทยสร้างชาติ คงจะได้ดูกันหลังจากยุบสภา ซึ่งยังไงก็ยุบแน่ ๆ เพื่อเปิดเวลาให้กับส.ส.ลูกทีมย้ายพรรคตามไปด้วย
สิ่งที่น่าจะเห็นก่อนในทางการเมืองคงเป็นเรื่องปรับครม.น่ะครับ ใจจริงพล.อ.ประยุทธ์คงไม่อยากปรับเลยเพราะไปทำแล้วมันจะยุ่ง แต่ประชาธิปัตย์ต้องการหนักมาก ต้องการทันที ต้องการเดี๋ยวนี้ เนื่องจากคุณนริศ ขำนุรักษ์ แต่งตัวรออยู่นานแล้ว คุณจุรินทร์เริ่มออกมาทวงตรง ๆ น่ะครับ จึงน่าจับตามองว่าถ้าสถานการณ์จำเป็นต้องปรับครม. ของประชาธิปัตย์น่ะชัด! แต่ของพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์ จะปรับยังไงกับเก้าอี้ที่เหลือ จะใช้รัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ หรือจะเปิดเก้าอี้ให้กับบางคนจากรวมไทยสร้างชาติ และถ้าเอาแบบนั้น พลังประชารัฐเขาจะยอมมั้ย? พล.อ.ประวิตรเขาจะยอมมั้ย? หรือผู้กองธรรมนัสจะกลับมาในฐานะโควตาพรรคพลังประชารัฐ ได้หรือไม่? ทั้งหมดทั้งหลายจะยุ่งมือนายกฯ หน่อยล่ะครับ
ส่วนเรื่องกฎหมายกัญชงกัญชาที่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างภูมิใจไทยกับประชาธิปัตย์ มาถึงวันนี้คงไม่มีพรรคไหนสามารถเปลี่ยนจุดยืนได้แล้วล่ะครับ ถ้าจะโหวตในสภาภูมิใจไทยเดินหน้าเต็มตัวแน่นอน ส่วนประชาธิปัตย์ถ้าถอยตอนนี้ไม่เสียพลน่ะครับ คงเสียหมา!
ดังนั้นเป็นไปได้ว่าทางออกที่ดีที่สุดคือการใช้ Delay Tactics เอากลไกของสภาขยับเลื่อนวาระนี้ออกไปเรื่อย ๆ ยังไม่โหวตทันที พยายามที่จะหาจุดลงตัวในสภา ในพรรคร่วมรัฐบาลกันเสียก่อน ส่วนเสียงขู่ประมาณว่าแตกหักกันแน่ หรือกระทั่งถ้าหากมีการโหวตสวน จะมีส.ส.ภูมิใจไทยลาออก 20-30 คน อย่าเอามาตื่นเต้นเลยครับ ยังไงรัฐบาลก็ไม่พังด้วยเรื่องนี้ และถ้าจะมีส.ส.ลาออก 20-30 คน ในห้วงเวลานี้ ใครจะสนน่ะครับ มันไม่ต้องเลือกตั้งซ่อม ออกแล้วก็ออกไป สำคัญก็คือจะไม่มีใครออกตามที่ขู่กันน่ะครับ
การเมืองยุ่ง ๆ ในโค้งสุดท้ายของรัฐบาล แต่ยังไงก็ตามผมเชื่อว่าในที่สุดสถานการณ์ก็จะเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง กฎหมายลูกจะเป็นยังไง รอดูการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายแม่คือตัวรัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้ชัด ถ้ารัฐบาลครบวาระก็ต้องเลือกตั้งตามกรอบกำหนดเวลา ไอ้ที่ว่ารัฐบาลจะรักษาการกันไปเรื่อย ๆ เลยเถิดไม่มีจุดหมายมันทำไม่ได้!
ทางเดียวถ้าจะไม่เลือกตั้งก็คือต้องฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วใครจะทำล่ะ?
สัมพันธภาพระหว่างกองทัพกับรัฐบาลชุดนี้มันไม่ได้สนิทแนบแน่นอย่างที่ใครคิดนะครับ หลายงานที่นายกรัฐมนตรีออกงาน ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ไม่ได้มาด้วยตัวเอง บางครั้งบางทีนั่งอยู่ในงานเดียวกับนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ลุกขึ้นเดินทางกลับ ผู้นำเหล่าทัพก็ไม่ได้เดินตามไปส่ง ภาพเล็ก ๆ แบบนี้มันฉายสัญญาณบางประการในทางการเมืองเหมือนกันนะครับ
ถ้าคิดจะทำกันจริง ๆ มาถึงวันนี้อย่าคิดว่าจะสำเร็จง่าย ๆ นะครับ กองทัพอย่านึกว่าแน่นัก ดู “ซาอุฯ” กับ “อาร์เจนตินา” บ้าง!
https://www.facebook.com/Nattawut.UDD/posts/688628609285406
ก้าวไกล ผิดหวัง ส.ส.รัฐบาล ขวางสภาตรวจสอบ รถไฟฟ้าสายสีส้ม หวังฟันส่วนต่าง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2561588
พรรคก้าวไกล ผิดหวัง ส.ส.รัฐบาลขวางสภาตรวจสอบรถไฟฟ้าสายสีส้ม พบกำลังพยายามชงเรื่องเข้า ครม. หวังฟันส่วนต่าง “ค่าโกง” 68,613 ล้านบาท
วันที่ 24 พ.ย. นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวในฐานะผู้เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา “ขอให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติเพื่อส่งความเห็นและข้อเสนอแนะสำหรับ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ไปให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ” ซึ่งผลการลงมติเสียงข้างน้อยของฝ่ายค้านแพ้เสียงข้างมากของฝ่ายรัฐบาลไป 139 ต่อ 190 คะแนน โดยนายสุรเชษฐ์ รู้สึกผิดหวังกับการตัดสินใจลงมติขัดขวางการตรวจสอบด้วยอำนาจนิติบัญญัติของ ส.ส.รัฐบาล ซึ่งจะส่งผลให้ภาษีประชาชนหายไปจากเงินส่วนต่าง “ค่าโกง” มากถึง 68,613 ล้านบาท
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนในนามของผู้เสนอญัตติขอขอบคุณทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพราะเรื่องนี้ทางพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้มีการประชุมแกนนำพรรคร่วมฝ่ายค้านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมีการพูดคุยในวิปฝ่ายค้านเมื่อวานนี้ จึงเป็นที่มาที่ไปของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ซึ่งกรณีรถไฟฟ้าสายสีส้ม เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ ที่จะส่งผลให้ภาษีประชาชนหายไปจาก “ส่วนต่าง” ของการประมูล 2 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 68,613 ล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตาม ยังรู้สึกเสียดายที่สภาแห่งนี้โดยเสียงข้างมากของ ส.ส.รัฐบาล จงใจที่จะหลีกเลี่ยงการตรวจสอบโดยสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งข้อเท็จจริงก็ชัดเจน เป็นข่าวอยู่มากมายอย่างกว้างขวางในประเด็นการประมูลโดยมิชอบของรถไฟฟ้าสายสีส้ม
มีข้ออ้างจากสมาชิกบางส่วนที่ลงมติไม่เห็นด้วยว่าเรื่องนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบในชั้นศาล จากคดีที่เอกชนฟ้องร้องกันหลายคดี ตนอยากเรียนว่าเรื่องนี้ต้องพิจารณาว่าอำนาจตุลาการและอำนาจนิติบัญญัติมีความต่างกัน และเดินไปพร้อมๆ กันได้ ไม่ต้องรอให้ทางใดทางหนึ่งจบ เพราะถ้าปล่อยให้มีการเซ็นสัญญากันโดยยังไม่มีความชัดเจนแบบทุกวันนี้ จะกลายเป็นปัญหาผูกพันในอนาคตอย่างน้อย 35 ปี ดังนั้นเรื่องนี้ต้องตรวจสอบคู่ขนานกัน
“การที่สภาเสียงข้างมากเลือกที่จะปฏิเสธไม่ให้พิจารณาในวาระนี้ ทั้งที่วาระต่อๆ ไปเป็นเพียงเรื่องเพื่อทราบ ในขณะที่สัมปทานรถไฟฟ้าสายสีส้มเป็น ‘เรื่องด่วน’ ที่กำลังมีความพยายามรีบชงเข้า ครม. นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นเร่งด่วนที่เราต้องเสนอญัตติด่วนด้วยวาจา” สุรเชษฐ์ กล่าว...
ขอให้ประชาชนรวมถึงสื่อมวลชนทุกท่านช่วยกันจับตาว่ารถไฟฟ้าสายสีส้มจะมีการเร่งอนุมัติโดย ครม. ก่อนยุบสภาหรือไม่ เพราะเรากำลังพูดถึงงบประมาณมหาศาล นี่คือเงินส่วนต่าง “ค่าโกง” 68,613 ล้านบาท สุรเชษฐ์ ทิ้งท้าย