JJNY : 5in1 ยกฟ้องคดีชายชุดดำภาค 2| ‘สมคิด’ชี้ไม่มีผลกับพท.| ก้าวไกลโต้เด็กปชป.| ต.ค. เงินเฟ้อยังคงระดับสูง| ศก.จีนหนาว!

ศาลอาญา ยกฟ้อง คดีชายชุดดำ ภาค 2 ชี้พยานโจทก์เบิกความขัดกันไม่น่าเชื่อถือ
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7352588
 
ศาลอาญา ยกฟ้อง คดีชายชุดดำ ภาค 2 ชี้พยานโจทก์เบิกความขัดกันไม่น่าเชื่อถือ เล็งยื่น อสส.พิจารณาถอนฟ้อง แจงเป็นเหตุการณ์เดียวกันเเต่ถูกฟ้องซ้ำหลายคดี
 
เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 7 พ.ย.65 ห้องพิจารณา 910 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษา คดีชายชุดดำ หมายเลขดำ อ.212/2564 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายกิตติศักด์ หรืออ้วน สุ่มศรี และ นายปรีชา อยู่เย็น ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรอง ไว้ก่อน , พ.ร.บ.อาวุธสงครามฯ
 
กรณีเมื่อวันที่ 10 เม.ย.53 เวลากลางคืน จำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนและเครื่องยิงลูกระเบิดยิงไปที่ถ.ข้าวสาร แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร หลายนัดหลายลูก ใส่เจ้าพนักงานทหารและเจ้าหน้าที่อื่นซึ่งตั้งแนวโล่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยป้องกันเหตุร้ายโดยเจตนาฆ่าเป็นเหตุให้ พ.อ.ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ได้รับอันตรายทุพพลภาพ ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 24 นายได้รับบาดเจ็บ
 
โดยวันนี้เบิกตัวจำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำส่วนจำเลยที่ 2 เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ
 
โดยศาลพิเคราะห์เเล้วเห็นว่า พยานซึ่งเป็นผู้บาดเจ็บถูกยิง เห็นจำเลยครั้งแรกในทีวีตามที่ปรากฏเป็นข่าว ก็เบิกความว่าไม่รู้ว่ากระสุนมาจากทิศทางใด และไม่รู้จักจำเลยมาก่อน ส่วนพยานปากอื่นเบิกความข้อเท็จจริง คล้ายกับพยานโจทก์ข้างต้น ว่าไม่มีผู้ใดพบว่าจำเลยทั้งสองยิงใส่เจ้าหน้าที่ เเม้จะมีพยานบางปากอ้างว่าเห็นจำเลยขับรถตู้ฝ่าวงเข้ามาพร้อมตะโกนด่าพยานเเละมีการเผยเห็นอาวุธสงครามที่อยู่พื้นรถตู้
 
เเต่พยานปากดังกล่าวเคยไปเบิกความในคดีที่ศาลอาญาใต้ ซี่งเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันพยานเคยเบิกความว่าจำไม่ได้ คำเบิกความจึงขัดกันกับที่เบิกความในศาลนี้ เเละไม่มีเหตุผลว่าจำเลยจะขนอาวุธเข้ามาเเละเปิดเผยใบหน้ากับเจ้าหน้าที่ พยานปากนี้มีน้ำหนักน้อยขัดกับเหตุผล
 
จากข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันดังกล่าวเกิดเหตุหลายเหตุการณ์มีเสียงกระสุนปืนหลายนัด เเต่ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้ง 2 กระทำผิดเหตุการณ์ใดบ้าง การที่พยานเบิกความว่าจำเลยเคยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ก็มีน้ำหนักน้อยเเละได้ความว่าจำเลยให้การรับสารภาพเพราะโดนซ้อมทรมาน พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
 
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ กล่าวว่า ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์ไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 2 ไปยิงทหารในวันดังกล่าว เนื่องจากมีเหตุการณ์เกิดขึ้นหลายจุด และมีเสียงยิงปืนดังต่อเนื่องหลายจุด ซึ่งพยานบุคคลของโจทก์ เบิกความขัดกับพยานในคดีอื่น คำเบิกความพยานโจทก์นั้นจึงไม่น่าเชื่อถือ และ นายธำรงค์ หลักแดน ซึ่งเป็นทนายความ นำพยานหลักฐานเข้าสู้หักล้างทำให้ศาลเห็นว่าคดีนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็ทำให้จำเลยและลูกสาวได้รับความเดือดร้อน
 
นายวิญญัติ กล่าวต่อว่า จำเลยควรได้รับการปล่อยตัว เพราะศาลยกฟ้องโดยที่ไม่ได้ยกเพราะยกประโยชน์แห่งความสงสัย แต่ศาลยกฟ้องเพราะฟังพยานหลักฐานโจทก์ไม่ได้เลยจึงควรจะปล่อยตัว แต่จำเลยที่ 1 ก็ยังคงถูกขังคดีอื่น ซึ่งเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับจำเลยมา 4-5 คดี และคดีใหม่นี้จะสอบคำให้การวันที่ 22 พ.ย.นี้ เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่ากระบวนยุติธรรมบ้านเรามันถูกข้ามขั้นตอนและไม่ได้ถูกตรวจสอบอย่างแท้จริง ทำให้ครอบครัวจำเลยเดือดร้อน
เรากำลังปรึกษากันในทีมว่าจะไปยื่นคำร้องขอคววามเป็นธรรม ขอให้ อัยการสูงสุดพิจารณาถอนฟ้องคดี ซึ่งคดีนี้สำนักงานอัยการคดีพิเศษเป็นผู้รับผิดชอบสำนวน ตนอยากจะถามว่าใช้ดุลยพินิจอะไรในการสั่งฟ้อง พยานหลักฐานได้มีการกลั่นกรองดีแล้วหรือไม่ ถ้าทำโดยหละหลวมเราก็จะตั้งเรื่องในการยื่นฟ้องกลับต่อพนักงานอัยการ คดีนี้อัยการอาจถูกฟ้องได้ในอนาคต โดยหลังจากนี้เราจะยื่นขอปล่อยชั่วคราวในนัดสอบคำให้การครั้งต่อไป
 
“ถ้าอัยการสูงสุดทำได้ เราอยากขอให้ท่านถอนฟ้อง หรือให้ความเป็นธรรมในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งแม้คดีจะฟ้องศาลแล้ว แต่อำนาจของท่านสามารถนำกระบวนการเหล่านี้มาพิจารณาใหม่ได้อีก ตอนนี้เราไม่อาจก้าวล่วงว่าอัยการสูงสุดควรทำอย่างไร แต่ท่านใช้ดุลยพินิจของท่านได้ จำเลยที่ 1 ติดในเรือนจำตั้งเเต่ปี 57 เเต่กลับถูกนำเหตุการณ์เดียวกันมาฟ้องซ้ำเเล้ว ซ้ำเล่า“ นายวิญญัติ กล่าว
 
ด้าน น.ส.จุฑามาศ สุ่มศรี ลูกสาวของจำเลยที่ 1 กล่าวว่า ขอบคุณศาลที่ให้ความเป็นธรรมกับพ่อ เพราะตนรอเวลานี้มานานแล้ว ที่ผ่านมาพอตัดสินคดีก็มีคดีใหม่เข้ามา ตอนนี้ยังเหลืออีก 1 คดีเป็นคดีใหม่ที่พ่อยังต้องถูกจองจำอยู่
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 16 ก.พ.64 ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษายกฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.4022/2557 หรือคดีชายชุดดำ สำนวนเเรก ซึ่งเป็นคดีที่ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายกิตติศักดิ์ หรืออ้วน สุ่มศรี ชาวกรุงเทพมหานคร, นายปรีชา หรือไก่เตี้ย อยู่เย็น ชาวจังหวัดเชียงใหม่, นายรณฤทธิ์ หรือนะ สุริชา ชาวจังหวัดอุบลราชธานี, นายชำนาญ หรือเล็ก ภาคีฉาย ชาวกรุงเทพมหานคร และ นางปุนิกา หรืออร ชูศรี ชาวกรุงเทพมหานคร เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานร่วมกันมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 8 ทวิ 55, 72, 78 และข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมือง ที่ชุมชน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต
 
กรณีเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยทั้ง 5 กับพวกที่ยังหลบหนี และพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันพาอาวุธ เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิด ที่สามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินให้เกิดความเสียหายได้
 
อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 ปืนเอ็ม 16 ปืนเอชเค 33 หรือ ปืนอาก้า ซึ่งนายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กทม. ซึ่งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งในเวลาเกิดเหตุมีการชุมนุมกันของประชาชนจำนวนมาก
 
ซึ่งวัน เวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธสงครามของกลาง กระทั่งวันที่ 11 ก.ย. 2557 เจ้าพนักงานติดตามจับกุมพวกจำเลยทั้ง 5 ส่งพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดี
 


‘สมคิด’ ชี้ ‘ป้อม’ ไม่ยื้อ ‘ตู่’ เรื่องในพรรค พปชร. ไม่มีผลกับเพื่อไทย เป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้
https://www.matichon.co.th/politics/news_3660238
 
‘สมคิด’ ปัดตอบปม ‘บิ๊กป้อม’ ไม่ยื้อ ‘บิ๊กตู่’ ขึ้นแคนดิแดตนายกฯ พปชร. ลั่น ‘เพื่อไทย’ แลนด์สไลด์จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ ไม่ต้องจับมือใคร
 
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ยื้อหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะไปอยู่พรรคอื่นว่า ถือเป็นเรื่องภายในพรรค พปชร. ซึ่งคนในพรรค พปชร.หลายคนบอกว่าถ้าจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคต่อ อาจจะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี และจะเป็นปัญหาต่อการปฏิบัติหรือการทำงาน ดังนั้น หากมีการเสนอ พล.อ.ประวิตร ก็จะเป็นหัวหน้าพรรค เพื่อเดินหน้าทำงานการเมืองต่อไป ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบต่อพรรค พท.อะไรทั้งนั้น เราสนใจเพียงว่าต้องทำงานให้หนักเพื่อให้ประชาชนตัดสินใจเลือก
 
เมื่อถามว่า หาก พล.อ.ประวิตรขึ้นเป็นมาแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะส่งผลดีต่อพรรค พท.แลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งหรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะแต่ละพรรคการเมืองก็ต่างชูแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีกัน ฉะนั้น จึงไม่มีผลต่อพรรค พท.ไม่ว่าจะชูใคร เราถือว่าทุกคนคือคู่ต่อสู้ทางการเมืองที่จะต้องแข่งขันกันอยู่แล้ว
 
ถามต่อว่า จะเป็นชนวนรอยร้าวของ 3 ป.และส่งผลกระทบต่อรัฐบาลในช่วงนี้หรือไม่ นายสมคิดกล่าวว่า มองว่ามีผลกระทบแน่ อย่างน้อยๆ ถ้าดูตามข่าว 3 ป.ทำตัวเหมือนรักกัน ความจริงเขาก็คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์กันหรอก เพียงต่อหน้าสังคมต้องเป็นพี่เป็นน้อง แต่เรื่องจริงในการบริหารจัดการเห็นได้ชัดว่ามันแตกแยก ข้างในคุณจะสวีตหวานยังไงก็ช่าง แต่การปฏิบัติตัวอย่างนอกมันเห็นได้ชัดอยู่
 
เมื่อถามถึงกระแสข่าวการจับมือร่วมกันของพรรค พท.และพรรค พปชร. นายสมคิดกล่าวว่า ไม่มีเรื่องดีลระหว่างกัน ยืนยันว่าวันนี้พรรค พท.ยังไม่คิดจะจับมือใครทั้งนั้น เราจะทำแลนด์สไลด์ให้เห็นและเป็นรัฐบาลเพียงพรรคเดียว
 


ก้าวไกล โต้ เด็กปชป. ปมโดนล็อบบี้ คัดเลือกร้านอาหาร ส.ส. ยัน ไม่ได้รับเงินใคร
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7352554
 
“ก้าวไกล” ยัน ไม่เคยให้-รับเงินจากใคร หลัง เด็กปชป. กล่าวหา ส.ส.พรรคสีส้ม ทุจริตล็อบบี้กรณีคัดเลือกผู้ประกอบการจัดหาอาหารให้ ส.ส.
 
เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2565 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวกรณีนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นหนังสือถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบความโปร่งใส ในการคัดเลือกผู้ประกอบการในการจัดหาอาหารและเครื่องดื่มให้กับส.ส. โดยกล่าวหาว่าตัวแทนจากพรรคก้าวไกลในคณะกรรมการคัดเลือก มีการล็อบบี้ให้คัดเลือกผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งเป็นการเฉพาะ
 
นายรังสิมันต์ กล่าวว่า โดยปกติแล้วผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับว่าจ้างจากสภาผู้แทนราษฎร ในการรับเหมาให้บริการอาหารสำหรับส.ส. จะได้รับการต่อสัญญาแบบรายปี โดยมีคณะกรรมการที่รัฐสภาตั้งขึ้นจากตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ เป็นผู้พิจารณา ทั้งนี้ เท่าที่ตนทราบ ร้านที่ได้รับการว่าจ้างในปัจจุบัน เป็นร้านที่มีความเกี่ยวพันกับนักการเมืองบางคนในฝั่งรัฐบาล ดังนั้น จึงไม่แปลกที่การคัดเลือกครั้งนี้ ซึ่งมีการเปลี่ยนตัวผู้ประกอบการจะนำไปสู่การเสียผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม และทำให้ต้องออกมาโวยวาย
 
ผมไม่ทราบว่านายวัชระทราบถึงแรงจูงใจแบบนี้หรือไม่ แต่เมื่อมีการออกมาแถลงข่าวแบบนี้ ผมต้องขอยืนยันว่าในกระบวนการคัดเลือกนั้น พรรคก้าวไกลไม่มีการให้เงินทองหรือรับเงินทองจากใคร การคัดเลือกที่เกิดขึ้นเป็นกระบวนการที่มาจากการพิจารณาโดยคณะกรรมการ จึงเป็นไปได้ที่ผู้ได้รับว่าจ้างรายเดิมอาจไม่ได้รับการคัดเลือก” นายรังสิมันต์ กล่าว
 
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่นายวัชระ ระบุว่าไม่กังวลว่าจะมีปัญหา เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์จะไม่จับมือกับพรรคก้าวไกลนั้น พรรคก้าวไกลขอยืนยันเช่นกันว่า พรรคยึดมั่นในคุณค่าระบอบประชาธิปไตย การจับมือกับพรรคการเมืองใดก็ตาม พรรคเหล่านั้นก็ต้องยึดถือในคุณค่าเหล่านี้ด้วย และเป็นบริบทที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นหลักสำคัญที่สุด
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่