โฆษณา สสส.ที่ ชวนให้คนกินน้ำหวาน ในความหวานน้อย ระดับ 2 คือไม่เกิน 2ช้อนชา/เเก้ว ตอนนี้คนไทยกินได้ มีกี่คน

สั่ง กาเเฟเย็น ตามนั้นเลย  2 ชช.ครับ ดูดมา อึกแรก เเทบ อ้วก บ้วนทิ้ง ขมสุดๆ แทบจะขึ้นสมอง
ต้องเอาน้ำต่าลมาใส่เพิ่ม อีกช้อน ถึงจะพอทนกิน ไปได้ สองวัน
 วันนี้ เอาใหม่ก็ ยังพอไหว เเต่ก็ขอ เพิ่มน้ำตาล ครึ่งช้อน
 คิดว่า  คงต้องใช้เวลา สัก 1-2 อาทิตย์ กว่าจะชิน( ตั้งใจเเล้วว่าต้องกินให้ได้/เเต่ ส่วนมาก กินน้ำเปล่า  กิน น้ำหวานเฉพาะวันหยุด )
ตอนนี้ มีใคร กิน  2 ช้อน เเล้ว บ้าง ครับ

ปล.  ศ.พญ.ชุติมา ศิริกุลชยานนท์ หัวหน้าโครงการเด็กไทยดูดีมีพลานามัย แผนอาหารเพื่อสุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า
จากผลการสำรวจปริมาณน้ำตาลในร้านขายเครื่องดื่มบนถนนสายเศรษฐกิจ เนื่องในวันเบาหวานโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 14 พฤศจิกายนของทุกปี
พบว่าปริมาณน้ำตาลของร้านขายเครื่องดื่มบริเวณมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตพญาไท ถนนราชวิถีรอบบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และถนนสีลม
เพื่อเปรียบเทียบปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่ม 1 แก้ว ปริมาณ 250 มิลลิลิตร (มล.) จำนวน 62 ร้านค้า
โดยเก็บตัวอย่างเมนูยอดนิยม 1 ใน 5 อันดับ และเครื่องดื่มที่มาจากร้านที่ให้ความร่วมมือในการวิจัย รวม 270 ตัวอย่าง
พบว่า เครื่องดื่มข้างทาง ที่มีปริมาณน้ำตาลมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ
แดงโซดา ปริมาณน้ำตาล 15.5 ช้อนชา
โอวัลติน 13.3 ช้อนชา
ชามะนาว 12.6 ช้อนชา
ชาดำเย็น 12.5 ช้อนชา
นมเย็น 12.3 ช้อนชา
ส่วน ชาเย็น กาแฟเย็น ชาเขียวเย็น มีปริมาณน้ำตาลเฉลี่ย 11 ช้อนชา และ โกโก้มีปริมาณน้ำตาล 10.8 ช้อนชา

ศ.พญ.ชุติมา กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าองค์การอนามัยโลกแนะนำ ไม่ควรบริโภคน้ำตาลจากอาหารทุกชนิดเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน
 แต่จากผลการสำรวจปริมาณน้ำตาลในเครื่องดื่มย่านการค้าและใจกลางเมืองกลับพบว่า เพียงบริโภคเครื่องดื่มหวาน 1 แก้ว (250 มล.) 
ก็มีปริมาณน้ำตาลที่เกินความต้องการที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวันเกือบเท่าตัว 

นอกจากนี้จากเดิมที่คาดว่า เครื่องดื่มประเภทขุ่นที่มีส่วนผสมของนม นมข้นหวานหรือครีมเทียมจะมีปริมาณน้ำตาลมากกว่า
 แต่กลับพบว่าเครื่องดื่มประเภทใสกลับมีปริมาณน้ำตาลสูงกว่า ซึ่งอาจเนื่องจากชามะนาวที่รสเปรี้ยวของมะนาว ทำให้ต้องใส่น้ำตาลเพิ่มความหวานมากขึ้น

     ทพญ.ปิยะดา ประเสริฐสม ผู้จัดการโครงการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สสส. กล่าวว่า พฤติกรรมบริโภคเครื่องดื่มหวานบนถนนสายเศรษฐกิจสะท้อนถึงวิถีชีวิตของคนวัยทำงานและนักศึกษา ซึ่งถือเป็นแรงงานที่สำคัญของประเทศ เป็นสัญญาณอันตรายโดยไม่รู้ตัว 
เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารอาหารน้อย แต่มีน้ำตาลและไขมันสูง ซึ่งเป็นรากของปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) ทั้งเบาหวาน ความดัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่