หยุดกินเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟรุกโตสกันเถอะ ...ลองอ่านดูข้อมูลแล้วจะรู้ว่าสมควรหยุด Stop....!!!

ปกติตอนเราซื้อเครื่องดื่มในร้านสะดวกซื้อเช่น 7-11 หรือ Mini Big C , Lotus express เราจะเห็นเครื่องดื่มมากมายอยู่ในตู้แช่เย็นจำนวนหลายร้อยขวด เราลองคิดดูว่าอันไหนมีประโยชน์ต่อตัวเรามากจริง ๆ วันนี้ขอยกตัวอย่างเครื่องดื่มชนิดนึงที่จขกท.ได้เคยชอบดื่มมาสักพักแต่พอหมอประจำตัวและข้อมูลที่น่าเชื่อถือในอินเตอร์เนต ทำให้จขกท.คือกลัวมาก ๆ ยิ่งมีพุงด้วยยิ่งคิดมากไปเลย ออกกำลังลดด่วน ไม่งั้นอยู่ไม่ถึง 90 ปีแน่ ๆ .....

เช่น ชาเขียวเย็นหลายยี่ห้อเลย ไม่ขอเอ่ยยี่ห้อนะลองอ่านฉลากด้านข้างดูนะ มีจำนวนชาผสมอยู่เล็กน้อยและมีสิ่งนึงจำนวนอาจจะดูน้อยประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ นั่นคือ........................    
                                                                          *********น้ำตาลฟรุกโตส*********
ดูเหมือนจะใส่อยู่น้อยนะ 6-7 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้ากินเข้าไปบ่อย ๆ ก็มีผลตามมาและผลค่อนข้างร้ายแรงด้วยสิ


                                 ฟรุกโตส ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวายร้ายทำลายสุขภาพของคนเรา  นายแพทย์  สมบูรณ์  รุ่งพรชัย    แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย  ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ (Vitallife Wellness Center)  ในเครือโรงพยาบาลบำรุงราษฏร์ ได้กล่าวในบทความเรื่อง สารให้ความหวาน  มหันตภัยทำลายสุขภาพ  ผ่านทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ วันจันทร์ที่ 11 มกราคม 2559 หน้า 21 ว่า  เราควรเลือกรับประทานน้ำตาลชนิดที่มีประโยชน์  เพราะน้ำตาลแต่ละชนิดนั้นให้ผลไม่เหมือนกัน เช่น

กลูโคส (Glucose)  เป็นน้ำตาลที่ร่างกายสร้างขึ้นเองตามธรรมชาติโดยสังเคราะห์ขึ้นที่ตับ  จากการเปลี่ยนพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากอาหารเช่น ข้าว  ได้กลูโคส  และกลูโคสก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่ตับและจะถูกส่งต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย  กลูโคสเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นแหล่งพลังงานหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์สมอง

ฟรุกโตส (Fructose)  เป็นน้ำตาลอีกประเภทหนึ่งที่พบในผักและผลไม้ เป็นน้ำตาลที่เราเติมเข้าไปในเครื่องดื่ม  เช่น น้ำอัดลม  น้ำผลไม้กล่อง  เป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากน้ำตาลกลูโคส เนื่องจาก ฟรุกโตส ไม่ได้สร้างพลังงานให้กับกล้ามเนื้อและสมองเลย  แต่จะส่งตรงไปที่ตับและสะสมเป็นไขมันพอกอยู่ที่ตับ

นอกจากนี้ นายแพทย์  สมบูรณ์  รุ่งพรชัย  ยังได้กล่าวว่า  ฟรุกโตส ยังไประงับการหลั่งของสาร อินซูลิน อีกด้วย จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคที่เกิดจากการเผาผลาญอาหารที่ผิดปกติ  เช่น โรคความดันสูง  น้ำตาลในเลือดสูง  โรคอ้วนลงพุง  ระดับคอเลสเตอรอลผิดปกติ  ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคหัวใจและโรคเบาหวานตามมาอีกด้วย

น้ำเชื่อมที่มีฟรุกโตสสูง (Hight Fructose Corn Syrup – HFCS) ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วง พ.ศ.  2490  มีราคาถูก  โดยสกัดมาจากข้าวโพด   ซึ่งต่อมาน้ำเชื่อมนี้ก็ได้มีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วไป  ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่าง ๆ และอาหาร  เนื่องจากมีราคาถูกกว่าน้ำตาลทรายจากอ้อย  น้ำเชื่อมฟรุกโตสนี้ถือว่าเป็นมหันตภัยของความหวานอันดับแรก ๆ ที่เราควรหลีกเลี่ยง

เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่จำหน่ายทั่วไปนั้น  กำลังกัดกร่อนสุขภาพของคนไทย  เพราะความหวานจากน้ำตาลที่เป็นส่วนผสมอยู่ในเครื่องดื่ม  เช่น ชาเขียวพร้อมดื่มในขวดหนึ่งมีน้ำตาลอยู่ถึง  12  ช้อนชา ในขณะที่องค์การอนามัยโลกให้ค่าบริโภคน้ำตาลของร่างกายที่เหมาะสมคือ  6  ช้อนชาหรือ  24  กรัมต่อวันเท่านั้นเอง

ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องดื่มต่าง ๆ เป็นที่นิยมของผู้บริโภคมาก  อุตสาหกรรมเหล่านี้จึงหันมาใช้ ฟรุกโตสไซรัป (Fructose Syrup)  ที่เราเรียกว่า  น้ำเชื่อมฟรุกโตส หรือ น้ำเชื่อมข้าวโพด เพราะให้ความหวานกว่าน้ำตาลทรายถึง  6  เท่า และอยู่ในรูปของเหลวจัดเก็บได้ง่าย  และราคาถูกกว่าน้ำตาลทราย  ประหยัดค่าขนส่ง  ทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้  ทุกวันนี้น้ำเชื่อมฟรุกโตสจึงถูกนำไปใช้แทนน้ำตาลในอุตสาหกรรมอาหาร ใช้เป็นส่วนประกอบอาหารแทบทุกชนิด  ตั้งแต่เครื่องดื่ม  ขนมขบเคี้ยว  คุกกี้  ไอสครีม ฯลฯ

การบริโภคน้ำเชื่อมฟรุกโตสในปริมาณที่สูงถึงร้อยละ  42 – 55  แสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านสุขภาพเนื่องจากการบริโภคฟรุคโตสเป็นการทำลายระบบการทำงานของตับ และไประงับ ฮอร์โมนอิ่ม (Leptin hormone) ทำให้กินไม่รู้จักอิ่มและกินเกินความต้องการ และจากผลการวิจัยของสหรัฐอเมริกาพบว่า น้ำเชื่อมฟรุคโตสสูงเป็นพิษต่อร่างกายและสามารถทำลายระบบลำไส้ได้ด้วย

ดร. เนตรนภิส วัฒนสุชาติ   นักโภชนาการ สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ในฐานะนักวิชาการทำงานในเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน  ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  กล่าวว่า ฟรุกโตส เมื่อเข้าสู่กระแสเลือดส่วนใหญ่จะพุ่งตรงไปที่ตับ และนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ ในวันหนึ่งถ้าเราบริโภคฟรุกโตสเกิน  6  ช้อนชาอยู่เป็นประจำ  ฟรุกโตสจะเปลี่ยนเป็นไตรกลีเซอร์ไรด์  คือไขมันสะสมอยู่ในกระแสเลือด  ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการสะสมไขมันในตับและบริเวณพุง  กลายเป็นโรคอ้วนตามมาด้วย

นายแพทย์ สันต์  ใจยอดศิลป์ ซึ่งเคยเป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจ อยู่  20  ปี เป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจที่ Greelane Hospital , Ackland , New Zealand   เป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจที่  Brigham & Women’s Hospital  เป็นโรงพยาบาลในเครือ Harvard  ที่เมือง บอสตัน  สหรัฐอเมริกา   เป็นแพทย์ผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลราชวิถี  กรุงเทพฯ   เป็นกรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย อยู่หลายสมัย และเคยทำงานบริหารเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 2 อยู่เป็นเวลา 6 ปี ฯลฯ ยังได้อธิบายเรื่องนี้ว่า ฟรุกโตสที่เหลือใช้จะถูกนำไปเก็บที่ตับในรูปของไขมัน  ถ้ามีมาก ๆ ก็จะเกิดภาวะไขมันแทรกตับ ถ้าแทรกมาก ๆ เซลล์ตับก็จะแตกเสียหายเป็นตับอักเสบ  ตับก็จะพยายามซ่อมด้วยการแทรกพังผืดเข้าทำให้กลายเป็นตับแข็ง  และภาวะตับแข็งนี้จะนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้  การบริโภคน้ำเชื่อมฟรุกโตสมากเกินไปก็ทำให้เกิดผลเสียได้

ทันตแพทย์ หญิง  ปิยดา  ประเสริฐสม ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ  ผู้จัดการเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าว  ฟรุกโตสทำให้คนอิ่มไม่เป็น  เช่นเวลาหิว น้ำตาลในกระแสเลือดจะลด  สมองก็จะบอกว่าขาดอาหารแล้ว และเมื่อกินจนอิ่ม  น้ำตาลในกระแสเลือด จะเริ่มขึ้นเป็นปกติ จึงส่งสัญญาณไปที่สมองว่าอิ่มแล้ว  ฮอร์โมนหิว (Ghrelin hormone)  ก็จะหยุดหลั่ง เราจะกินน้อยลง  แต่สำหรับฟรุกโตสไม่เกิดกลไกนี้  เพราะย่อยไม่ได้ในลำไส้ปกติ  ร่างกายจึงนำไปเก็บไว้ที่ตับ     น้ำตาลในกระแสเลือดจึงขึ้นช้ามาก   เราก็กินอาหารเข้าไปมากและบ่อย      นั่นคือฟรุกโตสทำให้เราอร่อยแต่ไม่อิ่ม

สรุปคือ   ไม่แนะนำให้ดื่มเลยดีที่สุด *****น่ากลัวอยู่นะ ไขมันพอกตับและยังไปลดการหลั่งอินซูลินอีก (ฮอร์โมนที่หลั่งมาจากตับอ่อนเพื่อเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้กลายเป็นพลังงานและส่งไปเลี้ยงยังส่วนต่าง  ๆ ของร่างกาย) คิดดูถ้าอินซูลินหลั่งน้อยน้ำตาลสะสมในเลือดจะพุ่งขึ้นสูง เบาหวานถามหาแน่ ๆ
และไขมันพอกตับพอตับทำงานไม่ได้ตับแข็งเรา พอตับไม่ทำงานก็ไม่มีอวัยวะที่คอยดักจับสิ่งแปลกแปลมจากเลือด เลือดเสีย ......ไม่ไหว ๆ

แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะหยุดสต๊อปทันทีเลยนะ....................หากชอบทานก็นาน ๆ ที (นาน ๆ ก็ประมาณปีละหน 555  ก็ทานได้แต่ห้ามบ่อยและอย่ากินทุกวัน ) น้ำผลไม้กล่องก็เหมือนกันนะ น้ำตาลไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว  .......ลองพิจารณากันดี ๆ นะ ที่เคยคิดว่ากินน้ำผลไม้และน้ำผลกล่องแล้วจะสุขภาพดีตามโฆษนา ....


เราผู้บริโภคอย่าคิดสั้น ๆ แค่ว่าอร่อย ๆ แล้วก็กินเข้าไปเพราะปัจจุบันคนไทยและประชากรโลกเป็นโรคเบาหวานกันหลายล้านคนแล้วนะ.......หุหุ

ลองอ่านดูดี ๆ ว่าทำไม น้ำตาลจากอ้อยแพงกว่า......แต่น้ำตาลเทียมพวกนี้ถูกกว่าไง...หุหุ ลดต้นทุน...แล้วผลร้ายคือใครหรือ.....

คนขายคนคิดอาหารพวกนี้เค้าไม่ได้กิน......แต่คนกิน..ไม่ได้ขาย...แต่คนกินคือ....ตายเร็วขึ้น ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่