เห็นนิมิต เห็นอดีต เห็นอนาคต เห็นกฎแห่งกรรม ภาค 2

คราวนี้เราจะพูดถึงเรื่อง นิมิต กันบ้าง ซึ่งตอนเราไปปฎิบัติธรรมครั้งแรกที่ขอนแก่นที่มีครูบาอาจารย์สั่งสอน ไม่นับที่เราเคยปฎิบัติเอาเองมาก่อนหน้านั้น เราก็ได้ยิน ได้ฟังผู้ที่ไปปฎิบัติธรรมด้วยกันพูดถึงเรื่อง นิมิต ตอนที่ตนเองนั่งสมาธิทำกรรมฐาน ตอนที่ไปสอบอารมณ์กับพระอาจารย์ที่ฝึกสอน

ซึ่งแต่ละคนก็บอกเล่าสิ่งที่ตนเองเห็นใน นิมิต ให้พระอาจารย์ฟังแตกต่างกันไปต่างๆนานา ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่ผ่านการเข้าปฎิบัติธรรมมาแล้วทั้งนั้น แต่เราจำเป็นต้องไปอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเขาเหล่านั้น เพราะได้รับอนุญาตจากพระอาจารย์ให้อยู่ปฎิบัติธรรมต่อได้ จนกว่าเราจะสึก

เพราะท่านเห็นความตั้งใจของเราที่บวชชีโกนผมและปฎิบัติธรรมให้ลูก ซึ่งแรกๆที่เราเริ่มปฎิบัติธรรม ตอนที่นั่งสมาธิเราจะเห็นแต่ดวงแก้ว ดวงใส ตลอด ยิ่งพระอาจารย์บอกว่าเห็นอะไร เจออะไรก็ให้กำหนดไปตามที่เห็น ไม่เคยเห็น นิมิต ที่เป็นภาพเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนคนอื่นๆเลย

ดวงแก้ว ดวงใส ที่เราเห็นตอนที่นั่งสมาธิเราก็ไม่ได้เห็นแบบชัดเจน เป็นดวงหลอดไฟเหมือนกับไฟที่ใช้กันตามบ้าน แต่มันเป็นแสงที่เหมือนกัน ใครเอาไฟฉายมาส่องที่ตรงเปลือกตา ในตอนที่เราหลับตาอยู่เท่านั้น

แล้วมันก็ตีกัน เหมือนมันต้านกันกับการที่ต้องดู ท้องยุบ ท้องพอง ตามที่พระอาจารย์ฝึกให้เราและทำให้ท่านต้องเปลี่ยนวิธีปฎิบัติธรรมให้เราใหม่ โดยให้เราลดเวลานั่งสมาธิลง และเพิ่มเวลาเดินจงกลมมากขึ้น ให้กำหนดรู้ ตามดูอาการของตัวเองที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ซึ่งก่อนที่เราจะเห็น นิมิต ของตัวเองเป็นดวงแก้ว ดวงใส เวลาที่เรานั่งสมาธิ เราไม่ค่อยสงบ ฟุ้งซ่านตลอด คิดโน่น คิดนี่ คิดไม่หยุด หยุดคิดก็ไม่ได้ แต่หลังจากเปลี่ยนวิธีฝึก อาการคิดฟุ้งซ่านของเราก็ดีขึ้น แต่ก็ยังคงคิดอยู่ แค่คิดน้อยลง

เมื่อมันคิดน้อยลง เราก็เห็นความคิดของตัวเองชัดขึ้น ที่บอกว่าเห็นชัดเราไม่ได้หมายความว่าเราเห็นเป็นภาพ เห็นเป็นเหตุการณ์เหมือนกับที่ตาเนื้อเราเห็นนะ มันเป็นแค่ภาพ มโน เท่านั้นเอง 

ให้นึกว่าเรานั่งคิดถึงเรื่องราวอะไรสักอย่างแล้วก็มีภาพ มโน ผุดขึ้นมาในหัว ความคิดเราตอนที่นั่งสมาธิอยู่ ก็เป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน แต่มันแตกต่างกันที่ว่า ตอนที่เราเห็นความคิดนั้นในสมาธิ เราไม่ได้มีความอยากเห็นเช่นนั้น อยากเห็นภาพนั้น อยากได้ยินเสียงนั้น อยากรู้เรื่องนั้น หรือนึกถึงเรื่องราวแบบนั้นมาก่อนที่ มโนภาพ จะผุดขึ้นมาในหัว

แค่จู่ๆมันก็คิดของมันเองขึ้นมาเฉยๆ แบบไม่มีที่มาที่ไป ซึ่งหลังจากนั้นเราก็เคยลองนั่งสมาธิ อยากเห็นความคิดที่เคยเห็น เคยรู้ เคยได้ยินมาแล้วจากใน ความคิดเราตอนนั่งสมาธิ แต่เวลาที่เรามีความอยาก เราไม่เคยได้รู้ ได้เห็น นิมิต หรือความคิดอะไรที่เหมือนแบบนั้นเลย

เราจะยกตัวอย่างความคิดที่เราคิดว่าเป็น นิมิต ของเราในตอนนั้น มันเป็นแค่คำพูดที่อยู่ในหัวเราตอนนั้น บอกแค่ว่า "ตอนเราได้เขามา เราขอมาด้วยบุญด้วยกุศลของเราไม่ใช่เหรอ แต่พอเราได้เขามาแล้ว เรากลับไม่สร้างบุญสร้างกุศล เขาก็จะเอากลับ " แค่นั้น นั่นทำให้เราได้รู้เหตุผลว่าทำไมเราถึงจะเสียลูกเราไป 

เพราะเมื่อเรามาคิดพิจารณาตามคำพูด ที่เราได้ยินในความคิดของเราตอนนั้น ว่ามันเป็นจริงหรือไม่ เราก็ปฏิเสธไม่ได้ ว่ามันคือ ความจริง เพราะตอนเราขอลูกเรามา เราขอเขามาด้วยบุญด้วยกุศลของเราจริงๆ และเมื่อได้เขามาแล้ว เราก็ไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศลเพิ่มขึ้นเลยจริงๆ เพราะเรามั่วแต่ยุ่ง 

วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงดูลูก จากที่เคยสวดมนต์ทุกวันก็ไม่ได้สวดเลย จากที่เคยไปวัดทำบุญเป็นประจำก็ไม่ได้ทำเลย จากที่เคยใส่บาตรทุกเช้าก็ไม่เคยได้ใส่เลย เราก็เห็นแล้วว่ามันเป็นความจริงตามคำพูดนั้นทุกอย่าง

มาถึงเรื่อง กฎแห่งกรรม กันบ้างเราก็ได้เห็น กฎแห่งกรรม มาจากความคิดที่เป็น นิมิต ของเราจากตอนที่นั่งสมาธิในคราวนั้นเช่นกัน มันได้ผุดขึ้นมาเป็น มโนภาพ ให้เราเห็นการกระทำของเราตอนเป็นเด็ก ที่เราขึ้นไปปีนต้นไม้แล้วไปเอาลูกนกมาเล่น จนสุดท้ายเป็นผลให้ลูกนกต้องตาย และรับรู้ถึงแรงอาฆาต ของพ่อแม่นกที่บินโฉบเฉี่ยวไปมา อยู่บนต้นไม้ตอนนั้น

และทำให้เรารู้ในตอนนั้นว่า เราจะต้องพลัดพรากจากลูกของเราเพราะบาปกรรมที่เราทำในคราวนั้น ซึ่งคิดง่ายๆ ก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตมาตั้งหลายปี เราไม่เคยคิดถึงเรื่องที่เราทำตอนเป็นเด็กในคราวนั้น

แต่ทำไมมันมาทำให้เราคิดได้ใน สมาธิ ตอนนั้น และเมื่อเรามาคิดพิจารณาดู เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้อีกเช่นเคย เพราะนั้นคือความจริง เราได้ทำเช่นนั้นจริงๆ และเมื่อเรารู้ถึงผลของสิ่งที่เราทำในครั้งนั้น ว่าจะทำให้เราต้องพลัดพรากจากลูก เราก็พยายามจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นจริง

แต่สุดท้ายเราก็ไม่สามารถหนีผลของการกระทำของตัวเองได้ เพราะยิ่งเราฝืนมันมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งจะเดือดร้อน แต่ถึงแม้ว่าเราจะยอมเดือดร้อน แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องพลัดพรากจากลูกอยู่ดี เพราะเราไม่สามารถทำให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองได้ นี่แหละที่เขาว่าหนีกรรมไม่พ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่