เรื่อง ศาลาริมทาง
ต้องขอท้าวความก่อนว่าตัวเราเอง เกิด และเติบโตที่ต่างจังหวัด ก่อนจะย้ายตามพ่อ แม่ มาอยู่กรุงเทพฯ
ตอนอายุ 13 ด้วยความที่เป็นหลานคนเดียว และปู่ ย่า ตา ยาย อยู่ที่ต่างจังหวัดทุกๆ ปิดเทอม ไม่ว่าจะ
ปิดเทอมเล็กไม่กี่วัน หรือปิดเทอมใหญ่เป็นเดือนๆ จะต้องกลับมาอยู่ที่บ้านปู่ทุกเทอม คือบ้าน ปู่ กับบ้านตา
จะรั้วติดกัน และมีประตูไม้เล็กๆ ไว้เปิดหากันได้ตลอด ปู่ กับ ตา เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กยันแก่
ตาเราเป็นตำรวจ ส่วนบ้านปู่เราทำนา ทำสวนผัก กับทำไรข้าวโพด แกมีที่ดินเยอะทั้งทำเองด้วย
และให้คนเช่าทำกินด้วยที่ดินของปู่ลากยาวไปจนติดกับถนนทางหลวงชนบทซึ่งเป็นแยกที่เป็นถนนลูกรัง
ที่จะเข้าหมู่บ้าน สมัยก่อนชาวบ้านส่วนใหญ่จะมารอรถกันตรงนั้น ทวด (พ่อของปู่)เลยสร้าง
ศาลาริมทาง ลึกเข้าไปในที่ดินของตัวเองเอาไว้ให้ชาวบ้านได้ใช้รอรถสองแถวใหญ่
ที่จะผ่านมาตรงนี้เพื่อเข้าไปในตัวอำเภอ ชาวบ้านจะได้เอาไว้หลบฝนหลบแดด
เรื่องที่เราจะเล่าให้ฟังก็เกิดขึ้นที่ศาลาริมทางตรงนี้นี่แหละ เราเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ใช้ศาลานี้
เป็นประจำเวลากลับมาเยื่ยมบ้านปู่กับตา ช่วงปิดเทอม รถสองแถวจากตัวอำเภอมาจอดส่งเราตรงนี้
แต่ครั้งนี้เราพาเพื่อนมาด้วย ชื่อหนุ่ม กับสา หนุ่มเป็นเพื่อนสาวที่ออกแนวบอยๆ หน่อยคือจะมีลุคที่ดูเป็น
เด็กผู้ชายน่ารักๆ ขาวๆ ตัวเล็กๆ ส่วนสาก็จะเรียบร้อยๆ หน่อยผิดกับเราลิบลับเลย พวกเราอยู่บ้านติดกันค่ะ
ที่กรุงเทพฯ พ่อแม่รู้จักกันและเคยมาเที่ยวงานบุญกับที่บ้านเราเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ปิดเทอมเล็กไม่กี่วัน
พวกเราเลยขออนุญาตผู้ใหญ่มาเที่ยวบ้านปู่กันเอง
รถสองแถวมาส่งพวกเราที่ศาลาริมทางแห่งนี้ประมาณเกือบๆ หกโมงเย็นซึ่งก็เป็นรอบสุดท้ายของวันนั้น
เรามีชาวบ้านนั่งรถมาด้วยอีกประมาเจ็ดแปดคน ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ค้าที่เข้าไปขายของในตัวอำเภอ
เพราะมีพวกตระกร้าใส่ของ และถุงกระสอบสายรุ้งใหญ่ๆ ติดตัวกันมาแทบทุกคน พอลงจากรถสองแถวคันใหญ่
แต่ละคนก็รีบเดินจ้ำอ้าว กลับหมูบ้านกันทันที แต่พวกเรานี่สิลงจากรถแล้วก็มานั่งพักที่ศาลาก่อนด้วยเหตุผลที่ว่า
มุมนี้เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแสงสีส้ม กำลังสวย หนุ่มเลยขอถ่ายรูปไว้ก่อน สมัยนั้นเรายังไม่มีมือถือนะ
จะมีก็แต่กล้องฟิล์ม มรดกตกทอดจากพ่อของหนุ่มมัน หนุ่มมันชอบถ่ายรูป พวกเราก็ได้แต่เออออตามใจนาง
สักพักเราก็พากันเดินเข้าหมู่บ้านกันอยู่ๆ นังหนุ่นก็อุทานขึ้นมาเสียงดังจนเราตกใจรีบถามว่าอะไร นางก็บอกว่า
ให้เรากับสา รออยู่ตรงนี้แปบนึง เพราะนางดันลืมกระเป๋าใส่กล้องไว้ที่ศาลาแล้วก็รีบวิ่งกลับไปไม่นานนางก็
กระหืดกระหอบกลับมาพร้อมบอกว่าโชคดีนะที่ไม่หายมีพี่ผู้ชายคนนึงเก็บไว้ให้เราเลยถามว่ามีคนอยู่ด้วยหรอ
นังหนุ่มก็บอกว่าใช่ สงสัยมารอรถมั้ง หน้าตาอย่างหล่อเลย เราเองก็แอบสงสัยนิดๆ เพราะว่ารถที่เรามานั้น
น่าจะเป็นรถเที่ยวสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทางที่เราเดินเข้าหมู่บ้านนั้นเป็นถนนลูกรังมีหลุมมีบ่อบ้างถ้าตอนสว่างๆ ก็คงไม่มีปัญหา แต่ว่าตอนนี้
มันเริ่มมืดแล้ว ไฟทางก็ไม่มีเลยเดินลำบากอยู่ กว่าจะถึงบ้านปู่ก็มืดพอดี เราไม่ได้โทรเลขมาบอกปู่ว่าจะมาวันไหน
ปู่เลยไม่ทราบ ไปถึงรั้วก็ล็อคกุญแจไฟก็ปิดเลยเดินไปบ้านตาปรากฏว่าไฟดับเหมือนกันใจนี่หายแวบขึ้นมาเลย
นึกในใจว่าเค้าไปไหนกันหมดวะ สาเลยบอกว่าไปรอที่ร้านค้ากันมั๊ยเห็นยังเปิดไฟอยู่ พวกเราเลยเดินไปที่ร้าน
ป้านอมทันที ร้านป้านอมแกขายของชำ และก๋วยเตี๋ยว จะมีโต๊ะหินอ่อนให้นั่งอยู่สองตัว ก๋วยเตี๋ยวแกหมดแล้ว
พวกเราเลยสั่งน้ำอาซีกับขนมก๊อบแก๊บ มานั่งกินกัน แล้วก็ถือโอกาสถามป้านอมด้วยว่าที่บ้านปู่เค้าไปไหนกัน
ป้านอมเลยบอกว่าตนในหมู่บ้านเค้าไปบ้านผู้ใหญ่กัน วันนี้มีงานสวดศพลูกผู้ใหญ่บ้าน(ตามธรรมเนียมที่นั่นเค้าจะ
เอาศพไว้ที่บ้านเมื่อครบวันแล้ว จึงจะน้ำไปเผาที่วัด) ตอนนี้ก็คงใกล้จะกลับแล้วล่ะพวกเราเลยถึงบางอ้อ
นั่งรอนั่งเล่นกันอีกสักหน่อยค่อยเดินไปดู แต่ไม่นาน ปู่ กับ ตาก็เดินมาพร้อมกัน ตามด้วยย่ากับยายเรา
เดินตามหลังมา ปู่เอาปลัดขิกอันใหญ่มาฝากป้านอมบอกว่าหมอธรรมแกฝากมาให้ชาวบ้าน แกเลยเดินแจกทุก
บ้านที่ผ่านเลยทำให้กลับช้า ส่วนพวกเราก็โบกไม้โบกมือใหญ่พอปู่เห็นก็ดีใจ แถมดุนิดๆ ว่าจะมาวันไหนก็ไม่บอก
เราก็เลยอ้อนใหญ่ว่าหนูหิวววว แกเลยรีบพาพวกเรากลับบ้านจะได้กินข้าวกินปลา วันนั้นตากับยายก็มากินข้าว
ด้วยกันที่บ้านปู่ หนุ่มถามปู่ว่าทำไมต้องแจกปลัดขิกชาวบ้านด้วย ตาเลยตอบแทนไปว่า ช่วงนี้มีคนไหลตายบ่อย
คนที่นี่เค้าเชื่อว่ามีผีแม่ม่ายออกอาละวาด ก็เลยเชิญหมอทำพิธีขับไล่ หมอธรรมก็ให้ปลัดขิก มาให้ชาวบ้าน
เอาไว้แขวนหน้าบ้าน เขาเล่ากันมาว่าผีแม่ม่ายจะเข้ามาสมสู่กับผู้ชายในตอนดึกจนทำให้ผู้ชายคนนั้นโดนเอา
วิญญาณไป พอตอนเช้าก็สิ้นลมเสียแล้ว แต่ถ้าบ้านไหนเอาปลัดขิกไปแขวนไว้หน้าบ้าน ผีแม่ม่ายก็จะสมสู่กับ
ปลัดขิกนั้นแทน ไม่เข้ามาทำอะไรผู้ชายในบ้าน แล้วอีกวิธีแก้เคล็ดก็คือ ให้ผู้ชายทาเล็บสีแดง พวกเราเลยหันไป
มองที่เล็บของปู่ กับตาทันที และใช่ค่ะ แดงแปร้ดเลย สองเฒ่าก็หัวเราะแบบเขินๆ หน่อย แล้วย่าก็บอกว่าเดี๋ยวกิน
ข้าวเสร็จให้หนุ่มไปทาเล็บที่บ้านยายด้วย นังหนุ่มเองก็ตกปากรับคำทันทีเพราะนางชอบอยู่แล้ว
พอตกตอนดึกนังหนุ่มอาบน้ำเสร็จก็บอกเรากับสาว่าจะไปบ้านตา จะไปทาเล็บแดง เราก็ถามว่าจะให้เรา
ไปด้วยไหมนางก็บอกว่าไม่เป็นไร แค่นี้เองไปได้อยู่แล้ว นางหายไปพักใหญ่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมานอน
สาเลยถามว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนา หนุ่มเลยบอกว่าเจอหนุ่มหล่อที่เจอหน้าหมู่บ้านเค้าเดินผ่านหน้าบ้าน
ตอนที่เดินกลับ ก็เลยทักทายกันนิดหน่อย หนุ่มบอกว่าพี่คนนั้นหน้าตาหล่อเหลาอย่างกับเหินฟ้า ที่เป็นละครดัง
ในช่วงนั้นซึ่งแสดงโดยหนุ่ม ศรราม เรากับสาก็ได้แต่แซวว่า นอนได้แล้วจะน้องสวย นางเองของเหินฟ้านั่นเองพร้อม
เสียงหัวเราะคิกคักกันตามประสาเด็กวัยรุ่น จนหลับไปตอนไปไม่แน่ใจ เรางัวเงียตื่นขึ้นมาตอนตีสี่เพราะปวดฉี่
ปรากฏว่าหนุ่มหายไป!!!! เราตกใจมากรีบปลุกทุกคนในบ้าน สาเองก็ตกใจว่าหนุ่มหายไปไหน หากันทั้งบ้านก็ไม่
เจอ เลยไปที่บ้านตา ยายลงมานึ่งข้าวพอดี เราก็รีบวิ่งไปหายายเลย ถามยายว่าหนุ่มมาที่บ้านยายไหม ยายก็บอก
ว่าไม่เห็นนะ เรานี่ใจหายไปอยู่ตาตุ่มเลย มันไปไหนว่ะ ถ้าที่บ้านรู้จะว่ายังไง อุตส่าห์ได้รับความไว้วางใจให้มาเที่ยว
กันเองได้ครั้งแรกก็เกิดเรื่องเลย ตาบอกว่าเดี๋ยวฟ้าก็จะสว่างแล้วให้พวกเราไปเปลี่ยนเสื้อพา แล้วจะพาไปตามหา
หนุ่มกัน คงไม่ไปไหนไกลหรอกยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคน ตะโกนเรียกตาเรา
"จ่าสินๆ ตื่นรึยัง"
ตารีบเดินไปหน้าบ้านก็คุยกับผู้หญิงคนนั้นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เดินกลับมาบอกพวกเราว่าไม่ต้องไปหาแล้ว
เค้าเจอเจ้าหนุ่มมันนอนอยู่ที่ศาลาทางเข้าหมู่บ้านปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เค้าจำได้ว่าเมื่อวานมันมาพร้อมกับหนูขิง
(ชื่อเราเอง)เดี๋ยวตาจะไปกับปู่เอารถอีแต๋นไปรับเอา เราเลยนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่ขนตระกร้าขายของ
ขึ้นรถมาพร้อมกับเราเมื่อตอนเย็น ได้ยินว่าเจอหนุ่มเราเองก็โล่งใจ แต่ก็แอบโมโหอยู่เหมือนกันว่ามันจะไป
ที่ศาลาริมทางนั้นทำไมตอนมืดๆ แถมไกลเป็นกิโล ย่าเลยพาเรากับสากลับไปอาบน้ำกินข้าวรอที่บ้าน
ปู่กับตาขับรถอีแต๋นไปตั้งแต่ตีห้า จนเกือบเจ็ดโมงแล้วยังไม่เห็นกลับมาเราก็เริ่มกังวลใจอีกรอบว่ามันเกิด
อะไรขึ้นหว่า!!! หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนังหนุ่มแน่ๆ เรารอจนเกือบสิบโมงเช้า ตาก็ขับรถอีแต๋นกลับมาแค่คนเดียว
เราพยายามชะเง้อหาหนุ่มตั้งแต่รถเข้ารั้วบ้านมาเลย ตารีบบอกเลยว่าหนุ่มอยู่ที่วัด เมื่อคืนมันโดนผีหลอก
ขึ้นรถมาเร็วเดี๋ยวตาพาไปเรากับสาก็รีบไปกับตาทันที
ศาลาริมทาง
ต้องขอท้าวความก่อนว่าตัวเราเอง เกิด และเติบโตที่ต่างจังหวัด ก่อนจะย้ายตามพ่อ แม่ มาอยู่กรุงเทพฯ
ตอนอายุ 13 ด้วยความที่เป็นหลานคนเดียว และปู่ ย่า ตา ยาย อยู่ที่ต่างจังหวัดทุกๆ ปิดเทอม ไม่ว่าจะ
ปิดเทอมเล็กไม่กี่วัน หรือปิดเทอมใหญ่เป็นเดือนๆ จะต้องกลับมาอยู่ที่บ้านปู่ทุกเทอม คือบ้าน ปู่ กับบ้านตา
จะรั้วติดกัน และมีประตูไม้เล็กๆ ไว้เปิดหากันได้ตลอด ปู่ กับ ตา เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กยันแก่
ตาเราเป็นตำรวจ ส่วนบ้านปู่เราทำนา ทำสวนผัก กับทำไรข้าวโพด แกมีที่ดินเยอะทั้งทำเองด้วย
และให้คนเช่าทำกินด้วยที่ดินของปู่ลากยาวไปจนติดกับถนนทางหลวงชนบทซึ่งเป็นแยกที่เป็นถนนลูกรัง
ที่จะเข้าหมู่บ้าน สมัยก่อนชาวบ้านส่วนใหญ่จะมารอรถกันตรงนั้น ทวด (พ่อของปู่)เลยสร้าง
ศาลาริมทาง ลึกเข้าไปในที่ดินของตัวเองเอาไว้ให้ชาวบ้านได้ใช้รอรถสองแถวใหญ่
ที่จะผ่านมาตรงนี้เพื่อเข้าไปในตัวอำเภอ ชาวบ้านจะได้เอาไว้หลบฝนหลบแดด
เรื่องที่เราจะเล่าให้ฟังก็เกิดขึ้นที่ศาลาริมทางตรงนี้นี่แหละ เราเองก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ใช้ศาลานี้
เป็นประจำเวลากลับมาเยื่ยมบ้านปู่กับตา ช่วงปิดเทอม รถสองแถวจากตัวอำเภอมาจอดส่งเราตรงนี้
แต่ครั้งนี้เราพาเพื่อนมาด้วย ชื่อหนุ่ม กับสา หนุ่มเป็นเพื่อนสาวที่ออกแนวบอยๆ หน่อยคือจะมีลุคที่ดูเป็น
เด็กผู้ชายน่ารักๆ ขาวๆ ตัวเล็กๆ ส่วนสาก็จะเรียบร้อยๆ หน่อยผิดกับเราลิบลับเลย พวกเราอยู่บ้านติดกันค่ะ
ที่กรุงเทพฯ พ่อแม่รู้จักกันและเคยมาเที่ยวงานบุญกับที่บ้านเราเมื่อปีที่แล้ว ปีนี้ปิดเทอมเล็กไม่กี่วัน
พวกเราเลยขออนุญาตผู้ใหญ่มาเที่ยวบ้านปู่กันเอง
รถสองแถวมาส่งพวกเราที่ศาลาริมทางแห่งนี้ประมาณเกือบๆ หกโมงเย็นซึ่งก็เป็นรอบสุดท้ายของวันนั้น
เรามีชาวบ้านนั่งรถมาด้วยอีกประมาเจ็ดแปดคน ส่วนใหญ่จะเป็นแม่ค้าที่เข้าไปขายของในตัวอำเภอ
เพราะมีพวกตระกร้าใส่ของ และถุงกระสอบสายรุ้งใหญ่ๆ ติดตัวกันมาแทบทุกคน พอลงจากรถสองแถวคันใหญ่
แต่ละคนก็รีบเดินจ้ำอ้าว กลับหมูบ้านกันทันที แต่พวกเรานี่สิลงจากรถแล้วก็มานั่งพักที่ศาลาก่อนด้วยเหตุผลที่ว่า
มุมนี้เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตกดินแสงสีส้ม กำลังสวย หนุ่มเลยขอถ่ายรูปไว้ก่อน สมัยนั้นเรายังไม่มีมือถือนะ
จะมีก็แต่กล้องฟิล์ม มรดกตกทอดจากพ่อของหนุ่มมัน หนุ่มมันชอบถ่ายรูป พวกเราก็ได้แต่เออออตามใจนาง
สักพักเราก็พากันเดินเข้าหมู่บ้านกันอยู่ๆ นังหนุ่นก็อุทานขึ้นมาเสียงดังจนเราตกใจรีบถามว่าอะไร นางก็บอกว่า
ให้เรากับสา รออยู่ตรงนี้แปบนึง เพราะนางดันลืมกระเป๋าใส่กล้องไว้ที่ศาลาแล้วก็รีบวิ่งกลับไปไม่นานนางก็
กระหืดกระหอบกลับมาพร้อมบอกว่าโชคดีนะที่ไม่หายมีพี่ผู้ชายคนนึงเก็บไว้ให้เราเลยถามว่ามีคนอยู่ด้วยหรอ
นังหนุ่มก็บอกว่าใช่ สงสัยมารอรถมั้ง หน้าตาอย่างหล่อเลย เราเองก็แอบสงสัยนิดๆ เพราะว่ารถที่เรามานั้น
น่าจะเป็นรถเที่ยวสุดท้ายแล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ทางที่เราเดินเข้าหมู่บ้านนั้นเป็นถนนลูกรังมีหลุมมีบ่อบ้างถ้าตอนสว่างๆ ก็คงไม่มีปัญหา แต่ว่าตอนนี้
มันเริ่มมืดแล้ว ไฟทางก็ไม่มีเลยเดินลำบากอยู่ กว่าจะถึงบ้านปู่ก็มืดพอดี เราไม่ได้โทรเลขมาบอกปู่ว่าจะมาวันไหน
ปู่เลยไม่ทราบ ไปถึงรั้วก็ล็อคกุญแจไฟก็ปิดเลยเดินไปบ้านตาปรากฏว่าไฟดับเหมือนกันใจนี่หายแวบขึ้นมาเลย
นึกในใจว่าเค้าไปไหนกันหมดวะ สาเลยบอกว่าไปรอที่ร้านค้ากันมั๊ยเห็นยังเปิดไฟอยู่ พวกเราเลยเดินไปที่ร้าน
ป้านอมทันที ร้านป้านอมแกขายของชำ และก๋วยเตี๋ยว จะมีโต๊ะหินอ่อนให้นั่งอยู่สองตัว ก๋วยเตี๋ยวแกหมดแล้ว
พวกเราเลยสั่งน้ำอาซีกับขนมก๊อบแก๊บ มานั่งกินกัน แล้วก็ถือโอกาสถามป้านอมด้วยว่าที่บ้านปู่เค้าไปไหนกัน
ป้านอมเลยบอกว่าตนในหมู่บ้านเค้าไปบ้านผู้ใหญ่กัน วันนี้มีงานสวดศพลูกผู้ใหญ่บ้าน(ตามธรรมเนียมที่นั่นเค้าจะ
เอาศพไว้ที่บ้านเมื่อครบวันแล้ว จึงจะน้ำไปเผาที่วัด) ตอนนี้ก็คงใกล้จะกลับแล้วล่ะพวกเราเลยถึงบางอ้อ
นั่งรอนั่งเล่นกันอีกสักหน่อยค่อยเดินไปดู แต่ไม่นาน ปู่ กับ ตาก็เดินมาพร้อมกัน ตามด้วยย่ากับยายเรา
เดินตามหลังมา ปู่เอาปลัดขิกอันใหญ่มาฝากป้านอมบอกว่าหมอธรรมแกฝากมาให้ชาวบ้าน แกเลยเดินแจกทุก
บ้านที่ผ่านเลยทำให้กลับช้า ส่วนพวกเราก็โบกไม้โบกมือใหญ่พอปู่เห็นก็ดีใจ แถมดุนิดๆ ว่าจะมาวันไหนก็ไม่บอก
เราก็เลยอ้อนใหญ่ว่าหนูหิวววว แกเลยรีบพาพวกเรากลับบ้านจะได้กินข้าวกินปลา วันนั้นตากับยายก็มากินข้าว
ด้วยกันที่บ้านปู่ หนุ่มถามปู่ว่าทำไมต้องแจกปลัดขิกชาวบ้านด้วย ตาเลยตอบแทนไปว่า ช่วงนี้มีคนไหลตายบ่อย
คนที่นี่เค้าเชื่อว่ามีผีแม่ม่ายออกอาละวาด ก็เลยเชิญหมอทำพิธีขับไล่ หมอธรรมก็ให้ปลัดขิก มาให้ชาวบ้าน
เอาไว้แขวนหน้าบ้าน เขาเล่ากันมาว่าผีแม่ม่ายจะเข้ามาสมสู่กับผู้ชายในตอนดึกจนทำให้ผู้ชายคนนั้นโดนเอา
วิญญาณไป พอตอนเช้าก็สิ้นลมเสียแล้ว แต่ถ้าบ้านไหนเอาปลัดขิกไปแขวนไว้หน้าบ้าน ผีแม่ม่ายก็จะสมสู่กับ
ปลัดขิกนั้นแทน ไม่เข้ามาทำอะไรผู้ชายในบ้าน แล้วอีกวิธีแก้เคล็ดก็คือ ให้ผู้ชายทาเล็บสีแดง พวกเราเลยหันไป
มองที่เล็บของปู่ กับตาทันที และใช่ค่ะ แดงแปร้ดเลย สองเฒ่าก็หัวเราะแบบเขินๆ หน่อย แล้วย่าก็บอกว่าเดี๋ยวกิน
ข้าวเสร็จให้หนุ่มไปทาเล็บที่บ้านยายด้วย นังหนุ่มเองก็ตกปากรับคำทันทีเพราะนางชอบอยู่แล้ว
พอตกตอนดึกนังหนุ่มอาบน้ำเสร็จก็บอกเรากับสาว่าจะไปบ้านตา จะไปทาเล็บแดง เราก็ถามว่าจะให้เรา
ไปด้วยไหมนางก็บอกว่าไม่เป็นไร แค่นี้เองไปได้อยู่แล้ว นางหายไปพักใหญ่ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กลับมานอน
สาเลยถามว่าอารมณ์ดีอะไรนักหนา หนุ่มเลยบอกว่าเจอหนุ่มหล่อที่เจอหน้าหมู่บ้านเค้าเดินผ่านหน้าบ้าน
ตอนที่เดินกลับ ก็เลยทักทายกันนิดหน่อย หนุ่มบอกว่าพี่คนนั้นหน้าตาหล่อเหลาอย่างกับเหินฟ้า ที่เป็นละครดัง
ในช่วงนั้นซึ่งแสดงโดยหนุ่ม ศรราม เรากับสาก็ได้แต่แซวว่า นอนได้แล้วจะน้องสวย นางเองของเหินฟ้านั่นเองพร้อม
เสียงหัวเราะคิกคักกันตามประสาเด็กวัยรุ่น จนหลับไปตอนไปไม่แน่ใจ เรางัวเงียตื่นขึ้นมาตอนตีสี่เพราะปวดฉี่
ปรากฏว่าหนุ่มหายไป!!!! เราตกใจมากรีบปลุกทุกคนในบ้าน สาเองก็ตกใจว่าหนุ่มหายไปไหน หากันทั้งบ้านก็ไม่
เจอ เลยไปที่บ้านตา ยายลงมานึ่งข้าวพอดี เราก็รีบวิ่งไปหายายเลย ถามยายว่าหนุ่มมาที่บ้านยายไหม ยายก็บอก
ว่าไม่เห็นนะ เรานี่ใจหายไปอยู่ตาตุ่มเลย มันไปไหนว่ะ ถ้าที่บ้านรู้จะว่ายังไง อุตส่าห์ได้รับความไว้วางใจให้มาเที่ยว
กันเองได้ครั้งแรกก็เกิดเรื่องเลย ตาบอกว่าเดี๋ยวฟ้าก็จะสว่างแล้วให้พวกเราไปเปลี่ยนเสื้อพา แล้วจะพาไปตามหา
หนุ่มกัน คงไม่ไปไหนไกลหรอกยังไม่ทันขาดคำก็ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคน ตะโกนเรียกตาเรา
"จ่าสินๆ ตื่นรึยัง"
ตารีบเดินไปหน้าบ้านก็คุยกับผู้หญิงคนนั้นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เดินกลับมาบอกพวกเราว่าไม่ต้องไปหาแล้ว
เค้าเจอเจ้าหนุ่มมันนอนอยู่ที่ศาลาทางเข้าหมู่บ้านปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น เค้าจำได้ว่าเมื่อวานมันมาพร้อมกับหนูขิง
(ชื่อเราเอง)เดี๋ยวตาจะไปกับปู่เอารถอีแต๋นไปรับเอา เราเลยนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนที่ขนตระกร้าขายของ
ขึ้นรถมาพร้อมกับเราเมื่อตอนเย็น ได้ยินว่าเจอหนุ่มเราเองก็โล่งใจ แต่ก็แอบโมโหอยู่เหมือนกันว่ามันจะไป
ที่ศาลาริมทางนั้นทำไมตอนมืดๆ แถมไกลเป็นกิโล ย่าเลยพาเรากับสากลับไปอาบน้ำกินข้าวรอที่บ้าน
ปู่กับตาขับรถอีแต๋นไปตั้งแต่ตีห้า จนเกือบเจ็ดโมงแล้วยังไม่เห็นกลับมาเราก็เริ่มกังวลใจอีกรอบว่ามันเกิด
อะไรขึ้นหว่า!!! หรือจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนังหนุ่มแน่ๆ เรารอจนเกือบสิบโมงเช้า ตาก็ขับรถอีแต๋นกลับมาแค่คนเดียว
เราพยายามชะเง้อหาหนุ่มตั้งแต่รถเข้ารั้วบ้านมาเลย ตารีบบอกเลยว่าหนุ่มอยู่ที่วัด เมื่อคืนมันโดนผีหลอก
ขึ้นรถมาเร็วเดี๋ยวตาพาไปเรากับสาก็รีบไปกับตาทันที