ท้ายบทที่แล้ว
แต่ถึงจะมีแสงตะเกียงบางส่วนส่องออกไปนอกศาลาได้บ้าง ยังมองอะไรไม่ถนัด เพราะนอกศาลาด้านนี้ มีต้นมะม่วงยืนต้นเรียงราย เป็นแถวเป็นแนว แต่ยังพอมีแสงจันทร์ส่งผ่านลงมาบ้าง ทำให้เห็นเงาตะคุ่ม พอดูออกว่าเป็นผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง รูปร่างท้วม เดินช้า ๆ ในลักษณะเอามือป้องใบหน้า เดินไปเดินมาข้างศาลาด้านนอก
......
คุณยาย...ผีซ่อนแอบ 2/2
แม้จะมองไม่เห็นแบบชัดเจนเต็มตา แต่ก็ทำให้ผมขนลุก เย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง เมื่อความรู้สึกบอกตัวเองว่าไม่ใช่คน ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้าจะให้ทายก็ต้องทายว่านั่นคือยายบุญล้อมนั่นเอง แกคงตามหาหลานของแกอยู่
ยายบุญล้อมเดินห่างออกไปด้านข้าง ในลักษณะเดินวนรอบศาลา พร้อมกับเสียงเยือกเย็น
อยู่ไหนเอ่ย... อยู่ไหนเอ่ย...
พอมีเสียงสั่นประสาทน่าสะพรึง ลมที่เคยสงบก็เริ่มพัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หน้าต่างศาลาเปิดปิดสลับกันปึงปัง ผมผละออกจากช่องลมอิฐบล็อกหันไปมองอย่างอกสั่นขวัญหาย เห็นกับตาว่ามีมือขาว ๆ ยาว ๆ ยื่นเข้ามาทางหน้าต่างบานหนึ่ง ทำท่าควานหาไปมา ก่อนหดหายกลับไปด้านนอก แล้วเปลี่ยนไปยื่นมือเข้ามาทางหน้าต่างบานถัดไป ไล่เรียงไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย อะไรบางอย่างกำลังพยายามเข้ามาสำรวจในศาลาเท่าที่จะทำได้
ทันใดนั้นเอง เณรน้อยด้านข้างที่กำลังนั่งมองผ่านช่องอิฐบล็อกออกไป ลุกพรวดพราดขึ้น วิ่งไปเขย่าร่างของบรรดาเณรซึ่งพากันคลุมโปงอยู่บนพื้นศาลา ตะโกนเสียงลั่นว่า พวกเราออกไปเล่นซ่อนแอบกัน
อากัปกิริยาของเณรน้อยดูผิดปกติวิสัยเหมือนถูกผีเข้า วิ่งไปเขย่า ตะโกนใส่บรรดาเณรแบบเต็มเสียง จนพวกเณรสะดุ้งผวาหน้าตาตื่นกันเป็นแถว เสียงเณรน้อยที่อยู่ข้างผม ร้องสำทับอีกว่า หลวงพ่อบอกให้เล่น ก็ต้องเล่น จะกลัวอะไร รีบไปกัน ผมไม่รู้ว่าคุณเณรเป็นอะไรไป ทำไมคิดจะเล่นซ่อนแอบในสถานการณ์ขนลุกขนพองสยองเกล้าแบบนี้ แค่อยู่ในศาลาหัวใจก็แทบกระดอนออกจากปากเพราะความหวาดกลัวอยู่แล้ว
หลวงพ่อบอกให้เล่น ก็ต้องเล่น...เณรน้อยยังคงร้องประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา วิ่งเขย่าร่างเณรรูปอื่นไม่ยอมหยุด
พออ้างถึงหลวงพ่อ เณรทุกรูปเหมือนได้สติ พากันกุลีกุจอลุกขึ้น ทั้งที่ใบหน้าขาวซีดปากคอสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่เหมือนไม่มีทางเลือก พากันจัดจีวรให้เข้าที่เข้าทาง เณรน้อยหันมาบอกผมให้ตามออกไปอีกคน จากนั้นก็นำหน้าบรรดาเณรทั้งหลาย รวมถึงเณรอู๋ด้วย วิ่งลงศาลาไป ผมไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก พอเห็นบรรดาเณรลงศาลา ก็วิ่งตามหลังไปติด ๆ ชนิดไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา รู้เพียงว่าไปรวมกลุ่มกับพวกเณร น่าจะดีกว่าอยู่บนศาลาคนเดียว ทั้งที่ข้างนอกบรรยากาศน่ากลัวมากกว่าในศาลาเป็นไหน ๆ
พอวิ่งออกมาจากศาลาได้ไม่เท่าไร เห็นบรรดาเณรทั้งหลายพากันเกาะกลุ่มร้องเอะอะโวยวายเสียงขรม เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน ผมมองสำรวจไปในเงามืดของเงาไม้ด้านหน้า ก็ต้องหัวใจสั่นหวิวลงทันทีกับภาพที่ไม่น่าจะเห็น
ผีถ้าคิดจะหลอกคน จะต้องหาทางหลอกจนได้ ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ เพราะท่ามกลางความมืดของเงาไม้ ผมกลับมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินโงนเงน ยื่นมือยาวเหยียดไขว่ตว้าออกไปข้างหน้าไปมาอย่างน่าขนลุก ทำไมมองเห็นชัดเจนได้ก็ไม่รู้ ทั้งที่อยู่ในเงาของดงไม้ ซึ่งก็คงอย่างที่ผมว่าไว้ละครับ ถ้าผีอยากหลอกแบบให้เห็นจะจะสามมิติ ผีก็คงมีวิธีของผี ทำให้คนมองเห็นจนได้ ไม่ว่าจะมืดมิดอย่างไรก็ตาม
ร่างน่ากลัวของยายบุญล้อมหยุดชะงักยืนนิ่ง พวกเราพากันหยุดร้อง หยุดเคลื่อนไหวไปด้วย ชนิดไม่ต้องมีใครบอก กอดกันกลม คิดว่าถ้าเราพากันเงียบ ยายบุญล้อมอาจมองไม่เห็นก็เป็นได้ เสียงลมกระโชกจนกิ่งไม้ไหวครืน เสียงหมาหอนเป็นระยะคงทำให้ยายบุญล้อมเกิดความสับสนบ้างละน่า ผมคิดปลอบใจตัวเอง ไม่กล้ามองตรง ๆ แต่ก็ไม่กล้าหลับตาเช่นกัน เพราะกลัวว่าพอลืมตาขึ้นมา จะเห็นยายบุญล้อมมายืนจ้องอยู่ข้างหน้าในระยะประชิด จะทำให้หนีไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ หรี่ตาชำเลืองมอง แบบพอสังเกตได้เท่านั้น
นาน...ในความรู้สึก ผมเห็นยายบุญล้อมที่ยืนนิ่งเริ่มมีการเคลื่อนไหว ยกมือชี้มาทางพวกเรา เสียงโหยแห้งปนมากับสายลมกระโชก
อยู่นี่เอง อยู่นี่เอง
ร่างของยายบุญล้อมเริ่มเดินโงนเงนโยกเยก ตรงเข้ามาหากลุ่มของพวกเราอย่างช้า ๆ เป็นภาพในฝันร้ายชัด ๆ กิ่งไม้ใบไม้สั่นไหวปั่นป่วนอื้ออึงรอบด้านไม่หยุดยั้ง ฝูงหมายังคงส่งประสานเสียงหอนเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ
เณรอู๋ดูเหมือนจะได้สติก่อนใคร ร้องบอกให้พากันหันหลัง วิ่งอ้อมศาลาไปอีกด้านหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นไปบนศาลา ไม่รู้ว่าเณรอู๋คิดอะไรอยู่ในตอนนั้น แต่พวกเราไม่มีเวลาคิดหาเหตุผล พอได้สติรีบพากันโกยแนบตามหลังเณรอู๋ไปทันที แต่ก็ต้องคอยระวังไม่ให้วิ่งชนต้นไม้ที่ขึ้นระเกะระกะแถวนั้น ถ้าพลาดไปคงได้ไปนอนหลบผียายบุญล้อม อยู่โรงพยาบาลเป็นแน่แท้
ผมอดชำเลืองมองด้านหลังไม่ได้ แม้จะรู้สึกขนลุกอกสั่นขวัญหายขนาดไหนก็ตาม อยากรู้ว่ายายบุญล้อมแกจะตามทันหรือเปล่า และก็ได้คำตอบทันทีเหมือนกัน
ร่างสว่างโพลงเหมือนเรืองแสงของยายบุญล้อม เดินโงนเงนโงกเงกตามหลังมาด้วยท่าทางไม่รีบร้อน แต่นั่นก็มากเกินพอสำหรับการเขย่าประสาทให้กระเจิง กับอากัปกิริยาร่างกาย บิดเบี้ยวสั่นไหวแบบผิดธรรมชาติ น่าขนลุกเป็นที่สุด ประหนึ่งกระดูกกระเดี้ยวของแกเคลื่อนตำแหน่งออกไปจากเดิมทุกส่วนสัด ทำงานไม่ประสานสอคคล้องกัน ทำให้เกิดกิริยาอาการสุดสยอง
ผีคนแก่ก็คงแบบนี้ละ ปรากฏร่างไม่ค่อยสมบูรณ์เต็มร้อย ผมอดคิดไม่ได้ แล้วรีบเผ่นตามหลังบรรดาเณรไปด้วยความเสียวสันหลังว่า ยายแกจะยื่นมือตามหลังจนทัน
พวกเราวิ่งเกาะกลุ่มกลับมาถึงประตูศาลา แสงไฟในศาลาสว่างออกมาประหนึ่งประตูสวรรค์ แต่ถ้าเป็นประตูสวรรค์จริง ๆ คงไปถึงยากเสียแล้ว
ไม่ใช่เพราะบุญไม่ถึง แต่เพราะบนระเบียงไม้ของศาลาหน้าประตูทางเข้านั่นเอง ร่างของยายบุญล้อมยืนสั่นไหวดักทางอยู่แล้ว แสงไฟส่องมาจากทางด้านหลัง ทำให้ใบหน้าแรเงาดำ มองไม่ถนัดชัดตา แต่ก็น่ากลัวไปอีกแบบ กับภาพร่างกายบิดเบี้ยวเพราะส่วนต่าง ๆ เคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กันนั่นเอง
กลุ่มของพวกเราปั่นป่วนอยู่หน้าทางเข้าศาลา เพราะไม่รู้จะไปทางไหน พากันร้องเสียงขรม ดึงดันฉุดแขนขากันวุ่นวาย
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
เสียงเยือกเย็นดังมาจากร่างร้ายอย่างสุดสั่นประสาท ทั้งที่บรรยากาศอึงอลปั่นป่วน ยังได้ยินชัดถ้อยชัดคำ พอมองเห็นแวบ ๆ ว่า แกเริ่มทำท่าจะก้าวลงมาตามบันได
มันไม่แฟร์... อันแฟร์... ผมนึกอย่างขุ่นแค้นใจ เล่นวาร์ปมาดักหน้าแบบนี้ ใช้ความเป็นผีเอาเปรียบกันชัด ๆ แน่จริงก็ไล่กันตามแบบคนปกติธรรมดา ยังพอรับได้ แบบนี้ไม่ต้องนับถือกัน
ยายบุญล้อมก็เริ่มก้าวเท้าลงมาตามขั้นบันไดอย่างช้า ๆ อย่างที่คิดเอาไว้ เป็นท่าทางการลงบันไดน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพราะแข้งขาทำงานผิดรูป หักเหบิดเบี้ยวไปคนละทิศละทาง เหมือนหุ่นยนต์ที่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ข้อต่อ ได้รับความเสียหายจนเคลื่อนไหวผิดปกติ เสียงบรรดาเณรพากันร้องเสียงหลง รูปโน้นจะไปทางนี้ รูปนี้จะไปทางนั้น ชุลมุนวุ่นวายไปหมด บางรูปหลบหน้าก้มหน้าไม่คิดชีวิต มือเกาะเณรรูปอื่นแน่น ทำให้พวกเราพากันหมุนคว้างอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
ยายบุญล้อมก้าวลงบันไดอย่างช้า ๆ แต่ดูเขย่าขวัญอย่างที่สุด ถ้ายังหนีไม่เป็นแบบนี้รับรองว่า ผียายบุญล้อมมีโอกาสเข้ามาถึงตัวแน่นอน
แต่แล้ว เหมือนโชคยังพอเข้าข้างพวกเราอยู่บ้าง ผียายบุญล้อมพอลงบันไดมาได้ครึ่งทาง ด้วยอากัปกิริยาวิปริตผิดมนุษย์ของการเคลื่อนไหว ทำให้แกเหยียบพลาด จนเสียหลักหัวทิ่มจากบันได นอนกลิ้งอยู่กับพื้น
ผีหล่นแล้ว ผีหล่นแล้ว... เสียงเณรบางรูปร้อง พวกเราไม่สนใจวิ่งอ้อมไปทาง เสียงร้องมาอีกว่า ไปโบสถ์กันเร็ว เป็นเณรน้อยที่คุ้นเคยร้องเตือน ทำให้พวกได้ได้สติ ประกอบกับเห็นยายบุญล้อมลงมากองอยู่กับพื้นอย่างหมดท่าผี กำลังใจจึงบังเกิดขึ้นทันที ถึงเป็นผีก็สะดุดเสียหลักพลาดท่าเป็น ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่หลายคนคิดกันเลยสักนิด เป็นผีก็ไม่จำเป็นต้องบอกหวยแม่นเสมอไป ของมันพลาดกันได้ พวกเราไม่รอช้า เกาะกลุ่มกันวิ่งอ้อมไปด้านหลังศาลา มุ่งหน้าไปหาโบสถ์ตามคำแนะนำของเพื่อนเณรแบบไม่ต้องบอกซ้ำสอง คราวนี้ไม่ต้องถึงขั้นวิ่งตะลีตาเหลือก เพราะยายบุญล้อมคงจะไล่ไม่ทันในช่วงนี้ เพิ่งตกบันได คงตั้งหลักไม่ทันแน่นอน
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงลานดินหน้าโบสถ์ได้อย่างสวัสดิภาพ ปราศจากการรบกวนของผีตนใด
อะไรนั่น...
ภิกษุรูปหนึ่งยืนสงบนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์ ลมกระโชกแรงเศษกิ่งไม้ใบหญ้าปลิวว่อน กิ่งใบต้นไม้รอบข้าง สะบัดไหวอื้ออึง หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นเอง เวลานี้ปกติท่านต้องจำวัด ไม่ใช่มายืนนิ่งเงียบอาบแสงจันทร์ แสดงว่าน่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติ พวกเรายังไม่ได้ทันเอ่ยปากซักถามอะไร หลวงพ่อก็หันมา เอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก ทำมือเป็นเชิงบอกให้เงียบ พวกเราคุ้นชินกับหลวงพ่อมานาน จนรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป จึงพากันนั่งเกาะกลุ่มนั่งลงข้างหลวงพ่อ ด้วยอาการใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง อยู่ใกล้พระ ดีกว่าอยู่ใกล้ผี
ทุกคนสะกดความกลัวสะกดใจรออย่างเงียบ ๆ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อต้องรอคอยบางอย่างเช่นกัน
สักพัก สิ่งที่รอคอยก็มาถึง เป็นสิ่งที่ไม่น่ารอคอยเอาเสียเลย
ร่างหนึ่งคลานออกมาจากเงามืดของเหล่าไม้ด้านข้างอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ยายบุญล้อมเจ้าเก่านั่นเอง แกคลานในลักษณะแขนขวาและขาซ้ายหักงอผิดรูบ ทำให้เดินไม่ได้ ต้องตะกายแถกไถตัวตามพื้นด้วยมือและเท้าข้างเดียว เฉไปเฉมา เหมือนปูนาขาเก แต่นี่เป็นร่างกายเหมือนคนธรรมดา เห็นแล้วจึงเกิดความรู้สึกถึงความวิปริตน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
เสียงของหลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า ...ทำตัวตามสบายเถอะโยม
คำพูดแบบสบายเป็นกันเองของหลวงพ่อ ส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างของยายบุญล้อมที่แถกไถเหมือนปลาดิ้นหนีตายไปตามพื้น ค่อย ๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกลายเป็นหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ แล้วอากัปกิริยาของยายบุณล้อม ที่คุ้นตาก็เริ่มต้นอีกครั้ง แกเดินโยกตัวโงกเงกเซซวน มือยื่นยาวไขว่คว้าไปมา ปากก็ร้อง
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
เอาอีกแล้ว เงียบ ต้องพากันเงียบ อย่าให้แกได้ยิน
ยายบุญล้อมยังคงเดินไขว่คว้าสะเปะสะปะไปมา แต่ไม่เฉียดใกล้เข้ามาทางพวกเราที่อยู่ข้างหลวงพ่อ เหมือนมีอำนาจบางอย่างทำให้ยายบุญล้อมไม่มุ่งหน้ามาทางนี้ ได้แต่เฉียดไปเฉียดมา ในระยะทำให้หนาวสะท้านหัวใจได้เท่านั้น
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
เงียบ ต้องพากันเงียบ อย่าให้แกได้ยิน
จู่ ๆ ยายบุญล้อมที่กำลังเดินเซซวนอยู่เบื้องหน้าพวกเรา ห่างออกไปไม่ถึงห้าหกเมตร ก็หยุดนิ่งกะทันหัน ทำให้พวกเราพากันมองอย่างระแวดระแวงสนใจเป็นพิเศษ และก็มีพิเศษให้ดูจริง ๆ
ลำคอของยายบุญล้อม ยืดยาวอย่างรวดเร็ว พาศีรษะขึ้นไปสูงจดปลายไม้ ทุกคนนั่งตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าจะเจอภาพแบบนี้ เณรรูปหนึ่งตกใจ ร้องเสียงหลง
งานเข้าสิครับ
ลำคอยืดยาวไหลเลื้อยมาตามทิศทางของเสียง พาศีรษะของยายบุญล้อมชูแกว่งไกวมาอยู่เบื้องหน้าพวกเราเหมือนงูชูคอแผ่แม่เบี้ย ในระยะห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งวา ผมจดจำใบหน้านั้นไม่มีวันลืม ประทับชัดเจนในความรู้สึก ผมเผ้ากระเซิง ใบหน้าเหี่ยวย่นขาวซีดแบบใบหน้าคนตาย นัยน์ตาเหลือกค้าง ปากแสยะขยับไหวไปมาเหมือนกำลังพูดว่า
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
.
คุณยาย...ผีซ่อนแอบ 2/2 จบ
ท้ายบทที่แล้ว
แต่ถึงจะมีแสงตะเกียงบางส่วนส่องออกไปนอกศาลาได้บ้าง ยังมองอะไรไม่ถนัด เพราะนอกศาลาด้านนี้ มีต้นมะม่วงยืนต้นเรียงราย เป็นแถวเป็นแนว แต่ยังพอมีแสงจันทร์ส่งผ่านลงมาบ้าง ทำให้เห็นเงาตะคุ่ม พอดูออกว่าเป็นผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง รูปร่างท้วม เดินช้า ๆ ในลักษณะเอามือป้องใบหน้า เดินไปเดินมาข้างศาลาด้านนอก
......
คุณยาย...ผีซ่อนแอบ 2/2
แม้จะมองไม่เห็นแบบชัดเจนเต็มตา แต่ก็ทำให้ผมขนลุก เย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง เมื่อความรู้สึกบอกตัวเองว่าไม่ใช่คน ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้าจะให้ทายก็ต้องทายว่านั่นคือยายบุญล้อมนั่นเอง แกคงตามหาหลานของแกอยู่
ยายบุญล้อมเดินห่างออกไปด้านข้าง ในลักษณะเดินวนรอบศาลา พร้อมกับเสียงเยือกเย็น
อยู่ไหนเอ่ย... อยู่ไหนเอ่ย...
พอมีเสียงสั่นประสาทน่าสะพรึง ลมที่เคยสงบก็เริ่มพัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หน้าต่างศาลาเปิดปิดสลับกันปึงปัง ผมผละออกจากช่องลมอิฐบล็อกหันไปมองอย่างอกสั่นขวัญหาย เห็นกับตาว่ามีมือขาว ๆ ยาว ๆ ยื่นเข้ามาทางหน้าต่างบานหนึ่ง ทำท่าควานหาไปมา ก่อนหดหายกลับไปด้านนอก แล้วเปลี่ยนไปยื่นมือเข้ามาทางหน้าต่างบานถัดไป ไล่เรียงไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย อะไรบางอย่างกำลังพยายามเข้ามาสำรวจในศาลาเท่าที่จะทำได้
ทันใดนั้นเอง เณรน้อยด้านข้างที่กำลังนั่งมองผ่านช่องอิฐบล็อกออกไป ลุกพรวดพราดขึ้น วิ่งไปเขย่าร่างของบรรดาเณรซึ่งพากันคลุมโปงอยู่บนพื้นศาลา ตะโกนเสียงลั่นว่า พวกเราออกไปเล่นซ่อนแอบกัน
อากัปกิริยาของเณรน้อยดูผิดปกติวิสัยเหมือนถูกผีเข้า วิ่งไปเขย่า ตะโกนใส่บรรดาเณรแบบเต็มเสียง จนพวกเณรสะดุ้งผวาหน้าตาตื่นกันเป็นแถว เสียงเณรน้อยที่อยู่ข้างผม ร้องสำทับอีกว่า หลวงพ่อบอกให้เล่น ก็ต้องเล่น จะกลัวอะไร รีบไปกัน ผมไม่รู้ว่าคุณเณรเป็นอะไรไป ทำไมคิดจะเล่นซ่อนแอบในสถานการณ์ขนลุกขนพองสยองเกล้าแบบนี้ แค่อยู่ในศาลาหัวใจก็แทบกระดอนออกจากปากเพราะความหวาดกลัวอยู่แล้ว
หลวงพ่อบอกให้เล่น ก็ต้องเล่น...เณรน้อยยังคงร้องประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา วิ่งเขย่าร่างเณรรูปอื่นไม่ยอมหยุด
พออ้างถึงหลวงพ่อ เณรทุกรูปเหมือนได้สติ พากันกุลีกุจอลุกขึ้น ทั้งที่ใบหน้าขาวซีดปากคอสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่เหมือนไม่มีทางเลือก พากันจัดจีวรให้เข้าที่เข้าทาง เณรน้อยหันมาบอกผมให้ตามออกไปอีกคน จากนั้นก็นำหน้าบรรดาเณรทั้งหลาย รวมถึงเณรอู๋ด้วย วิ่งลงศาลาไป ผมไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก พอเห็นบรรดาเณรลงศาลา ก็วิ่งตามหลังไปติด ๆ ชนิดไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา รู้เพียงว่าไปรวมกลุ่มกับพวกเณร น่าจะดีกว่าอยู่บนศาลาคนเดียว ทั้งที่ข้างนอกบรรยากาศน่ากลัวมากกว่าในศาลาเป็นไหน ๆ
พอวิ่งออกมาจากศาลาได้ไม่เท่าไร เห็นบรรดาเณรทั้งหลายพากันเกาะกลุ่มร้องเอะอะโวยวายเสียงขรม เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน ผมมองสำรวจไปในเงามืดของเงาไม้ด้านหน้า ก็ต้องหัวใจสั่นหวิวลงทันทีกับภาพที่ไม่น่าจะเห็น
ผีถ้าคิดจะหลอกคน จะต้องหาทางหลอกจนได้ ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ เพราะท่ามกลางความมืดของเงาไม้ ผมกลับมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินโงนเงน ยื่นมือยาวเหยียดไขว่ตว้าออกไปข้างหน้าไปมาอย่างน่าขนลุก ทำไมมองเห็นชัดเจนได้ก็ไม่รู้ ทั้งที่อยู่ในเงาของดงไม้ ซึ่งก็คงอย่างที่ผมว่าไว้ละครับ ถ้าผีอยากหลอกแบบให้เห็นจะจะสามมิติ ผีก็คงมีวิธีของผี ทำให้คนมองเห็นจนได้ ไม่ว่าจะมืดมิดอย่างไรก็ตาม
ร่างน่ากลัวของยายบุญล้อมหยุดชะงักยืนนิ่ง พวกเราพากันหยุดร้อง หยุดเคลื่อนไหวไปด้วย ชนิดไม่ต้องมีใครบอก กอดกันกลม คิดว่าถ้าเราพากันเงียบ ยายบุญล้อมอาจมองไม่เห็นก็เป็นได้ เสียงลมกระโชกจนกิ่งไม้ไหวครืน เสียงหมาหอนเป็นระยะคงทำให้ยายบุญล้อมเกิดความสับสนบ้างละน่า ผมคิดปลอบใจตัวเอง ไม่กล้ามองตรง ๆ แต่ก็ไม่กล้าหลับตาเช่นกัน เพราะกลัวว่าพอลืมตาขึ้นมา จะเห็นยายบุญล้อมมายืนจ้องอยู่ข้างหน้าในระยะประชิด จะทำให้หนีไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ หรี่ตาชำเลืองมอง แบบพอสังเกตได้เท่านั้น
นาน...ในความรู้สึก ผมเห็นยายบุญล้อมที่ยืนนิ่งเริ่มมีการเคลื่อนไหว ยกมือชี้มาทางพวกเรา เสียงโหยแห้งปนมากับสายลมกระโชก
อยู่นี่เอง อยู่นี่เอง
ร่างของยายบุญล้อมเริ่มเดินโงนเงนโยกเยก ตรงเข้ามาหากลุ่มของพวกเราอย่างช้า ๆ เป็นภาพในฝันร้ายชัด ๆ กิ่งไม้ใบไม้สั่นไหวปั่นป่วนอื้ออึงรอบด้านไม่หยุดยั้ง ฝูงหมายังคงส่งประสานเสียงหอนเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ
เณรอู๋ดูเหมือนจะได้สติก่อนใคร ร้องบอกให้พากันหันหลัง วิ่งอ้อมศาลาไปอีกด้านหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นไปบนศาลา ไม่รู้ว่าเณรอู๋คิดอะไรอยู่ในตอนนั้น แต่พวกเราไม่มีเวลาคิดหาเหตุผล พอได้สติรีบพากันโกยแนบตามหลังเณรอู๋ไปทันที แต่ก็ต้องคอยระวังไม่ให้วิ่งชนต้นไม้ที่ขึ้นระเกะระกะแถวนั้น ถ้าพลาดไปคงได้ไปนอนหลบผียายบุญล้อม อยู่โรงพยาบาลเป็นแน่แท้
ผมอดชำเลืองมองด้านหลังไม่ได้ แม้จะรู้สึกขนลุกอกสั่นขวัญหายขนาดไหนก็ตาม อยากรู้ว่ายายบุญล้อมแกจะตามทันหรือเปล่า และก็ได้คำตอบทันทีเหมือนกัน
ร่างสว่างโพลงเหมือนเรืองแสงของยายบุญล้อม เดินโงนเงนโงกเงกตามหลังมาด้วยท่าทางไม่รีบร้อน แต่นั่นก็มากเกินพอสำหรับการเขย่าประสาทให้กระเจิง กับอากัปกิริยาร่างกาย บิดเบี้ยวสั่นไหวแบบผิดธรรมชาติ น่าขนลุกเป็นที่สุด ประหนึ่งกระดูกกระเดี้ยวของแกเคลื่อนตำแหน่งออกไปจากเดิมทุกส่วนสัด ทำงานไม่ประสานสอคคล้องกัน ทำให้เกิดกิริยาอาการสุดสยอง
ผีคนแก่ก็คงแบบนี้ละ ปรากฏร่างไม่ค่อยสมบูรณ์เต็มร้อย ผมอดคิดไม่ได้ แล้วรีบเผ่นตามหลังบรรดาเณรไปด้วยความเสียวสันหลังว่า ยายแกจะยื่นมือตามหลังจนทัน
พวกเราวิ่งเกาะกลุ่มกลับมาถึงประตูศาลา แสงไฟในศาลาสว่างออกมาประหนึ่งประตูสวรรค์ แต่ถ้าเป็นประตูสวรรค์จริง ๆ คงไปถึงยากเสียแล้ว
ไม่ใช่เพราะบุญไม่ถึง แต่เพราะบนระเบียงไม้ของศาลาหน้าประตูทางเข้านั่นเอง ร่างของยายบุญล้อมยืนสั่นไหวดักทางอยู่แล้ว แสงไฟส่องมาจากทางด้านหลัง ทำให้ใบหน้าแรเงาดำ มองไม่ถนัดชัดตา แต่ก็น่ากลัวไปอีกแบบ กับภาพร่างกายบิดเบี้ยวเพราะส่วนต่าง ๆ เคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กันนั่นเอง
กลุ่มของพวกเราปั่นป่วนอยู่หน้าทางเข้าศาลา เพราะไม่รู้จะไปทางไหน พากันร้องเสียงขรม ดึงดันฉุดแขนขากันวุ่นวาย
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
เสียงเยือกเย็นดังมาจากร่างร้ายอย่างสุดสั่นประสาท ทั้งที่บรรยากาศอึงอลปั่นป่วน ยังได้ยินชัดถ้อยชัดคำ พอมองเห็นแวบ ๆ ว่า แกเริ่มทำท่าจะก้าวลงมาตามบันได
มันไม่แฟร์... อันแฟร์... ผมนึกอย่างขุ่นแค้นใจ เล่นวาร์ปมาดักหน้าแบบนี้ ใช้ความเป็นผีเอาเปรียบกันชัด ๆ แน่จริงก็ไล่กันตามแบบคนปกติธรรมดา ยังพอรับได้ แบบนี้ไม่ต้องนับถือกัน
ยายบุญล้อมก็เริ่มก้าวเท้าลงมาตามขั้นบันไดอย่างช้า ๆ อย่างที่คิดเอาไว้ เป็นท่าทางการลงบันไดน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพราะแข้งขาทำงานผิดรูป หักเหบิดเบี้ยวไปคนละทิศละทาง เหมือนหุ่นยนต์ที่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ข้อต่อ ได้รับความเสียหายจนเคลื่อนไหวผิดปกติ เสียงบรรดาเณรพากันร้องเสียงหลง รูปโน้นจะไปทางนี้ รูปนี้จะไปทางนั้น ชุลมุนวุ่นวายไปหมด บางรูปหลบหน้าก้มหน้าไม่คิดชีวิต มือเกาะเณรรูปอื่นแน่น ทำให้พวกเราพากันหมุนคว้างอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
ยายบุญล้อมก้าวลงบันไดอย่างช้า ๆ แต่ดูเขย่าขวัญอย่างที่สุด ถ้ายังหนีไม่เป็นแบบนี้รับรองว่า ผียายบุญล้อมมีโอกาสเข้ามาถึงตัวแน่นอน
แต่แล้ว เหมือนโชคยังพอเข้าข้างพวกเราอยู่บ้าง ผียายบุญล้อมพอลงบันไดมาได้ครึ่งทาง ด้วยอากัปกิริยาวิปริตผิดมนุษย์ของการเคลื่อนไหว ทำให้แกเหยียบพลาด จนเสียหลักหัวทิ่มจากบันได นอนกลิ้งอยู่กับพื้น
ผีหล่นแล้ว ผีหล่นแล้ว... เสียงเณรบางรูปร้อง พวกเราไม่สนใจวิ่งอ้อมไปทาง เสียงร้องมาอีกว่า ไปโบสถ์กันเร็ว เป็นเณรน้อยที่คุ้นเคยร้องเตือน ทำให้พวกได้ได้สติ ประกอบกับเห็นยายบุญล้อมลงมากองอยู่กับพื้นอย่างหมดท่าผี กำลังใจจึงบังเกิดขึ้นทันที ถึงเป็นผีก็สะดุดเสียหลักพลาดท่าเป็น ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่หลายคนคิดกันเลยสักนิด เป็นผีก็ไม่จำเป็นต้องบอกหวยแม่นเสมอไป ของมันพลาดกันได้ พวกเราไม่รอช้า เกาะกลุ่มกันวิ่งอ้อมไปด้านหลังศาลา มุ่งหน้าไปหาโบสถ์ตามคำแนะนำของเพื่อนเณรแบบไม่ต้องบอกซ้ำสอง คราวนี้ไม่ต้องถึงขั้นวิ่งตะลีตาเหลือก เพราะยายบุญล้อมคงจะไล่ไม่ทันในช่วงนี้ เพิ่งตกบันได คงตั้งหลักไม่ทันแน่นอน
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงลานดินหน้าโบสถ์ได้อย่างสวัสดิภาพ ปราศจากการรบกวนของผีตนใด
อะไรนั่น...
ภิกษุรูปหนึ่งยืนสงบนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์ ลมกระโชกแรงเศษกิ่งไม้ใบหญ้าปลิวว่อน กิ่งใบต้นไม้รอบข้าง สะบัดไหวอื้ออึง หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นเอง เวลานี้ปกติท่านต้องจำวัด ไม่ใช่มายืนนิ่งเงียบอาบแสงจันทร์ แสดงว่าน่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติ พวกเรายังไม่ได้ทันเอ่ยปากซักถามอะไร หลวงพ่อก็หันมา เอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก ทำมือเป็นเชิงบอกให้เงียบ พวกเราคุ้นชินกับหลวงพ่อมานาน จนรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป จึงพากันนั่งเกาะกลุ่มนั่งลงข้างหลวงพ่อ ด้วยอาการใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง อยู่ใกล้พระ ดีกว่าอยู่ใกล้ผี
ทุกคนสะกดความกลัวสะกดใจรออย่างเงียบ ๆ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อต้องรอคอยบางอย่างเช่นกัน
สักพัก สิ่งที่รอคอยก็มาถึง เป็นสิ่งที่ไม่น่ารอคอยเอาเสียเลย
ร่างหนึ่งคลานออกมาจากเงามืดของเหล่าไม้ด้านข้างอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ยายบุญล้อมเจ้าเก่านั่นเอง แกคลานในลักษณะแขนขวาและขาซ้ายหักงอผิดรูบ ทำให้เดินไม่ได้ ต้องตะกายแถกไถตัวตามพื้นด้วยมือและเท้าข้างเดียว เฉไปเฉมา เหมือนปูนาขาเก แต่นี่เป็นร่างกายเหมือนคนธรรมดา เห็นแล้วจึงเกิดความรู้สึกถึงความวิปริตน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
เสียงของหลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า ...ทำตัวตามสบายเถอะโยม
คำพูดแบบสบายเป็นกันเองของหลวงพ่อ ส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างของยายบุญล้อมที่แถกไถเหมือนปลาดิ้นหนีตายไปตามพื้น ค่อย ๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกลายเป็นหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ แล้วอากัปกิริยาของยายบุณล้อม ที่คุ้นตาก็เริ่มต้นอีกครั้ง แกเดินโยกตัวโงกเงกเซซวน มือยื่นยาวไขว่คว้าไปมา ปากก็ร้อง
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
เอาอีกแล้ว เงียบ ต้องพากันเงียบ อย่าให้แกได้ยิน
ยายบุญล้อมยังคงเดินไขว่คว้าสะเปะสะปะไปมา แต่ไม่เฉียดใกล้เข้ามาทางพวกเราที่อยู่ข้างหลวงพ่อ เหมือนมีอำนาจบางอย่างทำให้ยายบุญล้อมไม่มุ่งหน้ามาทางนี้ ได้แต่เฉียดไปเฉียดมา ในระยะทำให้หนาวสะท้านหัวใจได้เท่านั้น
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
เงียบ ต้องพากันเงียบ อย่าให้แกได้ยิน
จู่ ๆ ยายบุญล้อมที่กำลังเดินเซซวนอยู่เบื้องหน้าพวกเรา ห่างออกไปไม่ถึงห้าหกเมตร ก็หยุดนิ่งกะทันหัน ทำให้พวกเราพากันมองอย่างระแวดระแวงสนใจเป็นพิเศษ และก็มีพิเศษให้ดูจริง ๆ
ลำคอของยายบุญล้อม ยืดยาวอย่างรวดเร็ว พาศีรษะขึ้นไปสูงจดปลายไม้ ทุกคนนั่งตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าจะเจอภาพแบบนี้ เณรรูปหนึ่งตกใจ ร้องเสียงหลง
งานเข้าสิครับ
ลำคอยืดยาวไหลเลื้อยมาตามทิศทางของเสียง พาศีรษะของยายบุญล้อมชูแกว่งไกวมาอยู่เบื้องหน้าพวกเราเหมือนงูชูคอแผ่แม่เบี้ย ในระยะห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งวา ผมจดจำใบหน้านั้นไม่มีวันลืม ประทับชัดเจนในความรู้สึก ผมเผ้ากระเซิง ใบหน้าเหี่ยวย่นขาวซีดแบบใบหน้าคนตาย นัยน์ตาเหลือกค้าง ปากแสยะขยับไหวไปมาเหมือนกำลังพูดว่า
อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย
.