คุณยาย...ผีซ่อนแอบ 2/2 จบ

กระทู้สนทนา


ท้ายบทที่แล้ว

                แต่ถึงจะมีแสงตะเกียงบางส่วนส่องออกไปนอกศาลาได้บ้าง ยังมองอะไรไม่ถนัด เพราะนอกศาลาด้านนี้ มีต้นมะม่วงยืนต้นเรียงราย เป็นแถวเป็นแนว แต่ยังพอมีแสงจันทร์ส่งผ่านลงมาบ้าง ทำให้เห็นเงาตะคุ่ม พอดูออกว่าเป็นผู้หญิงสูงอายุคนหนึ่ง รูปร่างท้วม  เดินช้า ๆ ในลักษณะเอามือป้องใบหน้า เดินไปเดินมาข้างศาลาด้านนอก 

......

คุณยาย...ผีซ่อนแอบ 2/2


 
             แม้จะมองไม่เห็นแบบชัดเจนเต็มตา แต่ก็ทำให้ผมขนลุก เย็นวาบไปทั่วไขสันหลัง เมื่อความรู้สึกบอกตัวเองว่าไม่ใช่คน ยังไงก็ไม่ใช่ ถ้าจะให้ทายก็ต้องทายว่านั่นคือยายบุญล้อมนั่นเอง แกคงตามหาหลานของแกอยู่

             ยายบุญล้อมเดินห่างออกไปด้านข้าง ในลักษณะเดินวนรอบศาลา พร้อมกับเสียงเยือกเย็น 
 
             อยู่ไหนเอ่ย...  อยู่ไหนเอ่ย... 

             พอมีเสียงสั่นประสาทน่าสะพรึง ลมที่เคยสงบก็เริ่มพัดแรงขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หน้าต่างศาลาเปิดปิดสลับกันปึงปัง ผมผละออกจากช่องลมอิฐบล็อกหันไปมองอย่างอกสั่นขวัญหาย เห็นกับตาว่ามีมือขาว  ๆ ยาว ๆ ยื่นเข้ามาทางหน้าต่างบานหนึ่ง ทำท่าควานหาไปมา ก่อนหดหายกลับไปด้านนอก แล้วเปลี่ยนไปยื่นมือเข้ามาทางหน้าต่างบานถัดไป  ไล่เรียงไปเรื่อย ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย อะไรบางอย่างกำลังพยายามเข้ามาสำรวจในศาลาเท่าที่จะทำได้
 
             ทันใดนั้นเอง เณรน้อยด้านข้างที่กำลังนั่งมองผ่านช่องอิฐบล็อกออกไป ลุกพรวดพราดขึ้น วิ่งไปเขย่าร่างของบรรดาเณรซึ่งพากันคลุมโปงอยู่บนพื้นศาลา ตะโกนเสียงลั่นว่า พวกเราออกไปเล่นซ่อนแอบกัน 

             อากัปกิริยาของเณรน้อยดูผิดปกติวิสัยเหมือนถูกผีเข้า วิ่งไปเขย่า ตะโกนใส่บรรดาเณรแบบเต็มเสียง จนพวกเณรสะดุ้งผวาหน้าตาตื่นกันเป็นแถว  เสียงเณรน้อยที่อยู่ข้างผม ร้องสำทับอีกว่า หลวงพ่อบอกให้เล่น ก็ต้องเล่น จะกลัวอะไร รีบไปกัน  ผมไม่รู้ว่าคุณเณรเป็นอะไรไป ทำไมคิดจะเล่นซ่อนแอบในสถานการณ์ขนลุกขนพองสยองเกล้าแบบนี้ แค่อยู่ในศาลาหัวใจก็แทบกระดอนออกจากปากเพราะความหวาดกลัวอยู่แล้ว

            หลวงพ่อบอกให้เล่น ก็ต้องเล่น...เณรน้อยยังคงร้องประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา วิ่งเขย่าร่างเณรรูปอื่นไม่ยอมหยุด 
 
             พออ้างถึงหลวงพ่อ เณรทุกรูปเหมือนได้สติ พากันกุลีกุจอลุกขึ้น ทั้งที่ใบหน้าขาวซีดปากคอสั่นอย่างเห็นได้ชัด แต่เหมือนไม่มีทางเลือก พากันจัดจีวรให้เข้าที่เข้าทาง เณรน้อยหันมาบอกผมให้ตามออกไปอีกคน จากนั้นก็นำหน้าบรรดาเณรทั้งหลาย รวมถึงเณรอู๋ด้วย วิ่งลงศาลาไป  ผมไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรมาก พอเห็นบรรดาเณรลงศาลา  ก็วิ่งตามหลังไปติด ๆ ชนิดไม่รู้เรื่องอะไรกับเขา รู้เพียงว่าไปรวมกลุ่มกับพวกเณร น่าจะดีกว่าอยู่บนศาลาคนเดียว ทั้งที่ข้างนอกบรรยากาศน่ากลัวมากกว่าในศาลาเป็นไหน ๆ

             พอวิ่งออกมาจากศาลาได้ไม่เท่าไร เห็นบรรดาเณรทั้งหลายพากันเกาะกลุ่มร้องเอะอะโวยวายเสียงขรม เหมือนไม่รู้จะไปทางไหน ผมมองสำรวจไปในเงามืดของเงาไม้ด้านหน้า ก็ต้องหัวใจสั่นหวิวลงทันทีกับภาพที่ไม่น่าจะเห็น

             ผีถ้าคิดจะหลอกคน จะต้องหาทางหลอกจนได้ ผมคิดอย่างนี้จริง ๆ เพราะท่ามกลางความมืดของเงาไม้ ผมกลับมองเห็นร่างของใครคนหนึ่งกำลังเดินโงนเงน ยื่นมือยาวเหยียดไขว่ตว้าออกไปข้างหน้าไปมาอย่างน่าขนลุก  ทำไมมองเห็นชัดเจนได้ก็ไม่รู้ ทั้งที่อยู่ในเงาของดงไม้  ซึ่งก็คงอย่างที่ผมว่าไว้ละครับ ถ้าผีอยากหลอกแบบให้เห็นจะจะสามมิติ  ผีก็คงมีวิธีของผี ทำให้คนมองเห็นจนได้ ไม่ว่าจะมืดมิดอย่างไรก็ตาม

             ร่างน่ากลัวของยายบุญล้อมหยุดชะงักยืนนิ่ง พวกเราพากันหยุดร้อง หยุดเคลื่อนไหวไปด้วย ชนิดไม่ต้องมีใครบอก  กอดกันกลม คิดว่าถ้าเราพากันเงียบ ยายบุญล้อมอาจมองไม่เห็นก็เป็นได้ เสียงลมกระโชกจนกิ่งไม้ไหวครืน เสียงหมาหอนเป็นระยะคงทำให้ยายบุญล้อมเกิดความสับสนบ้างละน่า ผมคิดปลอบใจตัวเอง ไม่กล้ามองตรง ๆ แต่ก็ไม่กล้าหลับตาเช่นกัน เพราะกลัวว่าพอลืมตาขึ้นมา จะเห็นยายบุญล้อมมายืนจ้องอยู่ข้างหน้าในระยะประชิด จะทำให้หนีไม่ทัน ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือ หรี่ตาชำเลืองมอง แบบพอสังเกตได้เท่านั้น
 
             นาน...ในความรู้สึก ผมเห็นยายบุญล้อมที่ยืนนิ่งเริ่มมีการเคลื่อนไหว ยกมือชี้มาทางพวกเรา เสียงโหยแห้งปนมากับสายลมกระโชก
 
             อยู่นี่เอง  อยู่นี่เอง
 
             ร่างของยายบุญล้อมเริ่มเดินโงนเงนโยกเยก ตรงเข้ามาหากลุ่มของพวกเราอย่างช้า ๆ เป็นภาพในฝันร้ายชัด ๆ กิ่งไม้ใบไม้สั่นไหวปั่นป่วนอื้ออึงรอบด้านไม่หยุดยั้ง ฝูงหมายังคงส่งประสานเสียงหอนเยือกเย็นจับขั้วหัวใจ

            เณรอู๋ดูเหมือนจะได้สติก่อนใคร ร้องบอกให้พากันหันหลัง วิ่งอ้อมศาลาไปอีกด้านหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นไปบนศาลา  ไม่รู้ว่าเณรอู๋คิดอะไรอยู่ในตอนนั้น แต่พวกเราไม่มีเวลาคิดหาเหตุผล  พอได้สติรีบพากันโกยแนบตามหลังเณรอู๋ไปทันที  แต่ก็ต้องคอยระวังไม่ให้วิ่งชนต้นไม้ที่ขึ้นระเกะระกะแถวนั้น ถ้าพลาดไปคงได้ไปนอนหลบผียายบุญล้อม อยู่โรงพยาบาลเป็นแน่แท้

             ผมอดชำเลืองมองด้านหลังไม่ได้ แม้จะรู้สึกขนลุกอกสั่นขวัญหายขนาดไหนก็ตาม อยากรู้ว่ายายบุญล้อมแกจะตามทันหรือเปล่า และก็ได้คำตอบทันทีเหมือนกัน

             ร่างสว่างโพลงเหมือนเรืองแสงของยายบุญล้อม เดินโงนเงนโงกเงกตามหลังมาด้วยท่าทางไม่รีบร้อน  แต่นั่นก็มากเกินพอสำหรับการเขย่าประสาทให้กระเจิง กับอากัปกิริยาร่างกาย บิดเบี้ยวสั่นไหวแบบผิดธรรมชาติ น่าขนลุกเป็นที่สุด ประหนึ่งกระดูกกระเดี้ยวของแกเคลื่อนตำแหน่งออกไปจากเดิมทุกส่วนสัด ทำงานไม่ประสานสอคคล้องกัน ทำให้เกิดกิริยาอาการสุดสยอง
 
             ผีคนแก่ก็คงแบบนี้ละ ปรากฏร่างไม่ค่อยสมบูรณ์เต็มร้อย ผมอดคิดไม่ได้ แล้วรีบเผ่นตามหลังบรรดาเณรไปด้วยความเสียวสันหลังว่า ยายแกจะยื่นมือตามหลังจนทัน
 
             พวกเราวิ่งเกาะกลุ่มกลับมาถึงประตูศาลา แสงไฟในศาลาสว่างออกมาประหนึ่งประตูสวรรค์ แต่ถ้าเป็นประตูสวรรค์จริง ๆ คงไปถึงยากเสียแล้ว

             ไม่ใช่เพราะบุญไม่ถึง แต่เพราะบนระเบียงไม้ของศาลาหน้าประตูทางเข้านั่นเอง ร่างของยายบุญล้อมยืนสั่นไหวดักทางอยู่แล้ว แสงไฟส่องมาจากทางด้านหลัง ทำให้ใบหน้าแรเงาดำ มองไม่ถนัดชัดตา แต่ก็น่ากลัวไปอีกแบบ กับภาพร่างกายบิดเบี้ยวเพราะส่วนต่าง ๆ เคลื่อนไหวไม่สัมพันธ์กันนั่นเอง
กลุ่มของพวกเราปั่นป่วนอยู่หน้าทางเข้าศาลา เพราะไม่รู้จะไปทางไหน พากันร้องเสียงขรม ดึงดันฉุดแขนขากันวุ่นวาย
 
             อยู่ไหนเอ่ย  อยู่ไหนเอ่ย
 
             เสียงเยือกเย็นดังมาจากร่างร้ายอย่างสุดสั่นประสาท ทั้งที่บรรยากาศอึงอลปั่นป่วน ยังได้ยินชัดถ้อยชัดคำ พอมองเห็นแวบ ๆ ว่า แกเริ่มทำท่าจะก้าวลงมาตามบันได

             มันไม่แฟร์... อันแฟร์... ผมนึกอย่างขุ่นแค้นใจ เล่นวาร์ปมาดักหน้าแบบนี้ ใช้ความเป็นผีเอาเปรียบกันชัด ๆ  แน่จริงก็ไล่กันตามแบบคนปกติธรรมดา ยังพอรับได้  แบบนี้ไม่ต้องนับถือกัน

             ยายบุญล้อมก็เริ่มก้าวเท้าลงมาตามขั้นบันไดอย่างช้า ๆ อย่างที่คิดเอาไว้ เป็นท่าทางการลงบันไดน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา เพราะแข้งขาทำงานผิดรูป หักเหบิดเบี้ยวไปคนละทิศละทาง เหมือนหุ่นยนต์ที่ชิ้นส่วนต่าง ๆ ข้อต่อ ได้รับความเสียหายจนเคลื่อนไหวผิดปกติ  เสียงบรรดาเณรพากันร้องเสียงหลง รูปโน้นจะไปทางนี้ รูปนี้จะไปทางนั้น ชุลมุนวุ่นวายไปหมด บางรูปหลบหน้าก้มหน้าไม่คิดชีวิต มือเกาะเณรรูปอื่นแน่น ทำให้พวกเราพากันหมุนคว้างอยู่ตรงนั้นนั่นเอง

             ยายบุญล้อมก้าวลงบันไดอย่างช้า ๆ แต่ดูเขย่าขวัญอย่างที่สุด  ถ้ายังหนีไม่เป็นแบบนี้รับรองว่า ผียายบุญล้อมมีโอกาสเข้ามาถึงตัวแน่นอน
แต่แล้ว เหมือนโชคยังพอเข้าข้างพวกเราอยู่บ้าง ผียายบุญล้อมพอลงบันไดมาได้ครึ่งทาง ด้วยอากัปกิริยาวิปริตผิดมนุษย์ของการเคลื่อนไหว ทำให้แกเหยียบพลาด จนเสียหลักหัวทิ่มจากบันได นอนกลิ้งอยู่กับพื้น

             ผีหล่นแล้ว ผีหล่นแล้ว...  เสียงเณรบางรูปร้อง พวกเราไม่สนใจวิ่งอ้อมไปทาง เสียงร้องมาอีกว่า ไปโบสถ์กันเร็ว  เป็นเณรน้อยที่คุ้นเคยร้องเตือน ทำให้พวกได้ได้สติ ประกอบกับเห็นยายบุญล้อมลงมากองอยู่กับพื้นอย่างหมดท่าผี กำลังใจจึงบังเกิดขึ้นทันที ถึงเป็นผีก็สะดุดเสียหลักพลาดท่าเป็น ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่หลายคนคิดกันเลยสักนิด  เป็นผีก็ไม่จำเป็นต้องบอกหวยแม่นเสมอไป ของมันพลาดกันได้ พวกเราไม่รอช้า เกาะกลุ่มกันวิ่งอ้อมไปด้านหลังศาลา มุ่งหน้าไปหาโบสถ์ตามคำแนะนำของเพื่อนเณรแบบไม่ต้องบอกซ้ำสอง  คราวนี้ไม่ต้องถึงขั้นวิ่งตะลีตาเหลือก เพราะยายบุญล้อมคงจะไล่ไม่ทันในช่วงนี้ เพิ่งตกบันได คงตั้งหลักไม่ทันแน่นอน 
 
              ในที่สุดพวกเราก็มาถึงลานดินหน้าโบสถ์ได้อย่างสวัสดิภาพ ปราศจากการรบกวนของผีตนใด
 
             อะไรนั่น...
 
             ภิกษุรูปหนึ่งยืนสงบนิ่งท่ามกลางแสงจันทร์  ลมกระโชกแรงเศษกิ่งไม้ใบหญ้าปลิวว่อน กิ่งใบต้นไม้รอบข้าง สะบัดไหวอื้ออึง หลวงพ่อเจ้าอาวาสนั่นเอง เวลานี้ปกติท่านต้องจำวัด  ไม่ใช่มายืนนิ่งเงียบอาบแสงจันทร์ แสดงว่าน่าจะมีเหตุการณ์ไม่ปกติ พวกเรายังไม่ได้ทันเอ่ยปากซักถามอะไร หลวงพ่อก็หันมา เอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก ทำมือเป็นเชิงบอกให้เงียบ พวกเราคุ้นชินกับหลวงพ่อมานาน จนรู้ว่าควรทำอะไรต่อไป จึงพากันนั่งเกาะกลุ่มนั่งลงข้างหลวงพ่อ ด้วยอาการใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง อยู่ใกล้พระ ดีกว่าอยู่ใกล้ผี

             ทุกคนสะกดความกลัวสะกดใจรออย่างเงียบ ๆ เพราะรู้ว่าหลวงพ่อต้องรอคอยบางอย่างเช่นกัน

             สักพัก สิ่งที่รอคอยก็มาถึง  เป็นสิ่งที่ไม่น่ารอคอยเอาเสียเลย

             ร่างหนึ่งคลานออกมาจากเงามืดของเหล่าไม้ด้านข้างอย่างช้า ๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ยายบุญล้อมเจ้าเก่านั่นเอง แกคลานในลักษณะแขนขวาและขาซ้ายหักงอผิดรูบ  ทำให้เดินไม่ได้ ต้องตะกายแถกไถตัวตามพื้นด้วยมือและเท้าข้างเดียว  เฉไปเฉมา เหมือนปูนาขาเก แต่นี่เป็นร่างกายเหมือนคนธรรมดา เห็นแล้วจึงเกิดความรู้สึกถึงความวิปริตน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

             เสียงของหลวงพ่อเอ่ยขึ้นว่า ...ทำตัวตามสบายเถอะโยม

             คำพูดแบบสบายเป็นกันเองของหลวงพ่อ ส่งผลอย่างไม่น่าเชื่อ ร่างของยายบุญล้อมที่แถกไถเหมือนปลาดิ้นหนีตายไปตามพื้น ค่อย ๆ เคลื่อนไหวช้าลง จนกลายเป็นหยุดนิ่งครู่หนึ่ง ก่อนพยุงกายลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ  แล้วอากัปกิริยาของยายบุณล้อม ที่คุ้นตาก็เริ่มต้นอีกครั้ง แกเดินโยกตัวโงกเงกเซซวน มือยื่นยาวไขว่คว้าไปมา ปากก็ร้อง 

             อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย

             เอาอีกแล้ว เงียบ ต้องพากันเงียบ อย่าให้แกได้ยิน

             ยายบุญล้อมยังคงเดินไขว่คว้าสะเปะสะปะไปมา แต่ไม่เฉียดใกล้เข้ามาทางพวกเราที่อยู่ข้างหลวงพ่อ  เหมือนมีอำนาจบางอย่างทำให้ยายบุญล้อมไม่มุ่งหน้ามาทางนี้ ได้แต่เฉียดไปเฉียดมา ในระยะทำให้หนาวสะท้านหัวใจได้เท่านั้น

             อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย

            เงียบ ต้องพากันเงียบ อย่าให้แกได้ยิน

             จู่ ๆ ยายบุญล้อมที่กำลังเดินเซซวนอยู่เบื้องหน้าพวกเรา ห่างออกไปไม่ถึงห้าหกเมตร ก็หยุดนิ่งกะทันหัน ทำให้พวกเราพากันมองอย่างระแวดระแวงสนใจเป็นพิเศษ  และก็มีพิเศษให้ดูจริง ๆ     
         
             ลำคอของยายบุญล้อม ยืดยาวอย่างรวดเร็ว พาศีรษะขึ้นไปสูงจดปลายไม้  ทุกคนนั่งตกตะลึง ไม่มีใครคิดว่าจะเจอภาพแบบนี้ เณรรูปหนึ่งตกใจ ร้องเสียงหลง

             งานเข้าสิครับ

             ลำคอยืดยาวไหลเลื้อยมาตามทิศทางของเสียง พาศีรษะของยายบุญล้อมชูแกว่งไกวมาอยู่เบื้องหน้าพวกเราเหมือนงูชูคอแผ่แม่เบี้ย ในระยะห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งวา ผมจดจำใบหน้านั้นไม่มีวันลืม ประทับชัดเจนในความรู้สึก ผมเผ้ากระเซิง ใบหน้าเหี่ยวย่นขาวซีดแบบใบหน้าคนตาย นัยน์ตาเหลือกค้าง ปากแสยะขยับไหวไปมาเหมือนกำลังพูดว่า 

             อยู่ไหนเอ่ย อยู่ไหนเอ่ย

.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่