ชุมชนบ้านโพรงเสือ เป็นบ้านน้อยในป่าใหญ่ คนปลูกสร้างบ้านเรือนลดหลั่นกันไปตามความสูงต่ำของภูมิประเทศ กลางวันแมกไม้บดบัง ยากจะมองเห็น ได้ยินเพียงสรรพสำเนียงผู้คนใช้ชีวิต เสียงฟันไม้ผ่าฟืน เสียงคนตะโกนหากัน จึงคล้ายชุมชนชาวลับแล ผิดกับยามหัวค่ำช่วงเข้าไต้เข้าไฟหุงหาอาหาร หากมีผู้สัญจรผ่านมาจะมองเห็นแสงไฟสว่างพราวในดงไม้
พรานมอดกับพรานทิ้งรอนแรมตามรอยสัตว์ผ่าน มาพบทางเกวียน คล้ายหนทางข้างหน้าจะเป็นเขตชุมชนกลางป่า แสงจ้าฉาบฉายบรรดาพันธุ์ไม้อันได้แก่ ต้นสัก ต้นประดู่ ต้นยางนาสูงใหญ่ ไหนจะพุ่มใบหนาหญ้าแพรกยากจะจำแนกชนิดด้วยแดดสุดท้ายอ่อนแสงลง ความมืดเหมือนม่านโรยลงมาเหลือเพียงท้องฟ้าทางทิศตะวันตกจรดสีแดงปลั่งเหนือเส้นขอบฟ้า เมฆสีขุ่นแดงช้ำคล้ายสีของเลือดตามการผกผันของแสงสุดท้ายของทิวากาล ก่อนจะเป็นหนึ่งเดียวกับราตรีกาลในที่สุด
พรานทิ้งเอานิ้วสีจมูก แน่ใจได้กลิ่นควันไฟ ยิ่งเร่งฝีเท้ามองหาผ่านแมกไม้ พลันเห็นแสงสุกสว่าง ไหนจะเสียงหมาเห่าก็ให้นึกอุ่นใจ ความเหน็ดเหนื่อยเหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง เอ่ยปากบอกพรานที่มาด้วยกัน ข้างหน้าจะต้องหมู่บ้านโพรงเสืออย่างแน่แท้ ด้วยรู้จักคนในหมู่บ้านนี้ หวังใจจะเข้าไปขอพักแรมสักคืน
พรานทิ้งรู้จักกับพรานถึกคนบ้านโพรงเสือ ไม่นานมานี้เคยออกปากไว้ ถ้าผ่านมาก็ให้มาพักจะเลี้ยงดูอย่างดี รวมทั้งได้บอกทางเข้าหมู่บ้าน ทิศเหนือจะมีวัด พึ่งมีพระมาอยู่รูปเดียว อาศัยศาลาทำวัตรสวดมนต์ ชาวบ้านยังไม่ได้สร้างโบสถ์สร้างหอระฆัง คนบ้านนี้มีไม่เกินสามสิบหลังคาเรือนปลูกกระจัดกระจายในดง ต้นไม้สูงใหญ่มีมากโค่นกันไม่ไหว เมื่อก่อนขึ้นชื่อเสือชุม ตั้งแต่ชาวบ้านเข้ามาหักล้างถางพงตั้งเป็นชุมใหม่ แม้เสือจะร้ายแต่พรานเก่งก็หลายคนช่วยกันไล่ล่าจนพวกมันหายเข้าดงลึก ผู้มาเยือนมั่นใจเข้าไปขออาศัยได้ เอาปืนขึ้นสะพายบ่าขาดความระมัดระวัง
“พี่ทิ้ง ๆ ข้างหน้ามีบ้านคน ต้องใช่แน่ ๆ” พรานมอดชี้ให้ดูน้ำเสียงตื่นเต้น หลังหมู่ต้นเต็งหนาม ปรากฏแสงไฟคล้ายคบไต้
พรานทิ้งครางเออเสียงหนัก ๆ ในเมื่อก็เห็น ๆ อยู่ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำให้หงุดหงิดได้เหมือนกัน
“ข้ารู้แล้ว ข้างหลังนั่นน่ะกุฏิพระ”
“แล้วพี่ทิ้งรู้ได้ยังไง ทำไมข้าไม่เห็นโบสถ์ เห็นหอระฆัง” พรานมอดเกาหัวจนเส้นผมชี้ฟู
“ก็ข้าเห็นไง เห็นจีวรพระ โน่นไงเห็นถือไต้กำลังเดินมาทางเรา”
“เออ จริงด้วย ทำไมตาดีจัง ข้าเกือบเล็งปืนแล้วเซียว”
“เอ็งอย่ายิงมั่วซั่วนะ เกิดโป้งป้างขึ้นมาจะซวยเอา คนบ้านนี้เสือสางก็หลายคน”
“หมายถึงเสือปล้นหรือพี่ทิ้ง มิน่ามันถึงมาตั้งชุมในดงลึกขนาดนี้ คงหนีคดีมาแน่”
“เอ็งก็ว่าไป ข้าหมายถึงเสือจริง ๆ พรานหลายคนในชุมนี้ คาถาแน่ขนาดแปลงร่างเป็นเสือ ระวังเขาจะล่าหัวเอา”
พรานทิ้งมีอาวุโสกว่า ประสบการณ์ทางพรานมากกว่า พรานมอดจำต้องหุบปาก แม้ใจไม่อยากเชื่อคงโม้ซะมากกว่า ทั้งสองเร่งสาวเท้าไปข้างหน้า ขณะที่ร่างที่ถือไต้ติดไฟยืนรออยู่
พรานมอดขยี้ตาหลายที นึกสงสัยตงิด ๆ ไอ้ที่เห็นนั่นพื้นสีส้ม ๆ เหลือง ๆ สลับดำ แต่อีกคนยืนยันที่เห็นนั่นเป็นพระ ในเมื่อเข้าใกล้เขตชุมชนสองพรานจึงคลายความระแวง เดินตรงเข้าไปหา ระยะห่างสิบเมตรเห็นจะได้ ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้ากันและกันได้ชัด พระได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“โยมมาทางไหน แล้วจะไปทางไหนกันเล่า ค่ำมืดแล้วนะ”
“พวกผมเป็นพราน ผ่านมาทางนี้ ว่าจะมาพบพรานถึกครับ”
“พรานถึกเหรอ อาตมารู้จัก แล้วจะชี้ให้ดูบ้านของพรานถึกอยู่ทางไหน ตามอาตมามาซิ” แล้วพระรูปนั้นก็หันหลังเดินนำ ด้วยความที่เป็นป่าทึบอุดมไปด้วยต้นเต็งหนาม กอไผ่ ยิ่งเดินก็ยิ่งพาเข้าที่รก ทำให้สองพรานเคลื่อนไหวลำบาก โดยเฉพาะปืนมันเกะกะคอยแต่จะเกี่ยวกิ่งไม้กับเถาวัลย์
เปลวไฟคบไต้ที่เห็นนั่นไม่สว่างนัก ออกสีน้ำเงิน มันคือไฟลวงจากภูต พรานทิ้งชะงักกึก กางแขนกันพรานรุ่นน้องให้หยุด หัวใจตอนนี้มันสั่นราวกับพระตีกลองเพล กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว ข้างหน้าคืออมนุษย์ ปฏิกิริยาของคนแม้จะเร็วสักปานใดก็ยังช้าในเสี้ยววินาทีคับขัน ร่างที่มีพื้นขนสีเหลือมอมส้ม แท้จริงคือเสือโคร่งขนาดแปดศอกได้ มันแว้งตัวพุ่งเข้าใส่ทันที ต้นไผ่เล็ก ๆ ไหนเลยจะต้านทานพลังของพยัคฆ์ร้าย
“โฮก…!”
“ไอ้มอดยิงเร็ว!”
เปรี้ยง…!
คว๊าก!!
“อ๊าก!..กก”
อนิจจาพรานทิ้งปลายกระบอกปืนไปเกี่ยวกิ่งไม้ ยิงสวนไปแต่ไม่โดน เล็บเสือตะปบเข้าใบหน้าซะก่อนทำเอาลูกตาหลุดทะลัก ร้องโหยหวนลั่น พรานมอดเกือบสติเตลิดแต่ก็ยังแข็งใจยิง ระยะแทบจะเผาขน ทำเอาเสือใหญ่ล้มกลิ้งจากแรงปะทะไม้เล็กหักราบเป็นแปลง แต่ก็ยันตัวลุกขึ้นมาได้ในทันที
ดวงตาของสมิงร้ายลุกวาวแผดจ้า กระสุนนัดนั้นทำได้แค่ขนไหม้ ในเมื่อไม่ใช่กระสุนเงินที่ผ่านพิธีปลุกเสก แค่ตบะเสือทำเอาคนสติเตลิด พรานมอดจะหันหลังวิ่งหนีก็ไม่ทันแล้ว ร่างยักษ์ใหญ่กระโดดตัวลอยคล้ายแมวตะครุบเหยื่อ ทีเดียวคอหัก ตายง่ายกว่าพรานทิ้งที่ยังดิ้นพล่านไปมาจากความเจ็บปวดสุดชีวิต ไหนจะปืนหลุดมือตะเกียกตะกายควานหา สมิงร้ายไม่คอยท่าเข้าขย้ำที่คอฝังคมเขี้ยวจมลึก สะบัดไปมาแรงจนกระดูกป่นคอหักหมุนได้รอบ ปิดฉากชีวิตไปอย่างทารุณ
ไม่มีทางที่สมิงจะปล่อยให้เหยื่อ รอดชีวิตไปบอกความจริงกับชาวบ้าน
พรานผจญเล่ห์สมิง
พรานมอดกับพรานทิ้งรอนแรมตามรอยสัตว์ผ่าน มาพบทางเกวียน คล้ายหนทางข้างหน้าจะเป็นเขตชุมชนกลางป่า แสงจ้าฉาบฉายบรรดาพันธุ์ไม้อันได้แก่ ต้นสัก ต้นประดู่ ต้นยางนาสูงใหญ่ ไหนจะพุ่มใบหนาหญ้าแพรกยากจะจำแนกชนิดด้วยแดดสุดท้ายอ่อนแสงลง ความมืดเหมือนม่านโรยลงมาเหลือเพียงท้องฟ้าทางทิศตะวันตกจรดสีแดงปลั่งเหนือเส้นขอบฟ้า เมฆสีขุ่นแดงช้ำคล้ายสีของเลือดตามการผกผันของแสงสุดท้ายของทิวากาล ก่อนจะเป็นหนึ่งเดียวกับราตรีกาลในที่สุด
พรานทิ้งเอานิ้วสีจมูก แน่ใจได้กลิ่นควันไฟ ยิ่งเร่งฝีเท้ามองหาผ่านแมกไม้ พลันเห็นแสงสุกสว่าง ไหนจะเสียงหมาเห่าก็ให้นึกอุ่นใจ ความเหน็ดเหนื่อยเหมือนหายเป็นปลิดทิ้ง เอ่ยปากบอกพรานที่มาด้วยกัน ข้างหน้าจะต้องหมู่บ้านโพรงเสืออย่างแน่แท้ ด้วยรู้จักคนในหมู่บ้านนี้ หวังใจจะเข้าไปขอพักแรมสักคืน
พรานทิ้งรู้จักกับพรานถึกคนบ้านโพรงเสือ ไม่นานมานี้เคยออกปากไว้ ถ้าผ่านมาก็ให้มาพักจะเลี้ยงดูอย่างดี รวมทั้งได้บอกทางเข้าหมู่บ้าน ทิศเหนือจะมีวัด พึ่งมีพระมาอยู่รูปเดียว อาศัยศาลาทำวัตรสวดมนต์ ชาวบ้านยังไม่ได้สร้างโบสถ์สร้างหอระฆัง คนบ้านนี้มีไม่เกินสามสิบหลังคาเรือนปลูกกระจัดกระจายในดง ต้นไม้สูงใหญ่มีมากโค่นกันไม่ไหว เมื่อก่อนขึ้นชื่อเสือชุม ตั้งแต่ชาวบ้านเข้ามาหักล้างถางพงตั้งเป็นชุมใหม่ แม้เสือจะร้ายแต่พรานเก่งก็หลายคนช่วยกันไล่ล่าจนพวกมันหายเข้าดงลึก ผู้มาเยือนมั่นใจเข้าไปขออาศัยได้ เอาปืนขึ้นสะพายบ่าขาดความระมัดระวัง
“พี่ทิ้ง ๆ ข้างหน้ามีบ้านคน ต้องใช่แน่ ๆ” พรานมอดชี้ให้ดูน้ำเสียงตื่นเต้น หลังหมู่ต้นเต็งหนาม ปรากฏแสงไฟคล้ายคบไต้
พรานทิ้งครางเออเสียงหนัก ๆ ในเมื่อก็เห็น ๆ อยู่ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าทำให้หงุดหงิดได้เหมือนกัน
“ข้ารู้แล้ว ข้างหลังนั่นน่ะกุฏิพระ”
“แล้วพี่ทิ้งรู้ได้ยังไง ทำไมข้าไม่เห็นโบสถ์ เห็นหอระฆัง” พรานมอดเกาหัวจนเส้นผมชี้ฟู
“ก็ข้าเห็นไง เห็นจีวรพระ โน่นไงเห็นถือไต้กำลังเดินมาทางเรา”
“เออ จริงด้วย ทำไมตาดีจัง ข้าเกือบเล็งปืนแล้วเซียว”
“เอ็งอย่ายิงมั่วซั่วนะ เกิดโป้งป้างขึ้นมาจะซวยเอา คนบ้านนี้เสือสางก็หลายคน”
“หมายถึงเสือปล้นหรือพี่ทิ้ง มิน่ามันถึงมาตั้งชุมในดงลึกขนาดนี้ คงหนีคดีมาแน่”
“เอ็งก็ว่าไป ข้าหมายถึงเสือจริง ๆ พรานหลายคนในชุมนี้ คาถาแน่ขนาดแปลงร่างเป็นเสือ ระวังเขาจะล่าหัวเอา”
พรานทิ้งมีอาวุโสกว่า ประสบการณ์ทางพรานมากกว่า พรานมอดจำต้องหุบปาก แม้ใจไม่อยากเชื่อคงโม้ซะมากกว่า ทั้งสองเร่งสาวเท้าไปข้างหน้า ขณะที่ร่างที่ถือไต้ติดไฟยืนรออยู่
พรานมอดขยี้ตาหลายที นึกสงสัยตงิด ๆ ไอ้ที่เห็นนั่นพื้นสีส้ม ๆ เหลือง ๆ สลับดำ แต่อีกคนยืนยันที่เห็นนั่นเป็นพระ ในเมื่อเข้าใกล้เขตชุมชนสองพรานจึงคลายความระแวง เดินตรงเข้าไปหา ระยะห่างสิบเมตรเห็นจะได้ ยังไม่อาจมองเห็นใบหน้ากันและกันได้ชัด พระได้เอ่ยปากขึ้นมาก่อน
“โยมมาทางไหน แล้วจะไปทางไหนกันเล่า ค่ำมืดแล้วนะ”
“พวกผมเป็นพราน ผ่านมาทางนี้ ว่าจะมาพบพรานถึกครับ”
“พรานถึกเหรอ อาตมารู้จัก แล้วจะชี้ให้ดูบ้านของพรานถึกอยู่ทางไหน ตามอาตมามาซิ” แล้วพระรูปนั้นก็หันหลังเดินนำ ด้วยความที่เป็นป่าทึบอุดมไปด้วยต้นเต็งหนาม กอไผ่ ยิ่งเดินก็ยิ่งพาเข้าที่รก ทำให้สองพรานเคลื่อนไหวลำบาก โดยเฉพาะปืนมันเกะกะคอยแต่จะเกี่ยวกิ่งไม้กับเถาวัลย์
เปลวไฟคบไต้ที่เห็นนั่นไม่สว่างนัก ออกสีน้ำเงิน มันคือไฟลวงจากภูต พรานทิ้งชะงักกึก กางแขนกันพรานรุ่นน้องให้หยุด หัวใจตอนนี้มันสั่นราวกับพระตีกลองเพล กว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว ข้างหน้าคืออมนุษย์ ปฏิกิริยาของคนแม้จะเร็วสักปานใดก็ยังช้าในเสี้ยววินาทีคับขัน ร่างที่มีพื้นขนสีเหลือมอมส้ม แท้จริงคือเสือโคร่งขนาดแปดศอกได้ มันแว้งตัวพุ่งเข้าใส่ทันที ต้นไผ่เล็ก ๆ ไหนเลยจะต้านทานพลังของพยัคฆ์ร้าย
“โฮก…!”
“ไอ้มอดยิงเร็ว!”
เปรี้ยง…!
คว๊าก!!
“อ๊าก!..กก”
อนิจจาพรานทิ้งปลายกระบอกปืนไปเกี่ยวกิ่งไม้ ยิงสวนไปแต่ไม่โดน เล็บเสือตะปบเข้าใบหน้าซะก่อนทำเอาลูกตาหลุดทะลัก ร้องโหยหวนลั่น พรานมอดเกือบสติเตลิดแต่ก็ยังแข็งใจยิง ระยะแทบจะเผาขน ทำเอาเสือใหญ่ล้มกลิ้งจากแรงปะทะไม้เล็กหักราบเป็นแปลง แต่ก็ยันตัวลุกขึ้นมาได้ในทันที
ดวงตาของสมิงร้ายลุกวาวแผดจ้า กระสุนนัดนั้นทำได้แค่ขนไหม้ ในเมื่อไม่ใช่กระสุนเงินที่ผ่านพิธีปลุกเสก แค่ตบะเสือทำเอาคนสติเตลิด พรานมอดจะหันหลังวิ่งหนีก็ไม่ทันแล้ว ร่างยักษ์ใหญ่กระโดดตัวลอยคล้ายแมวตะครุบเหยื่อ ทีเดียวคอหัก ตายง่ายกว่าพรานทิ้งที่ยังดิ้นพล่านไปมาจากความเจ็บปวดสุดชีวิต ไหนจะปืนหลุดมือตะเกียกตะกายควานหา สมิงร้ายไม่คอยท่าเข้าขย้ำที่คอฝังคมเขี้ยวจมลึก สะบัดไปมาแรงจนกระดูกป่นคอหักหมุนได้รอบ ปิดฉากชีวิตไปอย่างทารุณ
ไม่มีทางที่สมิงจะปล่อยให้เหยื่อ รอดชีวิตไปบอกความจริงกับชาวบ้าน