เรื่องเล่าลอย ๆ ครั้งหนึ่งในป่าใหญ่ ตอนเขยใหม่ลองของ โดย ตรัยโศก ณ ริมน่าน

คำนำและคำเตือน

ข้อ 1. เรื่องสั้นชุดนี้  ขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในทุกช่องทางก่อนได้รับอณุญาต  แม้เนื้อหาจะไม่สนุกน่าอ่าน  แต่ผู้เขียนขอกันไว้ก่อน 

ข้อ 2. เรื่องสั้นชุดนี้ เป็นเพียงบันทึกส่วนหนึ่งที่ไม่ส่วนตัว  ผู้เขียนอยากเอาความทรงจำขำขันมาตีแผ่  ผีสางนางไม้จะมีไหมไว้ว่ากันทีหลัง  เขียนเอาสนุกไว้ก่อน  ขอทุกท่านโปรดทิ้งวิจารณญาณในการอ่านไปเสีย  เอาสนุก  เอาแก้เบื่อ  หรืออ่านเอาเป็นเรื่องสั้นคั่นเวลาก็พอ  แต่หากขัดใจ  ไม่อ่านก็ได้ไม่ว่ากัน  กรุณาอย่าเข้ามาบ่นไร้สาระ  ผู้เขียนมิใช่คนสุภาพเท่าใดนัก  ขอขอบพระคุณ  แหะ ๆ


ตรัยโศก  ณ  ริมน่าน

เขยใหม่ลองของ(พาร์ทแรก)

ข้าพเจ้าเป็นคนเมือง  คำนี้หาใช่เปรียบตัวเองเป็นผู้ที่มาจากเมืองกรุงแดนไกล  ทว่าหมายถึงถิ่นกำเนิดของข้าพเจ้าอยู่ในอำเภอเมือง  ซึ่งหากจากตัวอำเภอของอดีตคนรักนับร้อยกิโล  ความรักอันหวานชื่นและขมขื่นจนเลิกรากันไปจะเป็นอย่างไรก็ช่าง  มันเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ข้าพเจ้าเลือกจะเก็บเกี่ยวเฉพาะเรื่องดี ๆ เก็บมันไว้ในกล่องสีทองอร่ามในใจ ซึ่งภายในกล่องที่มโนขึ้นเองนั้น  ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เมื่อนึกถึงครั้งใด  มุมปากสองข้างจะยกยิ้มได้โดยง่ายและหัวใจจะพองโต

หนึ่งในความทรงจำเรื่องที่ว่า  คือการที่ข้าพเจ้าถูกเรียกขานนามนำหน้าตามประสาบ้านที่ข้าพเจ้าต้องไปอยู่  ‘เขย’ คำสั้น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพจนานุกรมเล่มใดก็สามารถรู้ความหมายได้เอง

สถานที่แห่งนั้น ก็เป็นไปตามฉบับบ้านเมืองที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางจังหวัดนับร้อยกิโลฯ  และเหมือนกับอีกหลายหมู่บ้านหลายอำเภอในแถบเดียวกันที่ไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลฯ  ภูเขาล้อมรอบ  อาชีพหลักคือเกษตรกรรม  อาชีพหลักกว่าคือล่าสัตว์ในป่าสงวน  เพียงแต่เป็นการล่าแค่พอกิน  จะขายบ้างก็ตามฤดูกาลตามชนิดของสัตว์ 
 
เช่นในฤดูหนาว หนูหวาย กระรอกกระแตเป็นที่นิยม  ถ้าแบบยิงมายังไงขายไปทั้งอย่างนั้นก็ตกตัวละหกสิบบาท  แต่ถ้าต้องการเอาไปแล้วพร้อมปรุงอาหาร เผาขนค้นเครื่องในที่ไม่ใช้ทิ้งแล้วรมควันกันเหม็นเน่าก็เพิ่มเป็นตัวละร้อย  เรียกว่านอกจากผลผลิตทางการเกษตรแล้ว  สัตว์ป่าก็เป็นอีกหนึ่งรายได้ที่จะช่วยผ่อนจ่ายภาระการกินการอยู่ในแต่ละวันอีกทางหนึ่ง 

แน่นอนว่าหากเจ้าหน้าที่จับได้เป็นต้องเสียค่าปรับทั้งปืนและสัตว์ที่ขนมาหลายหมื่นบาททีเดียว  เขาทำตามหน้าที่เราต้องเข้าใจ 

เคยมีเคสหนึ่งขอนอกเรื่องสักหน่อย  เจ้าหน้าที่อนุรักษ์เกิดไปเจอะเอาพรานมือใหม่กลางป่า  ถุงถักสะพายหลังมีกระสอบปุ๋ยขาวหม่นยัดอยู่  พอเทออกดูพบซากกระรอกหลายสิบ  ครั้งนั้นพรานมือใหม่ที่ว่าพากันไปสามคน  ด้วยเห็นว่ายังเป็นวัยรุ่นเจ้าหน้าที่จึงคิดจะปล่อยไป   เพราะอย่างไรทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องหาก็เป็นคนถิ่นเดียวกันเพียงแต่อยู่ต่างหมู่บ้านเท่านั้น  

แต่ความบรรลัยย่อมเกิดขึ้นได้หากไร้สติยับยั้ง  หนึ่งในพรานหน้าใหม่ดันปากดี  ภาษาชาวบ้านคือความรู้น้อยแต่ดันทำตัวถ่อยด่าทอเถียงเขา  ว่าเอาอำนาจอะไรมาจับมาปรับ  สัตว์ป่ามีอยู่ทั่วไปที่ตนยิงมานี้แทบเรียกได้ว่าส่วนเสี้ยว  

เท่านั้นเอง  จากที่จะปล่อยไป  ทั้งคน ซากสัตว์  และปืนแก๊ปพร้อมย่ามเครื่องกระสุน  ถูกพาไปยังสถานีทำการ เรียกพ่อแม่ผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์หมดไปหลายตังค์   

ครั้งนั้นไปสามโดนแค่หนึ่ง  เพราะอีกสองเลือกจะสงบปากสงบคำ  เจ้าหน้าที่ว่าผิดก็ยอมรับผิด  อ่อนน้อมย่อมดีกว่าแข็งขืน  จึงรอดไป  หนึ่งในสองผู้รอดมาได้โดยยอมก้มหน้าฟังเทศนาจากเจ้าหน้าที่ด้วยอาการสงบเสงี่ยมคือตัวข้าพเจ้าเอง...

มนุษย์เราเป็นสัตว์ประเสริฐ  เคยมีผู้รู้ท่านใดไม่ทราบกล่าวไว้ แต่มันติดอยู่ในซีรีบรัมของข้าพเจ้านับแต่จำความได้ เรียนอนุบาลกระทั่งจบในระดับอุดมศึกษา  ในขณะเดียวกัน  มนุษย์ก็เป็นสัตว์น่าพิศวง  ไม่เข็ดหลาบ ไม่รู้จักจำหรือจำแต่ยังอยากทำซ้ำ ๆ เพราะมันท้าทาย  สองวันหลังจากเกิดเรื่อง  ข้าพเจ้าแบกปืนเข้าป่าอีกครั้ง  

โดยคราวนี้ไปเพียงลำพัง  ใช่ว่าเก่งกาจปานพรานมืออาชีพที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ารอยตรงหน้าเป็นของสัตว์ชนิดใด  เก่าใหม่และมุ่งหน้าไปทางไหน  สำหรับตัวข้าพเจ้า  รอยตีนหมาพรานกับรอยตีนหมูหลึ่งหรือหมูหลุมยังแยกไม่ออกได้ซ้ำ การยิงปืนหรือ...จะหาว่าคุย  เจอไก่ป่าเล็งด้วยความประณีตหมายก้านคอเพราะถูกสอนมา  ลั่นเปรี้ยงเท่านั้น  ก้านต้นปอกระสาซึ่งต่ำลงมาจากคอนที่ไก่จับร่วมฟุตหักพับ  ไก่ป่าหายไปพร้อมควันจากการเผาไหม้ของดินปืน  แม่นราวจับวาง

จุดมุ่งหมายการเข้าไพรในครั้งนั้นของข้าพเจ้ายิ่งใหญ่นัก  มีผู้ใหญ่บอกมาว่ามะเดื่อต้นที่เคยพาข้าพเจ้าเดินผ่านเมื่อครั้งมาอยู่ที่นั่นแรก ๆ และสอนการใช้ชีวิตในป่าสุกแล้ว  ยังไม่มีใครไปยิงเพราะไกลพอสมควร  แกไปเจอมา  รอบลำต้นรอยเล็บอีเห็นเต็มพรืดไปหมด  ยังใหม่ยางที่ไหลยังไม่แห้ง  ให้ข้าพเจ้าไปนั่งพกเสีย   

นั่งพกในที่นี้คือการนั่งซุ่มรอเหยื่อ  ไม่ต้องขัดซุ้มให้มากความ  หาสุมทุมพุ่มไม้เอาที่คิดว่าสัตว์อะไรก็แล้วแต่ซึ่งจะมากินมะเดื่อมองไม่เห็น  

ข้าพเจ้าออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงสาย จัดการเปิดข้าวพร้อมยัดสัมภาระลงถุงถัก  ควบโนวาเสียงแหลมไต่ไปตามทางด่านเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวอ้อมดอย  สุดทางรถก็ต้องเดินย้อนสอนเลียบลำห้วยขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ  ตลอดทาง  ข้าพเจ้าเจอทั้งไก่ป่า  กระรอกด่อนกระรอดแดงไปจนกระทั้งกระจงหนู  หึ!  เจอกันแบบนี้มีรึจะพลาด?  ก็พลาดน่ะสิ  

สัตว์ป่าไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ประสาทไวกว่ามนุษย์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่  เสี้ยววิที่ข้าพเจ้าตกใจ  พวกมันก็ทิ้งไว้เพียงภาพจำ  อด...

ราวก่อนเที่ยงสักหน่อยก็มาถึงจุดพักแรก  เป็นกระท่อมที่เหล่าพรานรุ่นพ่อรุ่นปู่เขาสร้างไว้  ข้าพเจ้าควักยาเส้นขึ้นมาจุดสูบ  กระดกเอ็มร้อยเป็นการเติมพลัง  เสียงเพรียกเรียกหากันของสัตว์ป่าช่างน่าฟัง  มันชวนให้อยากปลูกบ้านอยู่ในนั้นสักหลัง  อยู่ลำพังไม่ต้องออกมา  ไม่ต้องสนทนากับใครปล่อยให้น้ำลายบูดไม่ก็อยู่อย่างคนใบ้ไปเลยท่าจะดีไม่น้อย

หลังปลีน่องคลายเมื่อยพอให้เดินไหว  ข้าพเจ้าออกจากกระท่อมทันที  เพื่อจะได้มีเวลาหาทำเลสำหรับนั่งพก  จริงอยู่ว่าผลไม้สุกสัตว์เข้ากินทั้งวัน  แต่กระรอกจะเข้าช่วงเช้าและเย็นจนแทบแลไม่เห็นตัวเป็นส่วนมาก  เวลานั้นข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ทั้งคืน กาแฟซอง น้ำดื่มเตรียมมาพร้อม

สามชั่วโมงเศษข้าพเจ้าก็ไปถึงที่หมาย  ยืนนิ่งแลจากโคนขึ้นไปก็ให้ใจพอง  เพราะจังหวะนั้นข้าพเจ้าเห็นกระรอกสองสามตัวตื่นเตลิดขู่คร่อก ๆ แค่ก ๆ แล้วกระโจนหนีไป  เสร็จกูล่ะทีนี้

ผ่านไปอีกชั่วโมงกว่าจะหาที่นั่งดี ๆ ได้  พรานรุ่นใหญ่เขาบอกมาว่าให้หาสุมทุมพุ่มไม้ที่สัตว์มองไม่เห็น  พอข้าพเจ้าเลือกแล้วลงนั่ง  ตัวข้าพเจ้าเองก็มองไม่เห็นเช่นกัน  ไม่ทึบไปก็ลับเหลี่ยมไม้ไม่ได้ระยะยิง  ไอ้ที่โล่งก็โล่งเหลือแสน  มีเพียงกิ่งก้านไม่แห้งเล็กกว่าดินสอสักครึ่ง  ไม่ต้องสืบ  ถ้าข้าพเจ้านั่งตรงนั้น  มะเดื่อต้นนี้จะไร้ผู้รุกรานไปจนค่ำเลยทีเดียว

และแล้ว  ข้าพเจ้าก็ได้ที่เหมาะเจาะหลังจากเสื้อชุ่มเหงื่อหัวหูผมฟูฟ่องเต็มไปด้วยใบไม้  มันเป็นเนินสูงคนละฝั่งห้วย ระยะห่างไม่เกินแรงขับปืนแก๊ป ซ้ำความสูงยังพอดีกับกิ่งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยลูกสุกแดงบ้างม่วงบ้าง   ทีนี่ก็รอเพียงเวลาเท่านั้น 

อ้อ!  บางท่านที่เข้ามาอ่านอาจสงสัย เรื่องนี้เกิดขึ้นมาไม่นานยังไม่ถึงสิบปี  และอาจสงสัยอีกว่าทำไมถึงยังใช้ปืนแก๊ป  สมัยนี้เขาใช้ลูกซองกันแล้ว ถูกต้องแต่ครึ่งเดียว  ยิงกระรอก ยิงหนู  คงไม่มีพรานคนไหนเปลืองลูกร้อย(กระสุนปืนลูกซองร้อยเม็ดตะกั่ว)ไปกับการนั้น  และอีกอย่าง  ข้าพเจ้าเคยลองยิงดูแล้ว  ไม่คุ้นชิน ไหล่โยกปวดหนึบไปเป็นวัน

พักก่อน...ค่อยว่ากันใหม่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่