คำนำและคำเตือน
ข้อ 1. เรื่องสั้นชุดนี้ ขอสงวนสิทธิ์ในการนำไปเผยแพร่ในทุกช่องทางก่อนได้รับอณุญาต แม้เนื้อหาจะไม่สนุกน่าอ่าน แต่ผู้เขียนขอกันไว้ก่อน
ข้อ 2. เรื่องสั้นชุดนี้ เป็นเพียงบันทึกส่วนหนึ่งที่ไม่ส่วนตัว ผู้เขียนอยากเอาความทรงจำขำขันมาตีแผ่ ผีสางนางไม้จะมีไหมไว้ว่ากันทีหลัง เขียนเอาสนุกไว้ก่อน ขอทุกท่านโปรดทิ้งวิจารณญาณในการอ่านไปเสีย เอาสนุก เอาแก้เบื่อ หรืออ่านเอาเป็นเรื่องสั้นคั่นเวลาก็พอ แต่หากขัดใจ ไม่อ่านก็ได้ไม่ว่ากัน กรุณาอย่าเข้ามาบ่นไร้สาระ ผู้เขียนมิใช่คนสุภาพเท่าใดนัก ขอขอบพระคุณ แหะ ๆ
ตรัยโศก ณ ริมน่าน
เขยใหม่ลองของ(พาร์ทแรก)
ข้าพเจ้าเป็นคนเมือง คำนี้หาใช่เปรียบตัวเองเป็นผู้ที่มาจากเมืองกรุงแดนไกล ทว่าหมายถึงถิ่นกำเนิดของข้าพเจ้าอยู่ในอำเภอเมือง ซึ่งหากจากตัวอำเภอของอดีตคนรักนับร้อยกิโล ความรักอันหวานชื่นและขมขื่นจนเลิกรากันไปจะเป็นอย่างไรก็ช่าง มันเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ข้าพเจ้าเลือกจะเก็บเกี่ยวเฉพาะเรื่องดี ๆ เก็บมันไว้ในกล่องสีทองอร่ามในใจ ซึ่งภายในกล่องที่มโนขึ้นเองนั้น ล้วนเต็มไปด้วยเรื่องราวที่เมื่อนึกถึงครั้งใด มุมปากสองข้างจะยกยิ้มได้โดยง่ายและหัวใจจะพองโต
หนึ่งในความทรงจำเรื่องที่ว่า คือการที่ข้าพเจ้าถูกเรียกขานนามนำหน้าตามประสาบ้านที่ข้าพเจ้าต้องไปอยู่ ‘
เขย’ คำสั้น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพจนานุกรมเล่มใดก็สามารถรู้ความหมายได้เอง
สถานที่แห่งนั้น ก็เป็นไปตามฉบับบ้านเมืองที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางจังหวัดนับร้อยกิโลฯ และเหมือนกับอีกหลายหมู่บ้านหลายอำเภอในแถบเดียวกันที่ไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลฯ ภูเขาล้อมรอบ อาชีพหลักคือเกษตรกรรม อาชีพหลักกว่าคือล่าสัตว์ในป่าสงวน เพียงแต่เป็นการล่าแค่พอกิน จะขายบ้างก็ตามฤดูกาลตามชนิดของสัตว์
เช่นในฤดูหนาว หนูหวาย กระรอกกระแตเป็นที่นิยม ถ้าแบบยิงมายังไงขายไปทั้งอย่างนั้นก็ตกตัวละหกสิบบาท แต่ถ้าต้องการเอาไปแล้วพร้อมปรุงอาหาร เผาขนค้นเครื่องในที่ไม่ใช้ทิ้งแล้วรมควันกันเหม็นเน่าก็เพิ่มเป็นตัวละร้อย เรียกว่านอกจากผลผลิตทางการเกษตรแล้ว สัตว์ป่าก็เป็นอีกหนึ่งรายได้ที่จะช่วยผ่อนจ่ายภาระการกินการอยู่ในแต่ละวันอีกทางหนึ่ง
แน่นอนว่าหากเจ้าหน้าที่จับได้เป็นต้องเสียค่าปรับทั้งปืนและสัตว์ที่ขนมาหลายหมื่นบาททีเดียว เขาทำตามหน้าที่เราต้องเข้าใจ
เคยมีเคสหนึ่งขอนอกเรื่องสักหน่อย เจ้าหน้าที่อนุรักษ์เกิดไปเจอะเอาพรานมือใหม่กลางป่า ถุงถักสะพายหลังมีกระสอบปุ๋ยขาวหม่นยัดอยู่ พอเทออกดูพบซากกระรอกหลายสิบ ครั้งนั้นพรานมือใหม่ที่ว่าพากันไปสามคน ด้วยเห็นว่ายังเป็นวัยรุ่นเจ้าหน้าที่จึงคิดจะปล่อยไป เพราะอย่างไรทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องหาก็เป็นคนถิ่นเดียวกันเพียงแต่อยู่ต่างหมู่บ้านเท่านั้น
แต่ความบรรลัยย่อมเกิดขึ้นได้หากไร้สติยับยั้ง หนึ่งในพรานหน้าใหม่ดันปากดี ภาษาชาวบ้านคือความรู้น้อยแต่ดันทำตัวถ่อยด่าทอเถียงเขา ว่าเอาอำนาจอะไรมาจับมาปรับ สัตว์ป่ามีอยู่ทั่วไปที่ตนยิงมานี้แทบเรียกได้ว่าส่วนเสี้ยว
เท่านั้นเอง จากที่จะปล่อยไป ทั้งคน ซากสัตว์ และปืนแก๊ปพร้อมย่ามเครื่องกระสุน ถูกพาไปยังสถานีทำการ เรียกพ่อแม่ผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์หมดไปหลายตังค์
ครั้งนั้นไปสามโดนแค่หนึ่ง เพราะอีกสองเลือกจะสงบปากสงบคำ เจ้าหน้าที่ว่าผิดก็ยอมรับผิด อ่อนน้อมย่อมดีกว่าแข็งขืน จึงรอดไป หนึ่งในสองผู้รอดมาได้โดยยอมก้มหน้าฟังเทศนาจากเจ้าหน้าที่ด้วยอาการสงบเสงี่ยมคือตัวข้าพเจ้าเอง...
มนุษย์เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เคยมีผู้รู้ท่านใดไม่ทราบกล่าวไว้ แต่มันติดอยู่ในซีรีบรัมของข้าพเจ้านับแต่จำความได้ เรียนอนุบาลกระทั่งจบในระดับอุดมศึกษา ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็เป็นสัตว์น่าพิศวง ไม่เข็ดหลาบ ไม่รู้จักจำหรือจำแต่ยังอยากทำซ้ำ ๆ เพราะมันท้าทาย สองวันหลังจากเกิดเรื่อง ข้าพเจ้าแบกปืนเข้าป่าอีกครั้ง
โดยคราวนี้ไปเพียงลำพัง ใช่ว่าเก่งกาจปานพรานมืออาชีพที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ารอยตรงหน้าเป็นของสัตว์ชนิดใด เก่าใหม่และมุ่งหน้าไปทางไหน สำหรับตัวข้าพเจ้า รอยตีนหมาพรานกับรอยตีนหมูหลึ่งหรือหมูหลุมยังแยกไม่ออกได้ซ้ำ การยิงปืนหรือ...จะหาว่าคุย เจอไก่ป่าเล็งด้วยความประณีตหมายก้านคอเพราะถูกสอนมา ลั่นเปรี้ยงเท่านั้น ก้านต้นปอกระสาซึ่งต่ำลงมาจากคอนที่ไก่จับร่วมฟุตหักพับ ไก่ป่าหายไปพร้อมควันจากการเผาไหม้ของดินปืน แม่นราวจับวาง
จุดมุ่งหมายการเข้าไพรในครั้งนั้นของข้าพเจ้ายิ่งใหญ่นัก มีผู้ใหญ่บอกมาว่ามะเดื่อต้นที่เคยพาข้าพเจ้าเดินผ่านเมื่อครั้งมาอยู่ที่นั่นแรก ๆ และสอนการใช้ชีวิตในป่าสุกแล้ว ยังไม่มีใครไปยิงเพราะไกลพอสมควร แกไปเจอมา รอบลำต้นรอยเล็บอีเห็นเต็มพรืดไปหมด ยังใหม่ยางที่ไหลยังไม่แห้ง ให้ข้าพเจ้าไปนั่งพกเสีย
นั่งพกในที่นี้คือการนั่งซุ่มรอเหยื่อ ไม่ต้องขัดซุ้มให้มากความ หาสุมทุมพุ่มไม้เอาที่คิดว่าสัตว์อะไรก็แล้วแต่ซึ่งจะมากินมะเดื่อมองไม่เห็น
ข้าพเจ้าออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงสาย จัดการเปิดข้าวพร้อมยัดสัมภาระลงถุงถัก ควบโนวาเสียงแหลมไต่ไปตามทางด่านเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวอ้อมดอย สุดทางรถก็ต้องเดินย้อนสอนเลียบลำห้วยขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ตลอดทาง ข้าพเจ้าเจอทั้งไก่ป่า กระรอกด่อนกระรอดแดงไปจนกระทั้งกระจงหนู หึ! เจอกันแบบนี้มีรึจะพลาด? ก็พลาดน่ะสิ
สัตว์ป่าไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ประสาทไวกว่ามนุษย์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เสี้ยววิที่ข้าพเจ้าตกใจ พวกมันก็ทิ้งไว้เพียงภาพจำ อด...
ราวก่อนเที่ยงสักหน่อยก็มาถึงจุดพักแรก เป็นกระท่อมที่เหล่าพรานรุ่นพ่อรุ่นปู่เขาสร้างไว้ ข้าพเจ้าควักยาเส้นขึ้นมาจุดสูบ กระดกเอ็มร้อยเป็นการเติมพลัง เสียงเพรียกเรียกหากันของสัตว์ป่าช่างน่าฟัง มันชวนให้อยากปลูกบ้านอยู่ในนั้นสักหลัง อยู่ลำพังไม่ต้องออกมา ไม่ต้องสนทนากับใครปล่อยให้น้ำลายบูดไม่ก็อยู่อย่างคนใบ้ไปเลยท่าจะดีไม่น้อย
หลังปลีน่องคลายเมื่อยพอให้เดินไหว ข้าพเจ้าออกจากกระท่อมทันที เพื่อจะได้มีเวลาหาทำเลสำหรับนั่งพก จริงอยู่ว่าผลไม้สุกสัตว์เข้ากินทั้งวัน แต่กระรอกจะเข้าช่วงเช้าและเย็นจนแทบแลไม่เห็นตัวเป็นส่วนมาก เวลานั้นข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ทั้งคืน กาแฟซอง น้ำดื่มเตรียมมาพร้อม
สามชั่วโมงเศษข้าพเจ้าก็ไปถึงที่หมาย ยืนนิ่งแลจากโคนขึ้นไปก็ให้ใจพอง เพราะจังหวะนั้นข้าพเจ้าเห็นกระรอกสองสามตัวตื่นเตลิดขู่คร่อก ๆ แค่ก ๆ แล้วกระโจนหนีไป เสร็จกูล่ะทีนี้
ผ่านไปอีกชั่วโมงกว่าจะหาที่นั่งดี ๆ ได้ พรานรุ่นใหญ่เขาบอกมาว่าให้หาสุมทุมพุ่มไม้ที่สัตว์มองไม่เห็น พอข้าพเจ้าเลือกแล้วลงนั่ง ตัวข้าพเจ้าเองก็มองไม่เห็นเช่นกัน ไม่ทึบไปก็ลับเหลี่ยมไม้ไม่ได้ระยะยิง ไอ้ที่โล่งก็โล่งเหลือแสน มีเพียงกิ่งก้านไม่แห้งเล็กกว่าดินสอสักครึ่ง ไม่ต้องสืบ ถ้าข้าพเจ้านั่งตรงนั้น มะเดื่อต้นนี้จะไร้ผู้รุกรานไปจนค่ำเลยทีเดียว
และแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ที่เหมาะเจาะหลังจากเสื้อชุ่มเหงื่อหัวหูผมฟูฟ่องเต็มไปด้วยใบไม้ มันเป็นเนินสูงคนละฝั่งห้วย ระยะห่างไม่เกินแรงขับปืนแก๊ป ซ้ำความสูงยังพอดีกับกิ่งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยลูกสุกแดงบ้างม่วงบ้าง ทีนี่ก็รอเพียงเวลาเท่านั้น
อ้อ! บางท่านที่เข้ามาอ่านอาจสงสัย เรื่องนี้เกิดขึ้นมาไม่นานยังไม่ถึงสิบปี และอาจสงสัยอีกว่าทำไมถึงยังใช้ปืนแก๊ป สมัยนี้เขาใช้ลูกซองกันแล้ว ถูกต้องแต่ครึ่งเดียว ยิงกระรอก ยิงหนู คงไม่มีพรานคนไหนเปลืองลูกร้อย(กระสุนปืนลูกซองร้อยเม็ดตะกั่ว)ไปกับการนั้น และอีกอย่าง ข้าพเจ้าเคยลองยิงดูแล้ว ไม่คุ้นชิน ไหล่โยกปวดหนึบไปเป็นวัน
พักก่อน...ค่อยว่ากันใหม่
เรื่องเล่าลอย ๆ ครั้งหนึ่งในป่าใหญ่ ตอนเขยใหม่ลองของ โดย ตรัยโศก ณ ริมน่าน
หนึ่งในความทรงจำเรื่องที่ว่า คือการที่ข้าพเจ้าถูกเรียกขานนามนำหน้าตามประสาบ้านที่ข้าพเจ้าต้องไปอยู่ ‘เขย’ คำสั้น ๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเปิดพจนานุกรมเล่มใดก็สามารถรู้ความหมายได้เอง
สถานที่แห่งนั้น ก็เป็นไปตามฉบับบ้านเมืองที่อยู่ห่างไกลศูนย์กลางจังหวัดนับร้อยกิโลฯ และเหมือนกับอีกหลายหมู่บ้านหลายอำเภอในแถบเดียวกันที่ไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลฯ ภูเขาล้อมรอบ อาชีพหลักคือเกษตรกรรม อาชีพหลักกว่าคือล่าสัตว์ในป่าสงวน เพียงแต่เป็นการล่าแค่พอกิน จะขายบ้างก็ตามฤดูกาลตามชนิดของสัตว์
เช่นในฤดูหนาว หนูหวาย กระรอกกระแตเป็นที่นิยม ถ้าแบบยิงมายังไงขายไปทั้งอย่างนั้นก็ตกตัวละหกสิบบาท แต่ถ้าต้องการเอาไปแล้วพร้อมปรุงอาหาร เผาขนค้นเครื่องในที่ไม่ใช้ทิ้งแล้วรมควันกันเหม็นเน่าก็เพิ่มเป็นตัวละร้อย เรียกว่านอกจากผลผลิตทางการเกษตรแล้ว สัตว์ป่าก็เป็นอีกหนึ่งรายได้ที่จะช่วยผ่อนจ่ายภาระการกินการอยู่ในแต่ละวันอีกทางหนึ่ง
แน่นอนว่าหากเจ้าหน้าที่จับได้เป็นต้องเสียค่าปรับทั้งปืนและสัตว์ที่ขนมาหลายหมื่นบาททีเดียว เขาทำตามหน้าที่เราต้องเข้าใจ
เคยมีเคสหนึ่งขอนอกเรื่องสักหน่อย เจ้าหน้าที่อนุรักษ์เกิดไปเจอะเอาพรานมือใหม่กลางป่า ถุงถักสะพายหลังมีกระสอบปุ๋ยขาวหม่นยัดอยู่ พอเทออกดูพบซากกระรอกหลายสิบ ครั้งนั้นพรานมือใหม่ที่ว่าพากันไปสามคน ด้วยเห็นว่ายังเป็นวัยรุ่นเจ้าหน้าที่จึงคิดจะปล่อยไป เพราะอย่างไรทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ต้องหาก็เป็นคนถิ่นเดียวกันเพียงแต่อยู่ต่างหมู่บ้านเท่านั้น
แต่ความบรรลัยย่อมเกิดขึ้นได้หากไร้สติยับยั้ง หนึ่งในพรานหน้าใหม่ดันปากดี ภาษาชาวบ้านคือความรู้น้อยแต่ดันทำตัวถ่อยด่าทอเถียงเขา ว่าเอาอำนาจอะไรมาจับมาปรับ สัตว์ป่ามีอยู่ทั่วไปที่ตนยิงมานี้แทบเรียกได้ว่าส่วนเสี้ยว
เท่านั้นเอง จากที่จะปล่อยไป ทั้งคน ซากสัตว์ และปืนแก๊ปพร้อมย่ามเครื่องกระสุน ถูกพาไปยังสถานีทำการ เรียกพ่อแม่ผู้ใหญ่บ้านมาเคลียร์หมดไปหลายตังค์
ครั้งนั้นไปสามโดนแค่หนึ่ง เพราะอีกสองเลือกจะสงบปากสงบคำ เจ้าหน้าที่ว่าผิดก็ยอมรับผิด อ่อนน้อมย่อมดีกว่าแข็งขืน จึงรอดไป หนึ่งในสองผู้รอดมาได้โดยยอมก้มหน้าฟังเทศนาจากเจ้าหน้าที่ด้วยอาการสงบเสงี่ยมคือตัวข้าพเจ้าเอง...
มนุษย์เราเป็นสัตว์ประเสริฐ เคยมีผู้รู้ท่านใดไม่ทราบกล่าวไว้ แต่มันติดอยู่ในซีรีบรัมของข้าพเจ้านับแต่จำความได้ เรียนอนุบาลกระทั่งจบในระดับอุดมศึกษา ในขณะเดียวกัน มนุษย์ก็เป็นสัตว์น่าพิศวง ไม่เข็ดหลาบ ไม่รู้จักจำหรือจำแต่ยังอยากทำซ้ำ ๆ เพราะมันท้าทาย สองวันหลังจากเกิดเรื่อง ข้าพเจ้าแบกปืนเข้าป่าอีกครั้ง
โดยคราวนี้ไปเพียงลำพัง ใช่ว่าเก่งกาจปานพรานมืออาชีพที่มองปราดเดียวก็รู้ว่ารอยตรงหน้าเป็นของสัตว์ชนิดใด เก่าใหม่และมุ่งหน้าไปทางไหน สำหรับตัวข้าพเจ้า รอยตีนหมาพรานกับรอยตีนหมูหลึ่งหรือหมูหลุมยังแยกไม่ออกได้ซ้ำ การยิงปืนหรือ...จะหาว่าคุย เจอไก่ป่าเล็งด้วยความประณีตหมายก้านคอเพราะถูกสอนมา ลั่นเปรี้ยงเท่านั้น ก้านต้นปอกระสาซึ่งต่ำลงมาจากคอนที่ไก่จับร่วมฟุตหักพับ ไก่ป่าหายไปพร้อมควันจากการเผาไหม้ของดินปืน แม่นราวจับวาง
จุดมุ่งหมายการเข้าไพรในครั้งนั้นของข้าพเจ้ายิ่งใหญ่นัก มีผู้ใหญ่บอกมาว่ามะเดื่อต้นที่เคยพาข้าพเจ้าเดินผ่านเมื่อครั้งมาอยู่ที่นั่นแรก ๆ และสอนการใช้ชีวิตในป่าสุกแล้ว ยังไม่มีใครไปยิงเพราะไกลพอสมควร แกไปเจอมา รอบลำต้นรอยเล็บอีเห็นเต็มพรืดไปหมด ยังใหม่ยางที่ไหลยังไม่แห้ง ให้ข้าพเจ้าไปนั่งพกเสีย
นั่งพกในที่นี้คือการนั่งซุ่มรอเหยื่อ ไม่ต้องขัดซุ้มให้มากความ หาสุมทุมพุ่มไม้เอาที่คิดว่าสัตว์อะไรก็แล้วแต่ซึ่งจะมากินมะเดื่อมองไม่เห็น
ข้าพเจ้าออกจากบ้านตั้งแต่ช่วงสาย จัดการเปิดข้าวพร้อมยัดสัมภาระลงถุงถัก ควบโนวาเสียงแหลมไต่ไปตามทางด่านเล็ก ๆ ที่คดเคี้ยวอ้อมดอย สุดทางรถก็ต้องเดินย้อนสอนเลียบลำห้วยขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ ตลอดทาง ข้าพเจ้าเจอทั้งไก่ป่า กระรอกด่อนกระรอดแดงไปจนกระทั้งกระจงหนู หึ! เจอกันแบบนี้มีรึจะพลาด? ก็พลาดน่ะสิ
สัตว์ป่าไม่ว่าตัวเล็กตัวใหญ่ประสาทไวกว่ามนุษย์ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เสี้ยววิที่ข้าพเจ้าตกใจ พวกมันก็ทิ้งไว้เพียงภาพจำ อด...
ราวก่อนเที่ยงสักหน่อยก็มาถึงจุดพักแรก เป็นกระท่อมที่เหล่าพรานรุ่นพ่อรุ่นปู่เขาสร้างไว้ ข้าพเจ้าควักยาเส้นขึ้นมาจุดสูบ กระดกเอ็มร้อยเป็นการเติมพลัง เสียงเพรียกเรียกหากันของสัตว์ป่าช่างน่าฟัง มันชวนให้อยากปลูกบ้านอยู่ในนั้นสักหลัง อยู่ลำพังไม่ต้องออกมา ไม่ต้องสนทนากับใครปล่อยให้น้ำลายบูดไม่ก็อยู่อย่างคนใบ้ไปเลยท่าจะดีไม่น้อย
หลังปลีน่องคลายเมื่อยพอให้เดินไหว ข้าพเจ้าออกจากกระท่อมทันที เพื่อจะได้มีเวลาหาทำเลสำหรับนั่งพก จริงอยู่ว่าผลไม้สุกสัตว์เข้ากินทั้งวัน แต่กระรอกจะเข้าช่วงเช้าและเย็นจนแทบแลไม่เห็นตัวเป็นส่วนมาก เวลานั้นข้าพเจ้าตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ทั้งคืน กาแฟซอง น้ำดื่มเตรียมมาพร้อม
สามชั่วโมงเศษข้าพเจ้าก็ไปถึงที่หมาย ยืนนิ่งแลจากโคนขึ้นไปก็ให้ใจพอง เพราะจังหวะนั้นข้าพเจ้าเห็นกระรอกสองสามตัวตื่นเตลิดขู่คร่อก ๆ แค่ก ๆ แล้วกระโจนหนีไป เสร็จกูล่ะทีนี้
ผ่านไปอีกชั่วโมงกว่าจะหาที่นั่งดี ๆ ได้ พรานรุ่นใหญ่เขาบอกมาว่าให้หาสุมทุมพุ่มไม้ที่สัตว์มองไม่เห็น พอข้าพเจ้าเลือกแล้วลงนั่ง ตัวข้าพเจ้าเองก็มองไม่เห็นเช่นกัน ไม่ทึบไปก็ลับเหลี่ยมไม้ไม่ได้ระยะยิง ไอ้ที่โล่งก็โล่งเหลือแสน มีเพียงกิ่งก้านไม่แห้งเล็กกว่าดินสอสักครึ่ง ไม่ต้องสืบ ถ้าข้าพเจ้านั่งตรงนั้น มะเดื่อต้นนี้จะไร้ผู้รุกรานไปจนค่ำเลยทีเดียว
และแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ที่เหมาะเจาะหลังจากเสื้อชุ่มเหงื่อหัวหูผมฟูฟ่องเต็มไปด้วยใบไม้ มันเป็นเนินสูงคนละฝั่งห้วย ระยะห่างไม่เกินแรงขับปืนแก๊ป ซ้ำความสูงยังพอดีกับกิ่งใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยลูกสุกแดงบ้างม่วงบ้าง ทีนี่ก็รอเพียงเวลาเท่านั้น
อ้อ! บางท่านที่เข้ามาอ่านอาจสงสัย เรื่องนี้เกิดขึ้นมาไม่นานยังไม่ถึงสิบปี และอาจสงสัยอีกว่าทำไมถึงยังใช้ปืนแก๊ป สมัยนี้เขาใช้ลูกซองกันแล้ว ถูกต้องแต่ครึ่งเดียว ยิงกระรอก ยิงหนู คงไม่มีพรานคนไหนเปลืองลูกร้อย(กระสุนปืนลูกซองร้อยเม็ดตะกั่ว)ไปกับการนั้น และอีกอย่าง ข้าพเจ้าเคยลองยิงดูแล้ว ไม่คุ้นชิน ไหล่โยกปวดหนึบไปเป็นวัน
พักก่อน...ค่อยว่ากันใหม่