‘เพื่อไทย’ แถลงการณ์ หลัง ‘บิ๊กตู่’ ได้ไปต่อ ห่วงบรรทัดฐานความความถูกต้องการตีความ รธน.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3592432
‘เพื่อไทย’ ออกแถลงการณ์ ไม่กังวล ‘บิ๊กตู่’ ได้เป็นนายกฯต่อ แต่กังวลปัญหารากเหง้าที่กลืนกินสังคมไทย สั่งสมมาตั้งแต่รัฐประหาร
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 30 กันยายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นาย
ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรค พท. อ่าน
แถลงการณ์ กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงหรือไม่ว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยดังกล่าว เชื่อว่าจะเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิชาการและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ซึ่งพรรค พท.เคารพในการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและผลผูกพันแห่งคำวินิจฉัย แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย เนื่องจากรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร การตีความต้องยึดตามบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญประกอบกัน เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 บัญญัติห้ามการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี และให้ถือว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็น ครม.ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย
นาย
ประเสริฐกล่าวต่อว่า ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์แม้จะดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พล.อ.
ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ก็ยังคงมีผลใช้อยู่ต่อเนื่องมาภายหลังวันที่ 6 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
นายประเสริฐกล่าวว่า การตัดตอนเอาวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับเป็นวันเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่อาจหาตรรกะใดมาอธิบายได้ อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏชัดในบันทึกของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่าให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนวันรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับรวมด้วย อันถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็รับรู้เป็นการทั่วไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งมาแล้วตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ซึ่งครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565
“พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายในการตีความที่นักวิชาการกฎหมาย และสังคมต้องร่วมกันคิดว่า หลักคิดและเหตุผลในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีเหตุผลที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
“รวมถึงช่วยกันทบทวนถึงบทบาทการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะบทบัญญัติที่ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กรนั้น ควรจะมีการทบทวนเพื่อสร้างกลไกการตรวจสอบให้เกิดความเหมาะสมอย่างไร” นาย
ประเสริฐกล่าว
นาย
ประเสริฐกล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยมิได้กังวลว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ต่อไป จนถึงครบวาระในเดือนมีนาคม 2566 และยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อีก หลังเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า แต่สิ่งที่ห่วงและกังวลคือปัญหารากเหง้าที่กลืนกินสังคมไทยที่สั่งสมมาตั้งแต่การรัฐประหาร เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาจะได้รับการเยียวยาแก้ไขเพื่อให้ประเทศกลับคืนสู่สังคมประชาธิปไตย มีหลักนิติรัฐนิติธรรมโดยแท้จริงอย่างไร และที่น่ากังวลอีกประการคือบรรทัดฐานความความถูกต้องของการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรค พท.เห็นว่าน่าจะมีปัญหาแต่ไม่มีกลไกใดที่จะตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งปัญหานี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกคน ในสังคมต้องช่วยกันคิดและหาทางออกต่อไป
‘ก้าวไกล’ แถลงการณ์หลัง ‘บิ๊กตู่’ ไปต่อ ชี้ อีกครั้งที่ ปชช. สิ้นหวัง เปลี่ยนคับแค้นเป็นพลังในคูหา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3592135
‘ก้าวไกล’ แถลงการณ์หลัง ‘บิ๊กตู่’ ไปต่อ ชี้ อีกครั้งที่ ปชช. สิ้นหวัง เปลี่ยนคับแค้นเป็นพลังในคูหา
แถลงการณ์พรรคก้าวไกล ต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดี “8 ปี ประยุทธ์”
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ เป็นอีกครั้งที่ทำให้ประชาชนไทยรู้สึกสิ้นหวัง
มิใช่สิ้นหวังเพียงเพราะบุคคลอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แม้ขาดทั้งความชอบธรรมทางการเมืองและความสามารถในการบริหารประเทศท่ามกลางวิกฤตที่รุมเร้า
แต่สิ้นหวัง เพราะคำวินิจฉัยในวันนี้ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนเคลือบแคลงใจ ว่าสถาบันตุลาการของบ้านเมืองที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กลับกำลังปกป้องคุ้มครองการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร มากกว่าปกป้องคุ้มครองหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ จะตรงกันข้ามกับคำวินิจฉัยตามสามัญสำนึกของประชาชน แต่ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมายาวนานเกินกว่า 8 ปีแล้ว ผ่านการทำรัฐประหารและการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ
ตราบใดที่สังคมไทยยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สถาบันทางการเมืองต่างๆ ก็จะยังถูกใช้เป็น “อาวุธ” ของระบอบการเมืองที่อำนาจสูงสุดไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หนทางเดียวในการคืนประเทศให้กับประชาชน คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ประชาชนจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
แม้การเลือกตั้งครั้งใหม่ จะเป็นโอกาสให้ประชาชนได้พิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยมือของตนเอง แต่ตราบใดที่รัฐธรรมนูญ 2560 ยังไม่ถูกรื้อ ประเทศไทยจะยังไม่หลุดพ้นจากวังวนของระบอบรัฐประหาร
ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนอีกครั้ง มาร่วมกันเข้าชื่อเพื่อให้มีการจัดทำประชามติเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง เพื่อทำให้วันเลือกตั้งไม่เป็นเพียงโอกาสในการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีหรือเปลี่ยนขั้วรัฐบาล แต่เป็นโอกาสในการเปลี่ยนโครงสร้างและกติกาของประเทศ ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
เราทราบดีว่า 8 ปีภายใต้ระบอบประยุทธ์ ได้สร้างความเจ็บปวดที่ชินชา และบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าจะยังคงเป็นไปได้หรือไม่ แต่พรรคก้าวไกลขอยืนหยัดและยืนยัน ว่าความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร แม้อาจยังไม่มากพอที่จะกำจัดระบอบอยุติธรรมที่กัดกินประเทศได้ในทันที แต่หากพวกเรา ประชาชน ไม่สิ้นหวัง และเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยที่มี “อนาคต” จะรออยู่ข้างหน้า
อนาคตของเศรษฐกิจที่เติบโตเพื่อทุกคน
อนาคตของสังคมที่คนเท่ากัน
อนาคตของประชาธิปไตยเต็มใบที่ไม่มีใครอยู่เหนือหัวประชาชน
หากเหตุการณ์วันนี้ทำให้พี่น้องประชาชนคับแค้นผิดหวัง โปรดเปลี่ยนความคับแค้นผิดหวังนั้นให้เป็นพลัง เพื่อใช้ขีดเขียน “อนาคตใหม่” ไปด้วยกัน หนึ่งเสียงของทุกคนในการแสดงออก หนึ่งคะแนนของทุกคนในคูหาเลือกตั้ง และหนึ่งชื่อของทุกคนในการสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือหนึ่งพลังของความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประเทศไทยที่ก้าวหน้า
พรรคก้าวไกล
จตุพร-นกเขา แถลง นับแต่บัดนี้อย่าหวังความสามัคคีในแผ่นดิน ชี้ ประยุทธ์รอดศาล แต่ไม่พ้นพลังประชาชน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3592411
จตุพรขอบคุณศาลรมน.วินิจฉัยประยุทธ์รอด เป็นหัวเชื้อจุดติดทั้งแผ่นดิน ลุยต่อนัดหารือหยุดอำนาจ 3 ป. 2.ต.ค.ที่อนุสรณ์ฯ 14 ตุลา
วันที่ 30 กันยายน เวลา 17.00 น. ที่บริเวณแยกราชประสงค์ นาย
จตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมนาย
นิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา และกลุ่มประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน จัดกิจกรรมการชุมนุม “
หยุดอำนาจ 3 ป. นับหนึ่งประเทศไทย” หลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.
ประยุทธ์ยังไม่ครบ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่กำหนด
นาย
จตุพร กล่าวถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ของพล.อ.
ประยุทธ์ว่า คณหลอมรวมประชาชนต้องขอขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้พล.อ.
ประยุทธ์รอด เพราะพล.อ.
ประยุทธ์ต้องไม่รอดด้วยพลังของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ ตนและคณะ ได้พูดตามที่ต่างๆ แม้ว่าโดยข้อเท็จจริง แม้ตามข้อกฎหมายเราคิดว่าเป็นอื่น ไม่ได้ อย่างไร 8 คือ 8 ไม่ใช่ 6 8 คือ 8 และมีความคาดหวังลึกๆว่า ความอยุติธรรมทั้งปวงนี้ การรอดของพลเอก
ประยุทธ์ เปรียบเสมือนนาฬิกาปลุกประชาชน ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมา
“วันนี้ถ้าพลเอกประยุทธ์รอด คนไทยก็จะเพิกเฉย ไปฉลองชัยกัน ระบบ 3 ป.ยังคงดำรงอยู่อย่างครบถ้วน เพราะฉะนั้นภารกิจของคณะหลอมรวมประกาศชัดเจนคือ หยุด 3 ป. หยุดรัฐประหาร นับหนึ่งประเทศไทย เพราะฉะนั้นภารกิจของคณะหลอมรวมนั้น คือการจัดการทั้ง 3 ป.ไม่ใช่ป.ใดป. หนึ่งต้องไปทุกๆป.
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ถูกปรามาส จุดไม่ติดบ้าง แต่การรอดของพลเอกประยุทธ์นั้น เปรียบเสมือนหัวเชื้ออย่างดี มันจุดติดกันทั้งแผ่นดินนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” นาย
จตุพรกล่าว
นาย
จตุพร กล่าวต่อว่า พวกเราได้หารือในเบื้องต้นว่า เนื่องจากสถานการณ์ที่ต้องการมีการรุกคืบคณะ 3 ป.ยังเป็นระบบ จึงขอนัดหมายปรึกษาหารือกับประชาชนที่ทนต่อความอยุติธรรมไม่ได้ในเวลา 13.00 น. ตรงที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปและจะมี มาตรการนำเสนออย่างไร รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กับน้องๆกลุ่มราษฎรที่ชุมนุมกันอยู่ที่สกายวอล์คขณะนี้ด้วย
นาย
นิติธร กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้มีความชัดเจนทางการเมือง ว่าวันนี้อำนาจทางการเมือง ซึ่งเติบโตจากการรัฐประหาร เติบโตจากการวิ่งพล่าน ทักมารวมตั้งเป็นพัก แล้วกดออกกฎหมายเอง กฎกติกาเอง ผู้ตัดสินก็ล้วนมาแต่อำนาจคสช อย่างปฏิเสธไม่ได้เป็นความเชื่อมโยง คำวินิจฉัยวันนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ คณะกรรมการกฤษฎีกา 7 คน ซึ่งเป็นคณะพิเศษ ที่ตั้งขึ้นเมื่อต้นปี 2565 มีความละม้ายคล้ายคลึงเป็นทิศทางเดียวกัน ฉะนั้นวันนี้คือความชัดเจน ว่าอำนาจทางการเมืองอำนาจของกลุ่มทุน อำนาจของต่างชาติ กับอำนาจของปวงชนนั้นได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนแล้ว
“นับจากวันนี้ไป อย่าหวังความสามัคคีในแผ่นดินนี้อีก หลังจากนี้จะมีแต่การเผชิญหน้า ระหว่างอำนาจทางการเมือง กับอำนาจอธิปไตย เพื่อจะพิสูจน์ว่า แผ่นดินนี้ใครควรจะเป็นใหญ่ ระหว่างอำนาจทางการเมืองกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ฉะนั้นเมื่อขีดเส้นไม่ต้องการความสมัครสมานสามัคคี เมื่อไม่ขีดเส้นความชอบธรรมทางการเมือง นั่นคือการขีดเส้นความแตกแยก ฉะนั้นหลังจากวันนี้พ่อแม่พี่น้องทุกคนประชาชนทุกคน จงลุกขึ้นสู้ จงลุกขึ้นเอาอำนาจอธิปไตยกลับคืนมา แล้วกวาดล้างนักการเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่ 3 ปอ นักการเมืองทั้งหมด กวาดล้างกันให้เส้นนับจากนี้ไป เอาให้เสร็จก่อนสิ้นปี และสร้างประเทศใหม่ ไม่ต้องก้มหัวให้ใครแล้วอีกต่อไป” นาย
นิติธรกล่าว
ในตอนหนึ่ง นาย
จตุพรกล่าวว่า 10 วันที่แล้ว คนดีก็รอดไป 1 คน วันนี้คนดีก็รอดกันไปอีกคน ที่อยู่ที่นี่คนชั่วทั้งนั้น คนดีทำอะไรก็ไม่ผิด ตนยังจำวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้
“เอาผมไปขังเอาไว้ ด้วยการถอนประกัน”
JJNY : 6in1 ‘พท.’ แถลงการณ์│‘ก้าวไกล’ แถลงการณ์│จตุพร-นกเขาแถลง│ไชยันต์ชี้ยกหน้า│"รอด"แต่อยู่ยาก│ข่าวร้ายซ้ำสอง!
https://www.matichon.co.th/politics/news_3592432
‘เพื่อไทย’ ออกแถลงการณ์ ไม่กังวล ‘บิ๊กตู่’ ได้เป็นนายกฯต่อ แต่กังวลปัญหารากเหง้าที่กลืนกินสังคมไทย สั่งสมมาตั้งแต่รัฐประหาร
เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 30 กันยายน ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรค พท. อ่าน แถลงการณ์ กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สิ้นสุดลงหรือไม่ว่า ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยดังกล่าว เชื่อว่าจะเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักวิชาการและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัย ซึ่งพรรค พท.เคารพในการปฏิบัติหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญและผลผูกพันแห่งคำวินิจฉัย แต่ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัย เนื่องจากรัฐธรรมนูญของประเทศไทยเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร การตีความต้องยึดตามบทบัญญัติที่เป็นลายลักษณ์อักษร และเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญประกอบกัน เมื่อรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 158 วรรคสี่ และมาตรา 264 บัญญัติห้ามการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเกิน 8 ปี และให้ถือว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็น ครม.ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย
นายประเสริฐกล่าวต่อว่า ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์แม้จะดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย ข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่าพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้ พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 สิงหาคม 2557 ก็ยังคงมีผลใช้อยู่ต่อเนื่องมาภายหลังวันที่ 6 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ
นายประเสริฐกล่าวว่า การตัดตอนเอาวันที่รัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับเป็นวันเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ไม่อาจหาตรรกะใดมาอธิบายได้ อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏชัดในบันทึกของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ว่าให้นับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนวันรัฐธรรมนูญ 2560 มีผลใช้บังคับรวมด้วย อันถือเป็นหลักฐานที่ชัดเจนของเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ประชาชนก็รับรู้เป็นการทั่วไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ดำรงตำแหน่งมาแล้วตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 ซึ่งครบ 8 ปี ในวันที่ 24 สิงหาคม 2565
“พรรคเพื่อไทยจึงเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญน่าจะมีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานทางกฎหมายในการตีความที่นักวิชาการกฎหมาย และสังคมต้องร่วมกันคิดว่า หลักคิดและเหตุผลในการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีเหตุผลที่สอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
“รวมถึงช่วยกันทบทวนถึงบทบาทการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะบทบัญญัติที่ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ มีผลผูกพันทุกองค์กรนั้น ควรจะมีการทบทวนเพื่อสร้างกลไกการตรวจสอบให้เกิดความเหมาะสมอย่างไร” นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐกล่าวอีกว่า พรรคเพื่อไทยมิได้กังวลว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะส่งผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ต่อไป จนถึงครบวาระในเดือนมีนาคม 2566 และยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้อีก หลังเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า แต่สิ่งที่ห่วงและกังวลคือปัญหารากเหง้าที่กลืนกินสังคมไทยที่สั่งสมมาตั้งแต่การรัฐประหาร เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมาจะได้รับการเยียวยาแก้ไขเพื่อให้ประเทศกลับคืนสู่สังคมประชาธิปไตย มีหลักนิติรัฐนิติธรรมโดยแท้จริงอย่างไร และที่น่ากังวลอีกประการคือบรรทัดฐานความความถูกต้องของการใช้และการตีความรัฐธรรมนูญของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพรรค พท.เห็นว่าน่าจะมีปัญหาแต่ไม่มีกลไกใดที่จะตรวจสอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งปัญหานี้ถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทุกคน ในสังคมต้องช่วยกันคิดและหาทางออกต่อไป
‘ก้าวไกล’ แถลงการณ์หลัง ‘บิ๊กตู่’ ไปต่อ ชี้ อีกครั้งที่ ปชช. สิ้นหวัง เปลี่ยนคับแค้นเป็นพลังในคูหา
https://www.matichon.co.th/politics/news_3592135
‘ก้าวไกล’ แถลงการณ์หลัง ‘บิ๊กตู่’ ไปต่อ ชี้ อีกครั้งที่ ปชช. สิ้นหวัง เปลี่ยนคับแค้นเป็นพลังในคูหา
แถลงการณ์พรรคก้าวไกล ต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญคดี “8 ปี ประยุทธ์”
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ เป็นอีกครั้งที่ทำให้ประชาชนไทยรู้สึกสิ้นหวัง
มิใช่สิ้นหวังเพียงเพราะบุคคลอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรัฐประหาร ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปได้ แม้ขาดทั้งความชอบธรรมทางการเมืองและความสามารถในการบริหารประเทศท่ามกลางวิกฤตที่รุมเร้า
แต่สิ้นหวัง เพราะคำวินิจฉัยในวันนี้ยิ่งตอกย้ำให้ประชาชนเคลือบแคลงใจ ว่าสถาบันตุลาการของบ้านเมืองที่ควรทำหน้าที่ตรวจสอบควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กลับกำลังปกป้องคุ้มครองการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐประหาร มากกว่าปกป้องคุ้มครองหลักการและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่
แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ จะตรงกันข้ามกับคำวินิจฉัยตามสามัญสำนึกของประชาชน แต่ข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้คือ พล.อ. ประยุทธ์ ได้ดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมายาวนานเกินกว่า 8 ปีแล้ว ผ่านการทำรัฐประหารและการเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ
ตราบใดที่สังคมไทยยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สถาบันทางการเมืองต่างๆ ก็จะยังถูกใช้เป็น “อาวุธ” ของระบอบการเมืองที่อำนาจสูงสุดไม่ได้เป็นของประชาชนอย่างแท้จริง หนทางเดียวในการคืนประเทศให้กับประชาชน คือ การยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อให้ประชาชนจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ
แม้การเลือกตั้งครั้งใหม่ จะเป็นโอกาสให้ประชาชนได้พิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยมือของตนเอง แต่ตราบใดที่รัฐธรรมนูญ 2560 ยังไม่ถูกรื้อ ประเทศไทยจะยังไม่หลุดพ้นจากวังวนของระบอบรัฐประหาร
ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนอีกครั้ง มาร่วมกันเข้าชื่อเพื่อให้มีการจัดทำประชามติเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันเดียวกับวันเลือกตั้ง เพื่อทำให้วันเลือกตั้งไม่เป็นเพียงโอกาสในการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีหรือเปลี่ยนขั้วรัฐบาล แต่เป็นโอกาสในการเปลี่ยนโครงสร้างและกติกาของประเทศ ให้อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
เราทราบดีว่า 8 ปีภายใต้ระบอบประยุทธ์ ได้สร้างความเจ็บปวดที่ชินชา และบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนว่าการเปลี่ยนแปลงไปสู่สังคมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าจะยังคงเป็นไปได้หรือไม่ แต่พรรคก้าวไกลขอยืนหยัดและยืนยัน ว่าความเปลี่ยนแปลงได้เกิดขึ้นแล้ว ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร แม้อาจยังไม่มากพอที่จะกำจัดระบอบอยุติธรรมที่กัดกินประเทศได้ในทันที แต่หากพวกเรา ประชาชน ไม่สิ้นหวัง และเดินหน้าสร้างความเปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ ประเทศไทยที่มี “อนาคต” จะรออยู่ข้างหน้า
อนาคตของเศรษฐกิจที่เติบโตเพื่อทุกคน
อนาคตของสังคมที่คนเท่ากัน
อนาคตของประชาธิปไตยเต็มใบที่ไม่มีใครอยู่เหนือหัวประชาชน
หากเหตุการณ์วันนี้ทำให้พี่น้องประชาชนคับแค้นผิดหวัง โปรดเปลี่ยนความคับแค้นผิดหวังนั้นให้เป็นพลัง เพื่อใช้ขีดเขียน “อนาคตใหม่” ไปด้วยกัน หนึ่งเสียงของทุกคนในการแสดงออก หนึ่งคะแนนของทุกคนในคูหาเลือกตั้ง และหนึ่งชื่อของทุกคนในการสนับสนุนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือหนึ่งพลังของความเปลี่ยนแปลงไปสู่ประเทศไทยที่ก้าวหน้า
พรรคก้าวไกล
จตุพร-นกเขา แถลง นับแต่บัดนี้อย่าหวังความสามัคคีในแผ่นดิน ชี้ ประยุทธ์รอดศาล แต่ไม่พ้นพลังประชาชน
https://www.matichon.co.th/politics/news_3592411
จตุพรขอบคุณศาลรมน.วินิจฉัยประยุทธ์รอด เป็นหัวเชื้อจุดติดทั้งแผ่นดิน ลุยต่อนัดหารือหยุดอำนาจ 3 ป. 2.ต.ค.ที่อนุสรณ์ฯ 14 ตุลา
วันที่ 30 กันยายน เวลา 17.00 น. ที่บริเวณแยกราชประสงค์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ พร้อมนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา และกลุ่มประเทศไทยต้องมาก่อน คณะหลอมรวมประชาชน จัดกิจกรรมการชุมนุม “หยุดอำนาจ 3 ป. นับหนึ่งประเทศไทย” หลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ครบ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรคสี่กำหนด
นายจตุพร กล่าวถึงคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ของพล.อ.ประยุทธ์ว่า คณหลอมรวมประชาชนต้องขอขอบคุณศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้พล.อ.ประยุทธ์รอด เพราะพล.อ.ประยุทธ์ต้องไม่รอดด้วยพลังของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่ศาลรัฐธรรมนูญ ตนและคณะ ได้พูดตามที่ต่างๆ แม้ว่าโดยข้อเท็จจริง แม้ตามข้อกฎหมายเราคิดว่าเป็นอื่น ไม่ได้ อย่างไร 8 คือ 8 ไม่ใช่ 6 8 คือ 8 และมีความคาดหวังลึกๆว่า ความอยุติธรรมทั้งปวงนี้ การรอดของพลเอกประยุทธ์ เปรียบเสมือนนาฬิกาปลุกประชาชน ขนาดใหญ่ที่สุดตั้งแต่ประเทศไทยเคยมีมา
“วันนี้ถ้าพลเอกประยุทธ์รอด คนไทยก็จะเพิกเฉย ไปฉลองชัยกัน ระบบ 3 ป.ยังคงดำรงอยู่อย่างครบถ้วน เพราะฉะนั้นภารกิจของคณะหลอมรวมประกาศชัดเจนคือ หยุด 3 ป. หยุดรัฐประหาร นับหนึ่งประเทศไทย เพราะฉะนั้นภารกิจของคณะหลอมรวมนั้น คือการจัดการทั้ง 3 ป.ไม่ใช่ป.ใดป. หนึ่งต้องไปทุกๆป.
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ถูกปรามาส จุดไม่ติดบ้าง แต่การรอดของพลเอกประยุทธ์นั้น เปรียบเสมือนหัวเชื้ออย่างดี มันจุดติดกันทั้งแผ่นดินนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป” นายจตุพรกล่าว
นายจตุพร กล่าวต่อว่า พวกเราได้หารือในเบื้องต้นว่า เนื่องจากสถานการณ์ที่ต้องการมีการรุกคืบคณะ 3 ป.ยังเป็นระบบ จึงขอนัดหมายปรึกษาหารือกับประชาชนที่ทนต่อความอยุติธรรมไม่ได้ในเวลา 13.00 น. ตรงที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ระดมความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปและจะมี มาตรการนำเสนออย่างไร รวมทั้งเป็นกำลังใจให้กับน้องๆกลุ่มราษฎรที่ชุมนุมกันอยู่ที่สกายวอล์คขณะนี้ด้วย
นายนิติธร กล่าวว่า ตนคิดว่าวันนี้มีความชัดเจนทางการเมือง ว่าวันนี้อำนาจทางการเมือง ซึ่งเติบโตจากการรัฐประหาร เติบโตจากการวิ่งพล่าน ทักมารวมตั้งเป็นพัก แล้วกดออกกฎหมายเอง กฎกติกาเอง ผู้ตัดสินก็ล้วนมาแต่อำนาจคสช อย่างปฏิเสธไม่ได้เป็นความเชื่อมโยง คำวินิจฉัยวันนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าช่างละม้ายคล้ายคลึงกับ คณะกรรมการกฤษฎีกา 7 คน ซึ่งเป็นคณะพิเศษ ที่ตั้งขึ้นเมื่อต้นปี 2565 มีความละม้ายคล้ายคลึงเป็นทิศทางเดียวกัน ฉะนั้นวันนี้คือความชัดเจน ว่าอำนาจทางการเมืองอำนาจของกลุ่มทุน อำนาจของต่างชาติ กับอำนาจของปวงชนนั้นได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจนแล้ว
“นับจากวันนี้ไป อย่าหวังความสามัคคีในแผ่นดินนี้อีก หลังจากนี้จะมีแต่การเผชิญหน้า ระหว่างอำนาจทางการเมือง กับอำนาจอธิปไตย เพื่อจะพิสูจน์ว่า แผ่นดินนี้ใครควรจะเป็นใหญ่ ระหว่างอำนาจทางการเมืองกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน ฉะนั้นเมื่อขีดเส้นไม่ต้องการความสมัครสมานสามัคคี เมื่อไม่ขีดเส้นความชอบธรรมทางการเมือง นั่นคือการขีดเส้นความแตกแยก ฉะนั้นหลังจากวันนี้พ่อแม่พี่น้องทุกคนประชาชนทุกคน จงลุกขึ้นสู้ จงลุกขึ้นเอาอำนาจอธิปไตยกลับคืนมา แล้วกวาดล้างนักการเมืองทั้งสิ้น ไม่ใช่ 3 ปอ นักการเมืองทั้งหมด กวาดล้างกันให้เส้นนับจากนี้ไป เอาให้เสร็จก่อนสิ้นปี และสร้างประเทศใหม่ ไม่ต้องก้มหัวให้ใครแล้วอีกต่อไป” นายนิติธรกล่าว
ในตอนหนึ่ง นายจตุพรกล่าวว่า 10 วันที่แล้ว คนดีก็รอดไป 1 คน วันนี้คนดีก็รอดกันไปอีกคน ที่อยู่ที่นี่คนชั่วทั้งนั้น คนดีทำอะไรก็ไม่ผิด ตนยังจำวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้พ้นจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้
“เอาผมไปขังเอาไว้ ด้วยการถอนประกัน”