JJNY : สารทจีนเงียบเหงา ของเซ่นไหว้ราคาพุ่ง│ธีรภัทร์ชี้ควรแสดงสปิริต│‘ทัศนีย์’แนะตู่หาทางลง│ฮ่องกงยึดเฮโรอีนส่งตรงจากไทย

วันจ่ายสารทจีนเงียบเหงา ของเซ่นไหว้ราคาพุ่ง ผลไม้-ขนม ขยับขึ้น กก.ละ 20 บาท
https://ch3plus.com/news/economy/ch3onlinenews/305294

วันจ่ายสารทจีนเงียบเหงา ของเซ่นไหว้ราคาพุ่ง ผลไม้-ขนม ขยับขึ้น กก.ละ 20 บาท
 
บรรยากาศชาวไทยเชื้อสายจีนอุทัยธานี จับจ่ายซื้อของเซ่นไหว้วันจ่ายเทศกาลสารทจีนค่อนข้างบางตา ราคาเนื้อหมูไก่ เป็ด ยังแพง ขนมเข่งขนมเทียนราคาแพงขึ้น ขณะที่ผลไม้ขยับขึ้นเฉลี่ย 10 บาทไปจนถึง 20 บาท นิยมซื้อผลไม้มงคล 5 อย่าง 9 อย่าง ประชาชนเลือกซื้อแต่ของจำเป็นประหยัดเงิน เนื่องจากการเงินไม่ยังคล่องตัว
  
ที่จังหวัดอุทัยธานี บรรยากาศชาวไทยเชื้อสายจีนออกจับจ่ายซื้อของในวันจ่ายของเทศกาลสารทจีน ที่บริเวณตลาดสดเขตเทศบาล 2 เขตเทศบาลเมืองอุทัยธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุทัยธานี ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา ไม่คึกคักมากนัก มีประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนค่อนข้างบางตาอย่างเห็นได้ชัด ที่ออกมาจับจ่ายซื้อสินค้าและอุปกรณ์ที่ใช้ในการไหว้ในช่วงเทศกาลสารทจีนกันเป็นจำนวนมาก
  
โดยเฉพาะหมู ไก่ เป็ด และปลา ซึ่งเป็นของไหว้หลักที่ต้องใช้ในการประกอบพิธี รวมทั้ง ขนมเข่ง ขนมเทียน ขนมเปี๊ยะ กระดาษเงินกระดาษทอง และผลไม้มงคล เช่น ส้ม แก้วมังกร ซึ่งของเซ่นไหว้ต่างๆ ยังคงมีราคาแพงอยู่แม้ไม่ปรับขึ้นราคา ขนมเข่งขนมเทียนก็ปรับราคาสูงขึ้นอีกประมาณกิโลกรัมละ 20 บาท
 
ส่วนผลไม้มงคลที่ใช้เซ่นไหว้ก็ขยับราคาขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 10 บาทไปจนถึง 20 บาท ผลไม้บางอย่างขึ้นสูงมาก เช่น ชมพู่กิโลกรัมละ 150 บาท และร้านผลไม้ไม่ได้นำมาวางขาย แต่ที่นิยมซื้อกัน ที่ทางร้านผลไม้จัดผลไม้มงคล 5 อย่าง และ 9 อย่างรวมกันเป็นชุด ชุดละ 150 – 300 บาท ได้ของครบพร้อมจัดไปเซ่นไหว้ได้เลย
 
ซึ่งประชาชนชาวไทยเชื้อสายจีนส่วนใหญ่จะเลือกซื้อของเซ่นไหว้เท่าที่จำเป็น เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนผู้ที่มีฐานะดีก็จะซื้อของเซ่นไหว้ตามปกติหรือเพิ่มมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานและเพื่อเป็นสิริมงคล และวันสารทจีนนับว่าเป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่มีความสำคัญสำหรับชาวจีน เป็นช่วงเวลาที่ลูกหลานชาวจีนจะได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษด้วยการเซ่นไหว้ อีกทั้งยังเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายขึ้นมารับส่วนกุศลผลบุญที่มีผู้อุทิศไปให้ไว้ได้อีกด้วย
 
ขณะเดียวกันทางด้านสาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี และปศุสัตว์จังหวัดอุทัยธานีได้ให้ข้อแนะนำการเลือกซื้อบริโภคเนื้อสัตว์ต่างๆ และสัตว์ปีกอย่างปลอดภัย ด้วยการเลือกซื้อ หมู เป็ด ไก่ ที่ดูสดใหม่ ไม่มีสีคล้ำหรือจ้ำเลือดที่ผิวหนัง และที่เป็นเนื้อหมู เป็ด ไก่ ต้มสุก ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด ส่วนใหญ่จะนิยมต้มหรือนึ่งไม่สุกมากนัก
  
ดังนั้นก่อนนำมารับประทานหลังพิธีเซ่นไหว้แล้ว ควรปรุงให้สุกอีกครั้งหนึ่ง การปฏิบัติง่ายๆ ที่จะลดความเสี่ยงเพิ่มความปลอดภัย ขอให้ประชาชนยึดหลัก 3 ประการ คือ “กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง และหมั่นล้างมือ” หมายถึง รับประทานอาหารที่ปรุงสุกด้วยความร้อน ใช้ช้อนกลางตักอาหารและล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารทุกครั้ง
 


ธีรภัทร์ ชี้ นายกฯ8ปี คือประเพณีการเมืองไทย ประยุทธ์ควรแสดงสปิริต แม้ศาลตัดสินเป็นอื่น
https://www.matichon.co.th/politics/news_3501320

ธีรภัทร์ ชี้ นายกฯ8ปีคือประเพณีการปกครองไทย ประยุทธ์ควรแสดงสปิริต แม้ศาลตัดสินเป็นอื่น
 
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นักวิชาการสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช   เขียนข้อความเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก Thirapat Serirangsan เรื่อง ขอคุยด้วยคน ว่าด้วยวาระ 8 ปี  ระบุว่า
 
ผมไม่รู้ว่าจะมีคนเคยเสนอก่อนผมหรือไม่ แต่เท่าที่ทราบ ผมเป็นคนแรกที่เสนอให้จำกัดการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ที่ตัวเลข 8 ปีหรือไม่เกินสองสมัยของการเลือกตั้งเมื่อครั้งที่ผมดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2549
 
จำได้ว่าผมได้รับเชิญไปอภิปรายที่ห้องประชุมองค์การสหประชาชาติ ถนนราชดำเนิน โดยสถาบันพระปกเกล้า หัวข้อเกี่ยวกับการพัฒนาการทางการเมืองของไทย ก่อนอภิปรายผมขอถอดหัวโขนจากตำแหน่งรัฐมนตรี ขอพูดในนามนักวิชาการทางรัฐศาสตร์ การพูดในวันนั้นมาจากแรงบันดาลใจเพราะประทับใจในสปิริตของนายพลจอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาเมื่อท่านดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบสองวาระ 8 ปี แม้รัฐธรรมนูญของสหรัฐในขณะนั้นจะยังไม่มีข้อบัญญัติให้ประธานาธิบดีห้ามเป็นเกินกว่าสองสมัยติดต่อกันก็ตาม ท่านแสดงตนเป็น “รัฐบุรุษ”ที่ประกาศไม่ขอลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปเป็นสมัยที่3 ด้วยคำกล่าวที่ว่า

“หากให้ข้าพเจ้าลงสมัครต่อไป ข้าพเจ้าจะไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ข้าพเจ้าจะกลายเป็นจักรพรรดิแทน”
 
และการปฏิบัติดังกล่าวของท่าน ได้กลายเป็นประเพณีทางการเมืองของสหรัฐอเมริกาในเวลาต่อมา สำหรับผู้ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อๆมาได้ยึดถือปฏิบัติตาม คือเป็นไม่เกินสองสมัยติดต่อกันหรือ 8 ปี
 
ผมจึงนำมาเสนอในเวทีของสถาบันพระปกเกล้าเมื่อประมาณปลายปี 2549หรือต้นปี 2550 ในช่วงที่สภาร่างรัฐธรรมนูญกำลังเตรียมจัดทำรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการบัญญัติหลักการนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 และจำกัดเวลาของการดำรงตำแหน่งไว้ทั้งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
 
ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นเมื่อหนังสือพิมพ์นำไปพาดหัวข่าวใหญ่เท่านั้น ผมก็ถูกพวกนักการเมืองทั้งหลายรุมกันด่าว่าวิพากษ์วิจารณ์สารพัด และกล่าวหาเกินเลยความจริงว่าเป็นข้อเสนอของรัฐมนตรีที่มาจากการรัฐประหารที่จะมาจำกัดอำนาจของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ผมพูดในฐานะนักวิชาการ ที่ถอดหัวโขนตำแหน่งทางการเมือง แต่สื่อมวลชนก็ไม่ได้จำแนกเอาไว้
 
ก็ไม่เป็นไรแม้จะถูกด่าว่าจากบรรดานักการเมือง ก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะภายหลังปรากฎว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญได้นำไปบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับ  พ.ศ.2550 จำกัดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้เพียงตำแหน่งเดียว ไม่รวมตำแหน่งรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ทั้งหมดก็ตาม ตำแหน่งเดียวก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
 
และต่อมารัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2560 ก็นำมาบัญญัติไว้ต่อเนื่องกันมา จนน่าจะกลายเป็นประเพณีทางการเมืองไปแล้ว
 
ดังนั้น มาถึงประเด็นของการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่จะครบ 8 ปีในวันที่ 23 สิงหาคมที่จะถึงในอีกไม่กี่วันนี้ เมื่อนับรวมตั้งแต่เริ่มยึดอำนาจแล้วเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเข้าใจว่า มีการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าจะครบ 8 ปีเมื่อไร จะครบ 8 ปีในวันที่ 23 สิงหาคมนี้หรือ จะครบ 8 ปีเมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2560 ในปี 2568 หรือจะครบ 8 ปีนับจากการประกาศพระบรมราชโองการแต่งตั้งพลเอกประยุทธ์หลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2562ในปี 2570
 
ผมไม่อาจทราบหรือก้าวล่วงการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้(ที่ความน่าเชื่อถือค่อนข้างน้อย) แต่ในทรรศนะส่วนตัว และ(อาจกล่าวอ้างได้ว่า)เป็นคนแรกที่เสนอการจำกัดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ ผมคิดว่า การเมืองไทยจะพัฒนาการหรือยกระดับมาตรฐานทางการเมืองอย่างชัดเจนว่าประเทศเราจะเป็นประชาธิปไตยเชิงคุณภาพได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจครั้งนี้
 
ทรรศนะของผมคือ การจำกัดการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไว้ที่ 8 ปีได้กลายเป็นประเพณีทางการเมืองของประเทศไทยนับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน ที่ชาวไทยทุกคนควรช่วยกันรักษาไว้ และกระแสสังคมก็ดูเหมือนจะตอบรับในประเด็นนี้
 
ประเพณีทางการเมืองดังกล่าวจึงเป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 และเป็นเป้าหมายที่ไม่ต้องการให้บุคคลใดก็ตามที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะมาโดยการยึดอำนาจหรือมาจากการเลือกตั้งจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งเกิน 8 ปีเป็นอันขาด
 
ผมจึงขอเสนอว่าศาลรัฐธรรมนูญควรยึดถือประเพณีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ให้พลเอกประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวันที่ 23 สิงหาคมนี้ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเป็นอื่น พลเอกประยุทธ์ ก็ควรแสดงสปิริตทางการเมืองโดยการประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 23 สิงหาคมนี้เช่นกัน ซึ่งจะเป็นการก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างสง่างาม
 
ผมอาจฝันเกินความจริง แต่อยากเห็นการเมืองไทยก้าวไปข้างหน้าได้เสียทีหนึ่ง

https://www.facebook.com/thirapat.serirangsan/posts/pfbid0zoCY5hRrCQvMFCxNTNUTr6P4Uhtib8rVf2pYogTiJmbkKp329HdHSy4qrDbYjRtYl
 

 
‘ทัศนีย์’ แนะ ‘บิ๊กตู่’ วาระครบ 8 ปี หาทางลงอย่างสง่างาม อยู่นานประเทศยิ่งแย่
https://www.matichon.co.th/politics/news_3501158

‘ทัศนีย์’ เตือน ‘บิ๊กตู่’ ห่วงแต่อำนาจ ระวังไม่มีแผ่นดินให้ยืน แนะ วาระครบ 8 ปี หาทางลงที่สง่างาม ลั่น ยิ่งอยู่นานประเทศยิ่งแย่ลง
 
เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า จากรัฐธรรมนูญที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งคณะขึ้นมา เขียนขึ้นมาเอง และมีการบรรจุวาระการดำรงตำแหน่งไว้ด้วย ดังนั้น จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์เคารพในรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียนขึ้นมาด้วย ซึ่งไม่ว่าอย่างไรในวันที่ 23 สิงหาคม 2565 นี้ จะครบกำหนดวาระเป็น นายกรัฐมนตรี 8 ปี ไม่ควรจะใช้นักกฎหมายศรีธนญชัย สร้างอภินิหารทางกฎหมาย หาทางออกให้พล.อ.ประยุทธ์เถลิงอำนาจต่อไปดีกว่า
  
น.ส.ทัศนีย์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจนานมากไปจนประเทศล่มจม จึงอยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปศึกษาประวัติศาสตร์ว่าท้ายที่สุดบรรดานายทหารที่ยึดติดอำนาจมีจุดจบเช่นไร การลงจากตำแหน่งในวาระครบ 8 ปี เป็นทางลงที่ดีที่สุดควรใช้โอกาสนี้ลงจากอำนาจ หากยังไม่ลงจากตำแหน่งจากตำแหน่ง เชื่อว่าประชาชนจะจดจำพล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนไปจากนายกรัฐมนตรีเป็นทรราชในที่สุด หากดูจากผลงานพล.อ.ประยุทธ์ตลอด 8 ปี มีหลายครั้งที่สามารถเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสได้ แต่รัฐบาลทำไม่เป็น มีหลักฐานประจักษ์ว่ายิ่งบริหารยิ่งเป็นหนี้ และหนี้สาธารณะก็เพิ่มขึ้นจนชนเพดาน ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ประชาชนมีรายได้ไม่พอรายจ่าย เกิดการฆ่าตัวตายเป็นรายวัน เพราะพิษเศรษฐกิจ หากยังอยู่ในอำนาจต่อไปโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชน เกรงว่าในอนาคตหากท่านยังยึดติดอำนาจต่อไป ก็หวั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์จะไม่มีแผ่นดินในโลกให้ยืน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่