" สัตว์ "ตอนที่ 37 :ทิฏฐิ62..เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ ๔ ..แบบที่ 2...สรวลเสเฮอา..จนตกสวรรค์

กระทู้สนทนา

https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=9&item=26&items=25&preline=1
...
       [๓๒] ๖. (๒) อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญ อาศัยอะไร ปรารภอะไรจึงมีทิฏฐิว่า 
บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง 
บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่
ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากันหมกมุ่น
อยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเสและการเล่นหัวจนเกินเวลา สติก็ย่อมหลงลืม เพราะสติ
หลงลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ 
เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส 
อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ 
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ 
หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า 

" ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ย่อมไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่ใน
ความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นไม่พากันหมกมุ่นอยู่แต่
ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมไม่หลงลืม เพราะสติ
ไม่หลงลืม พวกเหล่านั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอันไม่แปรผัน
เป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว "

" ส่วนพวกเราเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส 
และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกเรานั้นพากันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือ การสรวลเส 
และการเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้น
เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้เช่นนี้  "

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ 
ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง อาศัยแล้ว ปรารภแล้วจึงมีทิฏฐิว่า 
บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง.



สรุป...
1. สัตว์..ที่เดิมเป็นเทวดาพวก " ขิฑฑาปโทสิก "... ตายจาะเทวดา..มาได้การเกิดเป็นมนุษย์
    แล้วมีคุณวิเศษโดยระลึกชาติได้..แค่ตอนที่เป็นเทวดา..นั้น  หลังจากนั้นระลึกไม่ได้..

    ก็รู้ว่า.. เพราะการสรวลเสเฮอาจนขาดสติ..จึงตายจากสวรรค์  จึงสรุปว่า.." ตนนะ.ไม่เที่ยง "
    ส่วนพวกที่ไม่ใช่เทวดาพวกขิฑฑาปโทสิก...ไม่สรวลเสเฮอาจนขาดสติ.. " พวกอื่นนั้น..เป็นผู้เที่ยง "
    
    เมื่อรู้แค่นี้..ก็เลย..บัญญัติว่า
    " บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง
      ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยงบางอย่างไม่เที่ยง. "

2. การที่เข้ารู้ว่า..เขาก่อนมาเกิด..ได้กายเทวดาขิฑฑาปโทสิก.. และตอนนี้ได้กายมนุษย์
    เพราะการระลึกชาติได้...  สิ่งนี้เป็นจริง...พระศาสดาท่านรับรอง

3. ส่วนที่ไม่จริง.. เป็นมิจฉาทิฏฐิ..ก็คือ... " สัตว์ทั้งหลายไม่เที่ยง "..  ไม่มีสัตว์เที่ยง..
    สิ่งที่เที่ยงคือ..." หากไม่สิ้นตัณหา...เพราะว่ารู้โดยชอบแล้ว..  ก็จะท่องไปในวัฏฏะอย่างไม่มีสิ้นสุด "

     ดังพุทธพจน์ที่ว่า...
       " เราไม่กล่าว่า.. สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น..มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่
         จะกระทำที่สุดทุกข์ได้... "
         
       

4. อันนนี้..นอกประเด็น
    ตอบ..คำถามที่ว่า

"ที่ว่าเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ" แล้วพระอรหันต์มีเวทนาหรือเปล่า?
ตอบ...  พระอรหันต์ที่ยังมีขันธ์ยังไม่แตกสลายไป..มีเวทนาซิ  แต่ท่านไม่ยึดถือเวทนานั้นแล้ว..
            นี้คือ..หลักฐาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ไม่ใช้อรรถกถา และ อภิธรรม หอมผู้รู้ชอบถึงการดับของสัตว์ จะอธิบายยังไง?
ตอบ..  คนเข้าใจปฏิจจสมุปปาท.. ไม่ต้องถึงความเชื่อต่อผู้อื่น..ครับ..
           ที่ว่าเวทนาดับ...  ไม่ได้หมายความว่า.. เวทนาของพระอรหันต์ดับ.. หมายถึงอนาคตโน้น

           แต่หมายความว่า...  ปัจจจุบัน..พระอรหันต์..ดับ..อวิชชา-ตัณหา-อุปาทานได้แล้ว..
           (เพราะอวิชชาดับ.. จริงไม่ปรุงแต่งสังสาร.. บุญ-อบุญ-อเนณชา..สรุปว่าไม่ปรุงแต่งกรรมใหม่)
           เพราะว่า..ปัจจุบัน..อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน..มันดับไปแล้ว..  เมื่อชาตินี้..สิ้นไปหรือตายไป
           วิญญาณจึงไม่หยั่งลง..  เมื่อวิญญาณไม่หยั่งลง..  ภพ..จึงไม่มี.. ชาติจึงไม่มี..
           
           กล่าวอีกนัยหนึ่ง...
           วิญญาณจึงไม่หยั่งลง.. นามรูปก็ไม่มี..
           นามรูปไม่มี..  สฬายตนะ..ก็ไม่มี
           สฬายตนะ..ไม่มี    ผัสสะ..ก็ไม่มี
           ผัสสะ..ไม่มี   เวทนา..ก็ไม่มี   
           เวทนา..ไม่มี   ตัณหา..ก็ไม่มี  <====นี่...เวทนาดับ..ตัณหาจังดับ   อยู่ตรงนี้  

          ผมไม่จำเป็นที่จะต้องไปอ่านความเห็นของใคร..
          ผมเข้าใจปฏิจจสมุปปาท...ด้วยการใช้หลักมหาปเทส4..ที่พระศาสดาท่านทรงประทานมาให้
    
          เอาสั้นๆก็คือ..  " พระศาสดาท่านทรงสอน...ปฏิจจสมุปปปาทให้แก่ผม  "
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่