ปัญญา หรือธรรมชาติที่รู้ชัดรูปนามตามความเป็นจริง ทำให้โลภะ โทสะ โมหะ หรือความพอใจไใพอใจดับลงไปได้ ปัญญาจะเกิดกับความจริงเท่านั้น ความเห็นซึ่งมาจากความพอใจไม่พอใจและความหลง จะทำให้เกิดทุกข์ ที่เราหลงเพราะเราไม่รู้จักรูปนามตามความเป็นจริง หรือเพราะอวิชชา ปัญญามีหน้าที่ดับทุข์ คือ ดับอุปทาน ตัณหา เวทนา พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า ทุกข์เกิดที่ใหนให้ดับมันที่นั่น เพราะฉะนั้น ที่ใหนที่เวทนา ตัณหา อุปทาน เกิดขึ้น ณ ที่ั้นเราต้องยังปัญญาให้เกิดขึ้นมาให้ได้ พระสารีบุตรได้พูดไว้ว่า ให้ยังปัญญาเกิดขึ้นประกบกับชวนะจิตทุกครั้งเมื่อจิตเกิดขึ้นมาเพื่อเสวยอารมณ์ อุปมาปัญญาเมือนรอยฝีเท้าที่เดินตามจิต ทุกข์ หรือกิเลสตัณหา เกิดขึ้นที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเท่านั้น นอกจาก ๖ ทางนี้แล้วไม่มีทุกข์เกิดขึ้นมากับเราได้ เรามีความเห็นตอบสนองกับการรับรู้ของเรา เช่น ตาเห็นรูป ถ้าเราเกิดความพอใจ เป็นความชอบขึ้น แสดงว่าเราหลง เกิดเวทนาตัณหาฯ ขึ้นมาแล้ว หรือทุกข์ได้เกิดขึ้นมากับเราแล้ว เรียกว่ามาจากความเห็นผิด ถ้าเราจะดับ ก็เอาความจริงไปดับ คือ แทนที่ตาเห็นรูปแล้วจะปล่อยให้เป็นเวทนา ก็เอาความจริงไปกั้น ให้เห็นรูปด้วยปัญญาอันชอบว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ความเห็นรูปตามความเป็นจริงของโลกและฃีวิตนี้ จะทำให้เปัญญาเกิดขึ้นมาดับกิเลสตัณหา หรือดับโลภะ โทสะ โมหะ ทันที ความจริง ปัญญา ความเห็นชอบ เห็นตรง หรือสัมมาทิฎฐิแบบนี้ จะทำให้เราไม่เกิดทุข์ เอาไปดับทุกข์ที่เกิดขึ้นมากับเราได้ ทุกข์เกิดกับเรา ๖ ทางเท่านั้น เราต้องฝึกดับให้ได้ทั้ง ๖ ทาง ทุกข์เกิดกับเราในขณะปัจจุบันเท่านั้น ถ้ามันเกิดไปแล้ว เป็นอดีต เรากลับไปแก้ไม่ได้ อนาคตมาไม่ถึง เราก็ไม่ต้องไปสนใจมัน การเอาความเห็นชอบมาดับความเห็นผิด หรือเอาปัญญาไปดับทุกข์จึงต้องทำที่ผัสสะ หรือทำทันทีเมื่อเราได้รับการกระทบสัมผัส เช่น หูได้ยินเสียง ก็ให้พิจารณาทันทีเท่าที่ทำได้ว่า เสียงมันก็เป็นเพียงธรรมชาติที่ไม่เที่ยงฯ เมื่อปัญญาเกิดขึ้น สิ่งที่จะเกืดตามมาก็คือ โลภะ โทสะ โมหะ ดับ ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง ไม่ต้องมีใครมาบอก เหมือนเกลือเข้าปากก็รู้ว่าเค็ม ฉันใดฉันนั้น
การเกิดของปัญญา