https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=9&item=26&items=25&preline=1
[๒๘] ๒. อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิ
"
ว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง " ...?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส
อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน
ได้หลายประการ คือ
ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้
สังวัฏฏวิวัฏฏกัป...หนึ่งบ้าง
สองบ้าง
สามบ้าง
สี่บ้าง
ห้าบ้าง
สิบบ้าง
ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆมีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น
มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า
อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ
อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ
ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง
ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น
แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข
เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้
ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้
ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้
ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง "
ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง."
สรุป... คล้ายกับแบบแรก... การบัญญติผิดเหมือนกับแบบแรก... ต่างตรงที่ระลึกชาติได้มากกว่า
เป็น...
สังวัฏฏวิวัฏฏกัป คือ..การที่โลกเจริญขึ้น..และ..โลกเสื่อมลง..1 ครั้ง
คือ..1 สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ... เอาเป็นว่า...หลายๆล้านชาติเลย...
1. พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า....
ในโลกนี้..มีคนที่ระลึกชาติได้เพราะการทำเจโตสมาธิ... <==การระลึกชาตินี้เป็นเรื่องจริงเห็นจริง
เขาเห็น..เขาเองได้มีแล้วในอดีต..แล้วชาตินี้กลับมาเกิดอีก...
2. อ้าว..ก็ในเมื่อเห็นจริง..เป็นความจริง.. แล้วทิกฐินี้มันจะผิดไปได้..ด้วยเหตุผลใด..??
มันผิดเพราะว่า... " ดันไปสรุปว่า..อัตตา..และ..โลกว่าเที่ยง..ไงเล่า..!!! "
ผิดยังไง?
ผิดเพราะว่า..... " ....โลก...และ..อัตตา..ทั้ง 2 มันไม่เที่ยง "
อย่างไปสับสนเข้ารกเข้าพงไปนะว่า " โลกไม่มี..อัตตาไม่มี..นะ " <--นี่ก็มิจฉาทิฏบิอีแบบหนึ่ง..
โดยที่แท้..โลกและอัตตามี... " แต่มีแบบ..ไม่เที่ยง "... เหมือกับ..นมสด - นมสม - เนยข้น - เนยใส...
ที่มันมี...แต่ก็จะเปลี่ยนแลง..ไปแบบไม่เที่ยง ดังที่ทรงกล่าวกับท่านจิตตะ..ในโปฏฐปาทสูตร
3. อีกอย่าง...ผู้ที่ระลึกชาติได้เหล่านั้น ยังไม่สามารถระลึกไปถึงจุดที่ " โลกกำเนิด - โลกแตกดับ "..ได้
จึงไม่รู้ว่า...โลกมีการกำเนิด..และ..แตกสลายไป <==อันนี้กล่าวใน..ส่วนโลกทางกายภาพ
ส่วนโลก..ในส่วนของ โลกที่หมายถึง..อายตนะ..<==อันนี้..หมายถึง..ผู้ที่ที่ระลึกชาติได้นั้นไม่รู้ปฏิจจสมุปปาท
เขาไม่รู้...การเกิดขึ้นของโลก...ว่า..เกิดขึ้นได้ดังนี้
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย......สังขารทั้งหลาย..จึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย.......วิญญาณ..จึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย....นามรูป..จึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย.......สฬายตนะ..จึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย..ผัสสะ..จึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย........เวทนา..จึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย.......ตัณหา..จึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย.......อุปาทาน..จึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย....ภพ..จึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย...........ชาติ..จึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย..ขรามรณะ - โสกปริเทวะ-อุปายาะ..จึงเกิดขึ้นควบถ้วน
อันนี้...หละ " การเกิดขึ้นของโลก..กับ...อัตตา "
เขาไม่รู้....การดับลงของโลก...ว่า..ดับลงได้ดังนี้
เพราะอวิชชาดับ......สังขารทั้งหลาย..จึงดับ
เพราะสังขารดับ.......วิญญาณ..จึงดับ
เพราะวิญญาณดับ....นามรูป..จึงดับ
เพราะนามรูปดับ.......สฬายตนะ..จึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ..ผัสสะ..จึงดับ
เพราะผัสสะดับ........เวทนา..จึงดับ
เพราะเวทนาดับ.......ตัณหา..จึงดับ
เพราะตัณหาดับ.......อุปาทาน..จึงดับ
เพราะอุปาทานดับ....ภพ..จึงดับ
เพราะภพดับ...........ชาติ..จึงดับ
เพราะชาติดับ..ขรามรณะ - โสกปริเทวะอุปายาะ..จึงดับลง
อันนี้...หละ " การดับลงของโลกกับอัตตา "
4. มันผิดอย่างไร....การที่มีความเห็นว่า
"
อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด...แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ "
มันผิดตรงที่..
4.1 เห็นไม่ตรงตามความจริง... คือเห็นแค่ช่วนเดียว..ของสัตว์ที่ท่องไปในสังสารวัฏ..แล้วมาสรุปว่า
สัตว์เที่ยง(อัตตา..เพราะไปเข้าใจวา่าบางส่วนของขันธ์คืออัตตา..คือสัตว์)...บ้าง โลกเที่ยง..บ้าง
4.2 ผิดที่.. ถ้ามีความเห็นว่าสัตว์อัตตาเที่ยง.. การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มีขึ้น..ดังที่ทรงกล่าวไว้
กับท่าน..มาลุงกยบุตร..ท่านวัจฉะ..และอีกหลายๆท่าน
ทำไมเล่า?
เพราะว่า...ปฏิจจสมุปปาทสายนิโรธวาท..ได้แสดง..การดับลงของ..สัตว์ - อัตตา..และ..โลก
ดังนั้น...การเห็นว่า..สัตว์เที่ยง - อัตตาเที่ยง..และ..โลกเที่ยง... จึงเป็นการปฏิเสธหลักการในพระพุทธสาสนา..
" สัตว์ "ตอนที่ 32 :ทิฏฐิ62..เห็นสัตว์ในอตีต.. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ ๑๘ =>สัสสตทิฏฐิ ๔..แบบที่ 2
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=9&item=26&items=25&preline=1
[๒๘] ๒. อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิ
" ว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง " ...?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส
อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน
ได้หลายประการ คือ
ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้
สังวัฏฏวิวัฏฏกัป...หนึ่งบ้าง
สองบ้าง
สามบ้าง
สี่บ้าง
ห้าบ้าง
สิบบ้าง
ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆมีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น
มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า
อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น
อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ
อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ
ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง
ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น
แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข
เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้
ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้
ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้
ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว
จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง " ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง."
สรุป... คล้ายกับแบบแรก... การบัญญติผิดเหมือนกับแบบแรก... ต่างตรงที่ระลึกชาติได้มากกว่า
เป็น...สังวัฏฏวิวัฏฏกัป คือ..การที่โลกเจริญขึ้น..และ..โลกเสื่อมลง..1 ครั้ง
คือ..1 สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ... เอาเป็นว่า...หลายๆล้านชาติเลย...
1. พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า....
ในโลกนี้..มีคนที่ระลึกชาติได้เพราะการทำเจโตสมาธิ... <==การระลึกชาตินี้เป็นเรื่องจริงเห็นจริง
เขาเห็น..เขาเองได้มีแล้วในอดีต..แล้วชาตินี้กลับมาเกิดอีก...
2. อ้าว..ก็ในเมื่อเห็นจริง..เป็นความจริง.. แล้วทิกฐินี้มันจะผิดไปได้..ด้วยเหตุผลใด..??
มันผิดเพราะว่า... " ดันไปสรุปว่า..อัตตา..และ..โลกว่าเที่ยง..ไงเล่า..!!! "
ผิดยังไง?
ผิดเพราะว่า..... " ....โลก...และ..อัตตา..ทั้ง 2 มันไม่เที่ยง "
อย่างไปสับสนเข้ารกเข้าพงไปนะว่า " โลกไม่มี..อัตตาไม่มี..นะ " <--นี่ก็มิจฉาทิฏบิอีแบบหนึ่ง..
โดยที่แท้..โลกและอัตตามี... " แต่มีแบบ..ไม่เที่ยง "... เหมือกับ..นมสด - นมสม - เนยข้น - เนยใส...
ที่มันมี...แต่ก็จะเปลี่ยนแลง..ไปแบบไม่เที่ยง ดังที่ทรงกล่าวกับท่านจิตตะ..ในโปฏฐปาทสูตร
3. อีกอย่าง...ผู้ที่ระลึกชาติได้เหล่านั้น ยังไม่สามารถระลึกไปถึงจุดที่ " โลกกำเนิด - โลกแตกดับ "..ได้
จึงไม่รู้ว่า...โลกมีการกำเนิด..และ..แตกสลายไป <==อันนี้กล่าวใน..ส่วนโลกทางกายภาพ
ส่วนโลก..ในส่วนของ โลกที่หมายถึง..อายตนะ..<==อันนี้..หมายถึง..ผู้ที่ที่ระลึกชาติได้นั้นไม่รู้ปฏิจจสมุปปาท
เขาไม่รู้...การเกิดขึ้นของโลก...ว่า..เกิดขึ้นได้ดังนี้
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย......สังขารทั้งหลาย..จึงมี
เพราะสังขารเป็นปัจจัย.......วิญญาณ..จึงมี
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย....นามรูป..จึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย.......สฬายตนะ..จึงมี
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย..ผัสสะ..จึงมี
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย........เวทนา..จึงมี
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย.......ตัณหา..จึงมี
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย.......อุปาทาน..จึงมี
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย....ภพ..จึงมี
เพราะภพเป็นปัจจัย...........ชาติ..จึงมี
เพราะชาติเป็นปัจจัย..ขรามรณะ - โสกปริเทวะ-อุปายาะ..จึงเกิดขึ้นควบถ้วน
อันนี้...หละ " การเกิดขึ้นของโลก..กับ...อัตตา "
เขาไม่รู้....การดับลงของโลก...ว่า..ดับลงได้ดังนี้
เพราะอวิชชาดับ......สังขารทั้งหลาย..จึงดับ
เพราะสังขารดับ.......วิญญาณ..จึงดับ
เพราะวิญญาณดับ....นามรูป..จึงดับ
เพราะนามรูปดับ.......สฬายตนะ..จึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ..ผัสสะ..จึงดับ
เพราะผัสสะดับ........เวทนา..จึงดับ
เพราะเวทนาดับ.......ตัณหา..จึงดับ
เพราะตัณหาดับ.......อุปาทาน..จึงดับ
เพราะอุปาทานดับ....ภพ..จึงดับ
เพราะภพดับ...........ชาติ..จึงดับ
เพราะชาติดับ..ขรามรณะ - โสกปริเทวะอุปายาะ..จึงดับลง
อันนี้...หละ " การดับลงของโลกกับอัตตา "
4. มันผิดอย่างไร....การที่มีความเห็นว่า
" อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด...แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ "
มันผิดตรงที่..
4.1 เห็นไม่ตรงตามความจริง... คือเห็นแค่ช่วนเดียว..ของสัตว์ที่ท่องไปในสังสารวัฏ..แล้วมาสรุปว่า
สัตว์เที่ยง(อัตตา..เพราะไปเข้าใจวา่าบางส่วนของขันธ์คืออัตตา..คือสัตว์)...บ้าง โลกเที่ยง..บ้าง
4.2 ผิดที่.. ถ้ามีความเห็นว่าสัตว์อัตตาเที่ยง.. การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มีขึ้น..ดังที่ทรงกล่าวไว้
กับท่าน..มาลุงกยบุตร..ท่านวัจฉะ..และอีกหลายๆท่าน
ทำไมเล่า?
เพราะว่า...ปฏิจจสมุปปาทสายนิโรธวาท..ได้แสดง..การดับลงของ..สัตว์ - อัตตา..และ..โลก
ดังนั้น...การเห็นว่า..สัตว์เที่ยง - อัตตาเที่ยง..และ..โลกเที่ยง... จึงเป็นการปฏิเสธหลักการในพระพุทธสาสนา..