" สัตว์ "ตอนที่ 32 :ทิฏฐิ62..เห็นสัตว์ในอตีต.. ปุพพันตกัปปิกาทิฏฐิ ๑๘ =>สัสสตทิฏฐิ ๔..แบบที่ 2

กระทู้สนทนา


https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/item.php?book=9&item=26&items=25&preline=1
     [๒๘] ๒. อนึ่ง ในฐานะที่ ๒ สมณพราหมณ์ผู้เจริญอาศัยอะไร ปรารภอะไร จึงมีทิฏฐิ
" ว่าเที่ยง บัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง " ...?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์บางคนในโลกนี้อาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส 
อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ 
แล้วบรรลุเจโตสมาธิอันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน
ได้หลายประการ คือ 

ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้   
สังวัฏฏวิวัฏฏกัป...หนึ่งบ้าง
สองบ้าง
สามบ้าง
สี่บ้าง
ห้าบ้าง
สิบบ้าง

ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น 
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆมีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น 

ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้นมีโคตรอย่างนั้น 
มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น 

ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ 
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้ เขากล่าวอย่างนี้ว่า 

อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขา ตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด 
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไปย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ 

ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเหตุว่า ข้าพเจ้าอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น 
อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ
อันเป็นเครื่องตั้งมั่นแห่งจิต ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ คือ 
ตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้สังวัฏฏวิวัฏฏกัปหนึ่งบ้าง สองบ้าง สามบ้าง สี่บ้าง ห้าบ้าง สิบบ้าง

ว่าในกัปโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้ไปเกิดในกัปโน้น

แม้ในกัปนั้นเราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุข
เสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากนั้นแล้วได้มาบังเกิดในกัปนี้ 

ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนได้หลายประการ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ฉะนี้
ด้วยการได้บรรลุคุณวิเศษนี้ 

ข้าพเจ้าจึงรู้อาการที่อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด 
ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิดแต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้ 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นฐานะที่ ๒ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้ว ปรารภแล้ว 
จึงมีทิฏฐิว่าเที่ยง " ย่อมบัญญัติอัตตาและโลกว่าเที่ยง.


สรุป...  คล้ายกับแบบแรก... การบัญญติผิดเหมือนกับแบบแรก... ต่างตรงที่ระลึกชาติได้มากกว่า
           เป็น...สังวัฏฏวิวัฏฏกัป  คือ..การที่โลกเจริญขึ้น..และ..โลกเสื่อมลง..1 ครั้ง
           คือ..1 สังวัฏฏวิวัฏฏกัป ...   เอาเป็นว่า...หลายๆล้านชาติเลย...

1. พระผู้มีพระภาคกล่าวว่า....
    ในโลกนี้..มีคนที่ระลึกชาติได้เพราะการทำเจโตสมาธิ... <==การระลึกชาตินี้เป็นเรื่องจริงเห็นจริง
    เขาเห็น..เขาเองได้มีแล้วในอดีต..แล้วชาตินี้กลับมาเกิดอีก...

2. อ้าว..ก็ในเมื่อเห็นจริง..เป็นความจริง.. แล้วทิกฐินี้มันจะผิดไปได้..ด้วยเหตุผลใด..??
    มันผิดเพราะว่า... " ดันไปสรุปว่า..อัตตา..และ..โลกว่าเที่ยง..ไงเล่า..!!! "  
    ผิดยังไง? 
    ผิดเพราะว่า..... " ....โลก...และ..อัตตา..ทั้ง 2 มันไม่เที่ยง "
    อย่างไปสับสนเข้ารกเข้าพงไปนะว่า  " โลกไม่มี..อัตตาไม่มี..นะ " <--นี่ก็มิจฉาทิฏบิอีแบบหนึ่ง..
     โดยที่แท้..โลกและอัตตามี... "  แต่มีแบบ..ไม่เที่ยง "... เหมือกับ..นมสด - นมสม - เนยข้น - เนยใส...
     ที่มันมี...แต่ก็จะเปลี่ยนแลง..ไปแบบไม่เที่ยง  ดังที่ทรงกล่าวกับท่านจิตตะ..ในโปฏฐปาทสูตร

3. อีกอย่าง...ผู้ที่ระลึกชาติได้เหล่านั้น  ยังไม่สามารถระลึกไปถึงจุดที่ " โลกกำเนิด - โลกแตกดับ "..ได้
    จึงไม่รู้ว่า...โลกมีการกำเนิด..และ..แตกสลายไป  <==อันนี้กล่าวใน..ส่วนโลกทางกายภาพ
    ส่วนโลก..ในส่วนของ  โลกที่หมายถึง..อายตนะ..<==อันนี้..หมายถึง..ผู้ที่ที่ระลึกชาติได้นั้นไม่รู้ปฏิจจสมุปปาท
    เขาไม่รู้...การเกิดขึ้นของโลก...ว่า..เกิดขึ้นได้ดังนี้
     เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย......สังขารทั้งหลาย..จึงมี
     เพราะสังขารเป็นปัจจัย.......วิญญาณ..จึงมี
     เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย....นามรูป..จึงมี
     เพราะนามรูปเป็นปัจจัย.......สฬายตนะ..จึงมี
     เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย..ผัสสะ..จึงมี
     เพราะผัสสะเป็นปัจจัย........เวทนา..จึงมี
     เพราะเวทนาเป็นปัจจัย.......ตัณหา..จึงมี
     เพราะตัณหาเป็นปัจจัย.......อุปาทาน..จึงมี
     เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย....ภพ..จึงมี
     เพราะภพเป็นปัจจัย...........ชาติ..จึงมี
     เพราะชาติเป็นปัจจัย..ขรามรณะ - โสกปริเทวะ-อุปายาะ..จึงเกิดขึ้นควบถ้วน
        อันนี้...หละ  " การเกิดขึ้นของโลก..กับ...อัตตา " 
  เขาไม่รู้....การดับลงของโลก...ว่า..ดับลงได้ดังนี้
 
 
     เพราะอวิชชาดับ......สังขารทั้งหลาย..จึงดับ
     เพราะสังขารดับ.......วิญญาณ..จึงดับ
     เพราะวิญญาณดับ....นามรูป..จึงดับ
     เพราะนามรูปดับ.......สฬายตนะ..จึงดับ
     เพราะสฬายตนะดับ..ผัสสะ..จึงดับ
     เพราะผัสสะดับ........เวทนา..จึงดับ
     เพราะเวทนาดับ.......ตัณหา..จึงดับ
     เพราะตัณหาดับ.......อุปาทาน..จึงดับ
     เพราะอุปาทานดับ....ภพ..จึงดับ
     เพราะภพดับ...........ชาติ..จึงดับ
     เพราะชาติดับ..ขรามรณะ - โสกปริเทวะอุปายาะ..จึงดับลง
        อันนี้...หละ  " การดับลงของโลกกับอัตตา " 
 
4.  มันผิดอย่างไร....การที่มีความเห็นว่า 
   
   " อัตตาและโลกเที่ยง คงที่ ตั้งอยู่มั่นดุจยอดภูเขาตั้งอยู่มั่นดุจเสาระเนียด 
     ส่วนเหล่าสัตว์นั้น ย่อมแล่นไป ย่อมท่องเที่ยวไป ย่อมจุติ ย่อมเกิด...แต่สิ่งที่เที่ยงเสมอคงมีอยู่แท้  "
     มันผิดตรงที่..
          4.1  เห็นไม่ตรงตามความจริง... คือเห็นแค่ช่วนเดียว..ของสัตว์ที่ท่องไปในสังสารวัฏ..แล้วมาสรุปว่า
                 สัตว์เที่ยง(อัตตา..เพราะไปเข้าใจวา่าบางส่วนของขันธ์คืออัตตา..คือสัตว์)...บ้าง  โลกเที่ยง..บ้าง  
          4.2   ผิดที่.. ถ้ามีความเห็นว่าสัตว์อัตตาเที่ยง.. การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มีขึ้น..ดังที่ทรงกล่าวไว้
                  กับท่าน..มาลุงกยบุตร..ท่านวัจฉะ..และอีกหลายๆท่าน
                  ทำไมเล่า?   
                  เพราะว่า...ปฏิจจสมุปปาทสายนิโรธวาท..ได้แสดง..การดับลงของ..สัตว์ - อัตตา..และ..โลก
                  ดังนั้น...การเห็นว่า..สัตว์เที่ยง - อัตตาเที่ยง..และ..โลกเที่ยง... จึงเป็นการปฏิเสธหลักการในพระพุทธสาสนา..
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่