EP.10 รวมมิตรอาหารอินเดีย
https://ppantip.com/topic/41606153
.
โซฟีเพื่อนชาวเยอรมัน ป่วยนอน รพ. ด้วยไข้หวัดใหญ่ H1N1
ยูซุฟรุ่นน้องชาวเยเมน ต้องเข้า รพ. ผ่าตัด เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับท้องไส้
อัมดุลลาเพื่อนชาวเยเมนอีกคน เขาคนนี้แข็งแรงมาก อยู่ดีๆ ก็ไข้ขึ้นสูงมากปวดหัว จนต้องนอน รพ.
โมนาเพื่อนชาวซูดาน มีปัญหาเรื่องการปวดท้องจนขอหยุดเรียน 1 เดือน
แดเนียลเพื่อนชาวเกาหลี ก็มีปัญหาระบบย่อยอาหาร และปวดท้องเรื้อรังนับเดือน ตั้งแต่มาอยู่อินเดีย
มูฮัมหมัดเพื่อนรักก็ปวดหัวเจ็บคอ ผมต้องติดสอยห้อยตามไปเป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษให้ เพราะถ้าขืนปล่อยไปคนเดียว..ทั้งวันก็คุยกับหมอไม่รู้เรื่อง
.
คนรอบข้างหลายคนตอนนี้ล้วนเจ็บป่วย การเอาตัวรอดให้ไม่เจ็บป่วยเมื่อมาอยู่ในอินเดีย ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติ แม้แต่เพื่อนคนอินเดียหลายคน ก็ล้วนเป็นหวัดเจ็บป่วยกันไปตามๆ กันในช่วงเวลานี้
.
ยิ่งมองกลับมาที่ตัวเองยิ่งใจเต้นหวิวๆ เบียดเสียดขึ้นรถเมล์ทุกเช้า-เย็น กินอาหารข้างทางทุกมื้อ บางครั้งก็รู้สึกว่ากิจวัตรของตัวเอง เสี่ยงยิ่งนักที่จะเจ็บป่วย แต่ก็ยังรอดมาได้
.
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ...ตอนนี้มีอาการปวดไหล่มาเกือบเดือน น่าจะเกิดจากการนอนผิดท่าเป็นแน่แท้ รู้ดีว่าการไปหาหมอตามคลินิกหรือ รพ. ทั่วไป ไม่สามารถช่วยอะไรได้นอกจากจ่ายยา (จาก ปสก. ที่ไทย) การค่อยๆ ปรับท่านอนและหาต้นเหตุด้วยตัวเอง น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
.
.
ส่วนการเรียนภาษาอังกฤษตอนนี้ก็ยังคงค่อยๆ พัฒนากันต่อไป 2 เดือนที่ผ่านมาเห็นพัฒนาการของตัวเองมากขึ้น บางครั้งก็ดีใจเวลาคุยกับใครสักคนแล้วเขาบอกว่าคุณก็พูดภาษาอังกฤษได้นิ จะเรียนไปทำไม แต่กว่าจะพอพูดได้นั้นก็ต้องฝึกฝนทุกวันทุกเวลา
.
ผมตื่น 7 โมงเช้า เพื่อมาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ 1 ชั่วโมง ผมว่าถ้าใครจะเลือกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ผมอยากแนะนำให้เลือกจากนักเขียนที่ตัวเองชอบหรือคุ้นเคย ผมเป็นคนชอบอ่านวรรณกรรม ช่วงแรกพยายามหาวรรณกรรมเด็กมาอ่าน แต่ปรากฏว่าอ่านไม่รู้เรื่องไม่สนุกเลย
.
วันหนึ่งเดินผ่านร้านหนังสือ เห็นหนังสือเล่มหนาปึกของ ฮูรูกิ มุราคามินักเขียนในดวงใจ ถามราคาคนขายบอก 300 รูปี หรือ 150 บาทไทย (ในไทยขายเล่ม 1Q84 กันหนึ่งพันบาท) ผมตัดใจซื้อเพราะราคาถูกแม้มันจะเป็นมือสองก็ตาม ตอนแรกคิดว่าคงอ่านไม่รู้เรื่องแน่ แต่กลายเป็นว่าเราคุ้นเคยกับภาษาของนักเขียนคนนี้และอ่านได้สนุก อยากจะอ่านมันทุกวัน แม้บางคำศัพท์เราไม่รู้ แต่พอเดาได้จากรูปประโยคและความคุ้นเคยกับนักเขียนว่าจะสื่ออะไร
.
พอซัก 9 โมงครึ่งผมก็ไปถึงโรงเรียน จริงๆ ผมมีเรียนตอน 11 โมง แต่ผมจะมาช่วงเวลานี้ทุกวันเพื่อมาคุยกันเพื่อนคนอินเดียที่มาเรียนตอนเช้า (แก๊งด์ไตแลนด์ก็อยู่ด้วย) คนอินเดียเองก็อยากคุยภาษาอังกฤษ พอผมเป็นคนต่างชาติคนเดียวที่อยู่ในโรงเรียนช่วงเช้า กลายเป็นว่าหันไปทางไหนก็มีแต่คนพร้อมที่จะอยากคุยกับเรา ได้ฝึกพูดฝึกฟังทุกวันไปโดยปริยาย
.
ช่วง 11 โมงถึง 4 โมงเย็น ก็เรียนในห้องเรียนทุกวัน แต่ในห้องเรียนอย่าหวังจะได้พูดสื่อสารอะไรมากนัก เพราะมีนักเรียนตั้ง 30 คน สำหรับผมห้องเรียนมีไว้แค่เรียนรู้หลักการ แกรมม่า และฝึกเขียนเท่านั้น แต่ก็ยอมรับว่าระบบการสอนของ ELTIS โรงเรียนที่มาเรียนนั้นค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับราคา (เหมาะสำหรับคนอยากเรียนตั้งแต่พื้นฐาน Level 1)
.
ตกเย็นเลิกเรียนก็เดินทางกลับบ้าน บางวันก็นัดเจอเพื่อนคนอินเดียข้างนอก จิบชา จิบเบียร์ กินข้าว พูดคุยตามโอกาสจะอำนวย ส่วนบางวันก็ไปเล่นโยคะ จริงๆ ได้ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับร่างกายเยอะนะตอนเรียนโยคะ และได้ฝึกฟังไปในตัวด้วย
.
ตกกลางคืนถ้าวันไหนไม่ได้มีงานที่ต้องทำต้องเขียน ผมก็จะลงมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องโถง
หอพักที่อยู่เป็นหอพักนักเรียนนานาชาติ มีตั้งแต่เกาหลีใต้ เยอรมัน ฝรั่งเศส บังแกเรีย ตะวันออกกลาง หลายครั้งก็ใช้โอกาสนี้ในการได้ฝึกพูดฝึกฟังอีกหนึ่งช่วงเวลา การได้นั่งคุยกับพวกเขาทำให้รู้ว่าเรายังต้องพัฒนาอีกมาก เพราะเวลาเขาจับกลุ่มคุยกันหลายคน ยังฟังไม่ทันและโต้ตอบไม่ได้
.
ส่วนเสาร์ อาทิตย์ ก็พยายามหากิจกรรมข้างนอกทำ เป็นการได้ฝึกภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป บางวันไปพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ เทรคกิ้ง ดูหนัง กินข้าว ก็ได้ศัพท์ใหม่อยู่เรื่อยๆ
.
อินเดียไม่ได้สถานที่สมบูรณ์แบบในการมาฝึกภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวันก็ใช่ว่าทุกคนจะพูดอังกฤษได้ 50 / 50 เปอร์เซ็นต์ที่คนอินเดียจะพูดอังกฤษกับเรา
.
แต่อินเดียก็ยังเหมาะกับการมาฝึกภาษาอังกฤษอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะแค่ในเอเชีย และใช้เรื่องงบประมาณมาเป็นปัจจัย เพราะค่าครองชีพถือว่าถูกกว่าไทย (1บาท เท่ากับ 2 รูปี) ผมเตรียมเงินมา 3 แสนบาทถ้วนสำหรับ 1 ปีและสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด
.
สำหรับคนที่อยากมาเรียนภาษาอังกฤษหรือมาเรียนที่อินเดีย ระบบการเรียนที่นี่มีหลายอย่างที่ทำให้เราหงุดหงิดใจในความไม่เป็นระบบของเขา แต่มันก็ชดเชยด้วยบทเรียนหลายอย่างที่อินเดียจะมอบให้เรานอกห้องเรียน อินเดียเหมือนตลาดการศึกษาที่มีอะไรให้เราหยิบจับเรียนรู้มากมาย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าพร้อมที่จะเรียนรู้กับมันไปมากน้อยแค่ไหน บางบทเรียนก็ยาก
บางบทเรียนก็ทำให้เราจดจำไม่ลืม
บางบทเรียนก็แปลกประหลาด มีเฉพาะแค่ในดินแดนแห่งนี้ที่เดียว
อินเดียมีอะไรมากมายรอให้เราเรียนรู้ เหมือนเหตุการณ์หนึ่งที่ผมถูกชาย 2 คน กระชากคอเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา เรื่องมันมีอยู่ว่า...
.
เมื่อเช้าวันพุธนั่งรถเมล์เข้าไปย่านใจกลางเมือง เพื่อไปถ่ายรูปเทศกาล Ganesh Chaturthi Festival จึงตัดสินใจเอากล้องโอลิมปัสห้อยคอไป (ปกติพกกล้องคอมแพค)
.
เนื่องจากย่านที่จัดงานไม่มีรถเมล์ผ่านโดยตรง เลยนั่งรถเมล์ไปลงถนนอีกเส้น และค่อยๆ เดินเลาะมา ระหว่างที่เดินก็สังหรณ์ใจแล้วว่าย่านนี้เปลี่ยว และดูสภาพแวดล้อมไม่ค่อยน่าปลอดภัยนัก แต่ก็ชะล่าใจ ยังคงเดินถ่ายรูปเล่นไปตามทาง เหมือนที่เคยทำ
.
ช็อตหนึ่งกำลังจะถ่ายรูปตึก ที่มีฉากหน้าเป็นถนน อยู่ๆ ไอ 2 หนุ่มคนนี้ก็เขามาในเฟรมภาพ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายภาพพวกเขา หลังถ่ายเสร็จ 2 คนนี้ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ผมรีบเดินหนี เขาทั้ง 2 สองข้ามมาจากเกาะกลางถนนเดินตามผมมา
.
ในใจก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เป็นเรื่องปกติที่คนอินเดียชอบโวยวาย ถ้าไม่อยากต่อความยาวก็แค่เดินหนี แต่เดินไปไม่ถึง 1 นาที ก็มีมือหนึ่งมากระชากที่คอผม แม้ไม่ได้รุนแรงจนทำให้รู้สึกเจ็บ แต่การกระชากคอก็ไม่ใช่พฤติกรรมปกติที่มนุษย์เขาทำกัน
.
เขาทั้ง 2 ล้อมตัวผมไม่ให้เดินไปต่อ จุดตรงนั้นไม่มีชุมชน หรือผู้คนพลุกพล่าน เป็นเหมือนถนนเส้นลัดที่จะใช้เข้าสู่เมือง ผมฟังเขาไม่รู้เรื่อง เลยบอกว่าถ้าคุณไม่พอใจที่มีภาพคุณอยู่ในกล้องฉัน เดี๋ยวจะลบให้เดี๋ยวนี้เลย ผมหยิบกล้องขึ้นมาลบภาพให้มันเห็นกันจะๆ
.
.
ใจหนึ่งกลัว อีกใจก็โกรธ ผมเลื่อนภาพให้เขาดูและพยายามจะเดินหนี เขาทั้ง 2 ชี้ไปที่กล้อง และทำท่าแอค ผมถามว่าต้องการอะไร จนสุดท้ายก็สื่อสารกันเข้าใจว่าเขาอยากถ่ายรูป
.
"เห้ ถ้าอยากให้ถ่ายรูปก็บอกกันดีๆ ดิมากระชากคอแบบนี้ได้ไง" ผมบอก พร้อมใช้ภาษากายให้เขาเข้าใจ
.
ไอคนที่กระชากคอผม ยกมืออารมณ์ประมาณบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดในใจก็พูดง่ายนิ ไม่ได้มาโดนแบบกู ผมรีบถ่ายรูปให้เขาส่งๆ พร้อมเดินหนี มานั่งคิดดูแล้ววันนั้น โดนคนอินเดียกวนตีนเช่นนี้เยอะมาก ถ้าเทียบกับตอนที่ไม่ได้สะพายกล้อง
.
แต่ถึงอย่างไรพอเวลาผ่านไป ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเจ็บใจใดๆ มากมายกับเขาทั้ง 2 คน เพราะเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่อง การปล่อยผ่านไม่เก็บมาคิดก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างปกติสุข ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน
.
ครั้งหน้ามีอีกผมจะโทรเรียกเพื่อนผมให้มาจัดการ หึๆ
EP.12 Ganesh Chaturthi Festival 2022 Pune, India 10 วันแห่งศรัทธาพระพิฆเนศ
https://ppantip.com/topic/41629430
Yesh in India อยู่อินเดียไม่มีเหงา แต่อย่าประมาทเด็ดขาด (EP.11)
EP.10 รวมมิตรอาหารอินเดีย
https://ppantip.com/topic/41606153
.
โซฟีเพื่อนชาวเยอรมัน ป่วยนอน รพ. ด้วยไข้หวัดใหญ่ H1N1
ยูซุฟรุ่นน้องชาวเยเมน ต้องเข้า รพ. ผ่าตัด เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับท้องไส้
อัมดุลลาเพื่อนชาวเยเมนอีกคน เขาคนนี้แข็งแรงมาก อยู่ดีๆ ก็ไข้ขึ้นสูงมากปวดหัว จนต้องนอน รพ.
โมนาเพื่อนชาวซูดาน มีปัญหาเรื่องการปวดท้องจนขอหยุดเรียน 1 เดือน
แดเนียลเพื่อนชาวเกาหลี ก็มีปัญหาระบบย่อยอาหาร และปวดท้องเรื้อรังนับเดือน ตั้งแต่มาอยู่อินเดีย
มูฮัมหมัดเพื่อนรักก็ปวดหัวเจ็บคอ ผมต้องติดสอยห้อยตามไปเป็นล่ามแปลภาษาอังกฤษให้ เพราะถ้าขืนปล่อยไปคนเดียว..ทั้งวันก็คุยกับหมอไม่รู้เรื่อง
.
คนรอบข้างหลายคนตอนนี้ล้วนเจ็บป่วย การเอาตัวรอดให้ไม่เจ็บป่วยเมื่อมาอยู่ในอินเดีย ยังคงเป็นเรื่องที่ท้าทายและต้องดูแลตัวเองให้ดี ไม่ใช่แค่ชาวต่างชาติ แม้แต่เพื่อนคนอินเดียหลายคน ก็ล้วนเป็นหวัดเจ็บป่วยกันไปตามๆ กันในช่วงเวลานี้
.
ยิ่งมองกลับมาที่ตัวเองยิ่งใจเต้นหวิวๆ เบียดเสียดขึ้นรถเมล์ทุกเช้า-เย็น กินอาหารข้างทางทุกมื้อ บางครั้งก็รู้สึกว่ากิจวัตรของตัวเอง เสี่ยงยิ่งนักที่จะเจ็บป่วย แต่ก็ยังรอดมาได้
.
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหาใดๆ...ตอนนี้มีอาการปวดไหล่มาเกือบเดือน น่าจะเกิดจากการนอนผิดท่าเป็นแน่แท้ รู้ดีว่าการไปหาหมอตามคลินิกหรือ รพ. ทั่วไป ไม่สามารถช่วยอะไรได้นอกจากจ่ายยา (จาก ปสก. ที่ไทย) การค่อยๆ ปรับท่านอนและหาต้นเหตุด้วยตัวเอง น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
.
.
ส่วนการเรียนภาษาอังกฤษตอนนี้ก็ยังคงค่อยๆ พัฒนากันต่อไป 2 เดือนที่ผ่านมาเห็นพัฒนาการของตัวเองมากขึ้น บางครั้งก็ดีใจเวลาคุยกับใครสักคนแล้วเขาบอกว่าคุณก็พูดภาษาอังกฤษได้นิ จะเรียนไปทำไม แต่กว่าจะพอพูดได้นั้นก็ต้องฝึกฝนทุกวันทุกเวลา
.
ผมตื่น 7 โมงเช้า เพื่อมาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ 1 ชั่วโมง ผมว่าถ้าใครจะเลือกอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ ผมอยากแนะนำให้เลือกจากนักเขียนที่ตัวเองชอบหรือคุ้นเคย ผมเป็นคนชอบอ่านวรรณกรรม ช่วงแรกพยายามหาวรรณกรรมเด็กมาอ่าน แต่ปรากฏว่าอ่านไม่รู้เรื่องไม่สนุกเลย
.
วันหนึ่งเดินผ่านร้านหนังสือ เห็นหนังสือเล่มหนาปึกของ ฮูรูกิ มุราคามินักเขียนในดวงใจ ถามราคาคนขายบอก 300 รูปี หรือ 150 บาทไทย (ในไทยขายเล่ม 1Q84 กันหนึ่งพันบาท) ผมตัดใจซื้อเพราะราคาถูกแม้มันจะเป็นมือสองก็ตาม ตอนแรกคิดว่าคงอ่านไม่รู้เรื่องแน่ แต่กลายเป็นว่าเราคุ้นเคยกับภาษาของนักเขียนคนนี้และอ่านได้สนุก อยากจะอ่านมันทุกวัน แม้บางคำศัพท์เราไม่รู้ แต่พอเดาได้จากรูปประโยคและความคุ้นเคยกับนักเขียนว่าจะสื่ออะไร
.
พอซัก 9 โมงครึ่งผมก็ไปถึงโรงเรียน จริงๆ ผมมีเรียนตอน 11 โมง แต่ผมจะมาช่วงเวลานี้ทุกวันเพื่อมาคุยกันเพื่อนคนอินเดียที่มาเรียนตอนเช้า (แก๊งด์ไตแลนด์ก็อยู่ด้วย) คนอินเดียเองก็อยากคุยภาษาอังกฤษ พอผมเป็นคนต่างชาติคนเดียวที่อยู่ในโรงเรียนช่วงเช้า กลายเป็นว่าหันไปทางไหนก็มีแต่คนพร้อมที่จะอยากคุยกับเรา ได้ฝึกพูดฝึกฟังทุกวันไปโดยปริยาย
.
ช่วง 11 โมงถึง 4 โมงเย็น ก็เรียนในห้องเรียนทุกวัน แต่ในห้องเรียนอย่าหวังจะได้พูดสื่อสารอะไรมากนัก เพราะมีนักเรียนตั้ง 30 คน สำหรับผมห้องเรียนมีไว้แค่เรียนรู้หลักการ แกรมม่า และฝึกเขียนเท่านั้น แต่ก็ยอมรับว่าระบบการสอนของ ELTIS โรงเรียนที่มาเรียนนั้นค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับราคา (เหมาะสำหรับคนอยากเรียนตั้งแต่พื้นฐาน Level 1)
.
ตกเย็นเลิกเรียนก็เดินทางกลับบ้าน บางวันก็นัดเจอเพื่อนคนอินเดียข้างนอก จิบชา จิบเบียร์ กินข้าว พูดคุยตามโอกาสจะอำนวย ส่วนบางวันก็ไปเล่นโยคะ จริงๆ ได้ศัพท์ภาษาอังกฤษเกี่ยวกับร่างกายเยอะนะตอนเรียนโยคะ และได้ฝึกฟังไปในตัวด้วย
.
ตกกลางคืนถ้าวันไหนไม่ได้มีงานที่ต้องทำต้องเขียน ผมก็จะลงมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องโถง
หอพักที่อยู่เป็นหอพักนักเรียนนานาชาติ มีตั้งแต่เกาหลีใต้ เยอรมัน ฝรั่งเศส บังแกเรีย ตะวันออกกลาง หลายครั้งก็ใช้โอกาสนี้ในการได้ฝึกพูดฝึกฟังอีกหนึ่งช่วงเวลา การได้นั่งคุยกับพวกเขาทำให้รู้ว่าเรายังต้องพัฒนาอีกมาก เพราะเวลาเขาจับกลุ่มคุยกันหลายคน ยังฟังไม่ทันและโต้ตอบไม่ได้
.
ส่วนเสาร์ อาทิตย์ ก็พยายามหากิจกรรมข้างนอกทำ เป็นการได้ฝึกภาษาในสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป บางวันไปพิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ เทรคกิ้ง ดูหนัง กินข้าว ก็ได้ศัพท์ใหม่อยู่เรื่อยๆ
.
อินเดียไม่ได้สถานที่สมบูรณ์แบบในการมาฝึกภาษาอังกฤษ ในชีวิตประจำวันก็ใช่ว่าทุกคนจะพูดอังกฤษได้ 50 / 50 เปอร์เซ็นต์ที่คนอินเดียจะพูดอังกฤษกับเรา
.
แต่อินเดียก็ยังเหมาะกับการมาฝึกภาษาอังกฤษอยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบเฉพาะแค่ในเอเชีย และใช้เรื่องงบประมาณมาเป็นปัจจัย เพราะค่าครองชีพถือว่าถูกกว่าไทย (1บาท เท่ากับ 2 รูปี) ผมเตรียมเงินมา 3 แสนบาทถ้วนสำหรับ 1 ปีและสำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด
.
สำหรับคนที่อยากมาเรียนภาษาอังกฤษหรือมาเรียนที่อินเดีย ระบบการเรียนที่นี่มีหลายอย่างที่ทำให้เราหงุดหงิดใจในความไม่เป็นระบบของเขา แต่มันก็ชดเชยด้วยบทเรียนหลายอย่างที่อินเดียจะมอบให้เรานอกห้องเรียน อินเดียเหมือนตลาดการศึกษาที่มีอะไรให้เราหยิบจับเรียนรู้มากมาย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเราว่าพร้อมที่จะเรียนรู้กับมันไปมากน้อยแค่ไหน บางบทเรียนก็ยาก
บางบทเรียนก็ทำให้เราจดจำไม่ลืม
บางบทเรียนก็แปลกประหลาด มีเฉพาะแค่ในดินแดนแห่งนี้ที่เดียว
อินเดียมีอะไรมากมายรอให้เราเรียนรู้ เหมือนเหตุการณ์หนึ่งที่ผมถูกชาย 2 คน กระชากคอเมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมา เรื่องมันมีอยู่ว่า...
.
เมื่อเช้าวันพุธนั่งรถเมล์เข้าไปย่านใจกลางเมือง เพื่อไปถ่ายรูปเทศกาล Ganesh Chaturthi Festival จึงตัดสินใจเอากล้องโอลิมปัสห้อยคอไป (ปกติพกกล้องคอมแพค)
.
เนื่องจากย่านที่จัดงานไม่มีรถเมล์ผ่านโดยตรง เลยนั่งรถเมล์ไปลงถนนอีกเส้น และค่อยๆ เดินเลาะมา ระหว่างที่เดินก็สังหรณ์ใจแล้วว่าย่านนี้เปลี่ยว และดูสภาพแวดล้อมไม่ค่อยน่าปลอดภัยนัก แต่ก็ชะล่าใจ ยังคงเดินถ่ายรูปเล่นไปตามทาง เหมือนที่เคยทำ
.
ช็อตหนึ่งกำลังจะถ่ายรูปตึก ที่มีฉากหน้าเป็นถนน อยู่ๆ ไอ 2 หนุ่มคนนี้ก็เขามาในเฟรมภาพ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะไม่ได้ตั้งใจจะถ่ายภาพพวกเขา หลังถ่ายเสร็จ 2 คนนี้ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย ผมรีบเดินหนี เขาทั้ง 2 สองข้ามมาจากเกาะกลางถนนเดินตามผมมา
.
ในใจก็คิดว่าไม่มีอะไรแล้ว เป็นเรื่องปกติที่คนอินเดียชอบโวยวาย ถ้าไม่อยากต่อความยาวก็แค่เดินหนี แต่เดินไปไม่ถึง 1 นาที ก็มีมือหนึ่งมากระชากที่คอผม แม้ไม่ได้รุนแรงจนทำให้รู้สึกเจ็บ แต่การกระชากคอก็ไม่ใช่พฤติกรรมปกติที่มนุษย์เขาทำกัน
.
เขาทั้ง 2 ล้อมตัวผมไม่ให้เดินไปต่อ จุดตรงนั้นไม่มีชุมชน หรือผู้คนพลุกพล่าน เป็นเหมือนถนนเส้นลัดที่จะใช้เข้าสู่เมือง ผมฟังเขาไม่รู้เรื่อง เลยบอกว่าถ้าคุณไม่พอใจที่มีภาพคุณอยู่ในกล้องฉัน เดี๋ยวจะลบให้เดี๋ยวนี้เลย ผมหยิบกล้องขึ้นมาลบภาพให้มันเห็นกันจะๆ
.
.
ใจหนึ่งกลัว อีกใจก็โกรธ ผมเลื่อนภาพให้เขาดูและพยายามจะเดินหนี เขาทั้ง 2 ชี้ไปที่กล้อง และทำท่าแอค ผมถามว่าต้องการอะไร จนสุดท้ายก็สื่อสารกันเข้าใจว่าเขาอยากถ่ายรูป
.
"เห้ ถ้าอยากให้ถ่ายรูปก็บอกกันดีๆ ดิมากระชากคอแบบนี้ได้ไง" ผมบอก พร้อมใช้ภาษากายให้เขาเข้าใจ
.
ไอคนที่กระชากคอผม ยกมืออารมณ์ประมาณบอกว่า ไม่ได้ตั้งใจ ผมคิดในใจก็พูดง่ายนิ ไม่ได้มาโดนแบบกู ผมรีบถ่ายรูปให้เขาส่งๆ พร้อมเดินหนี มานั่งคิดดูแล้ววันนั้น โดนคนอินเดียกวนตีนเช่นนี้เยอะมาก ถ้าเทียบกับตอนที่ไม่ได้สะพายกล้อง
.
แต่ถึงอย่างไรพอเวลาผ่านไป ก็ไม่ได้รู้สึกโกรธหรือเจ็บใจใดๆ มากมายกับเขาทั้ง 2 คน เพราะเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะหาเรื่อง การปล่อยผ่านไม่เก็บมาคิดก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างปกติสุข ในขณะเดียวกันเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้ระมัดระวังมากขึ้นเช่นกัน
.
ครั้งหน้ามีอีกผมจะโทรเรียกเพื่อนผมให้มาจัดการ หึๆ
EP.12 Ganesh Chaturthi Festival 2022 Pune, India 10 วันแห่งศรัทธาพระพิฆเนศ
https://ppantip.com/topic/41629430