เริ่องที่จะเล่าอยากให้เป็นเรื่องเตือนใจทุกคน ให้เก็บเงินไว้ใช้ยามเจ็บป่วย ถึงแม้รัฐจะมีบัตรทอง บัตรประกันสังคม รักษาฟรีให้คุณ
แต่การบริการมันจะแตกต่างราวฟ้ากับเหว ถ้าเทียบกับคุณไปรพ.เอกชน ที่เจ้าหน้าที่ คุณหมอ คุณพยาบาล คุณผู้ช่วยทั้งหลาย แทบจะอุ้มคุณขึ้นเตียงไปรักษา
เหตุเกิดจากคุณแม่ดิฉัน มีสิทธิ์ใช้บัตรทองนี้เช่นกัน ก่อนหน้านั้นเคยเข้ารับการรักษารพ.รัฐแถวสะพานพระนั่งเกล้า
ตอนนั้นรักษาโรคต้อเนื้อ โดยการลอกต้อเนื้อไปหนึ่งข้าง โดยคุณหมอผู้หญิงท่านหนึ่ง เสียดายไม่ได้จำชื่อไว้ แต่คุณหมอรักษาและให้บริการดีมาก
เวลาผ่านไป 5 ปี ตาข้างที่ยังไม่ได้ลอก มันพร่ามัวมาก แม่รู้สึกว่าเริ่มมองไม่ชัด และตาบวม จนตาแทบปิด จึงให้ดิฉันขับรถพาไปรพ.ที่เคยรักษาครั้งแรก
แต่คราวนี้ไปวันพฤหัส เราออกจากบ้านกันตั้งแต่ตีก่อนตีห้า เพื่อจะได้ไปรับบัตรคิวคนแรกๆ
เราได้คิวลำดับที่1 รอคุณหมอมาตรวจตอนเก้าโมง แม่เล่าอาการให้คุณหมอฟังว่า ปวดตา ตามัว มองไม่ชัด และถามคุณหมอว่าจะต้องลอกตาหรือไม่
คุณหมอตอบว่า ป้าจะรีบลอกไปทำไม ตา มันอยู่ได้อีกเป็นปีๆ
จากนั้น ก็ให้ยามาหยอดตา1 ขวด โดยให้ดิฉันไปรับยา
ครู่เดียวแม่ก็ตามมา ดิฉันถามแม่ว่าเสร็จแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง แม่บอกว่าเสร็จแล้ว เราก็กลับบ้านกันเลย (ซึ่งพลาดตรงต้องรอรับบัตรนัดจากคุณหมออีกครั้ง)
วันอาทิตย์แม่เริ่มมีอาการหนักขึ้น ตาปิด ปวดหัว อาเจียรหนัก เราจึงไปหาหมออีกครั้ง ในวันจันทร์
ซึ่งพบคุณหมออีกท่าน ก็เล่าอาการทุกอย่างให้คุณหมอฟัง คุณหมอบอกว่าให้รอวันพฤหัส เพราะประวัติคนไข้อยู่ที่คุณหมอท่านนั้น
และคุณหมอก็ให้ยาพารามาทานแก้ปวด 1 แผงใหญ่ เรารู้สึกซาบซึ้งใจมาก จึงพากับกลับ
ดิฉันถามแม่ว่า เราไปรักษากันที่รพ.เอกชนมั้ย อย่างนนทเวช ไม่ไกล แพงหน่อย ถ้าเค้ารักษาดีมันก็คุ้ม แต่พ่อบอกว่า ให้รอวันพฤหัสอีกที
บางทีคุณหมอ เค้าอาจจะลอก หรือรักษาให้ ถ้าไปรพ.เอกชน ถ้านอนคืนละเป็นหมื่น ดิฉันก็บอกพ่อว่า ตังค์ก็มี รักษาไปเหอะ เก็บเงินไว้รักษาตัวตอนแก่ไม่ใช่เหรอ
ไม่ต้องเก็บเงินไว้ให้พวกเราหรอก(ดิฉันกับน้อง)
พ่อบอกว่า ไม่เอา รอหมอวันพฤหัส จบกัน. ฉันแพ้
พอถึงวันนัด แม่ต้องเข้าตรวจในขั้นตอนเดิม วัดสายตา อ่านตัวเลข ตอนนี้ตาปิดสนิทไปข้างหนึ่งแล้ว
ฉันพาแม่เดินเข้าห้องขยายม่านตา เพื่ออ่านตัวเลข ก่อนเข้าห้อง มีป้ายแปะไว้ ให้ปิดโทร. หรือปิดเสียง ฉันรอหน้าห้อง
มีหลายคนไปกับญาติ เพราะขั้นตอนการขยายม่านตา จะต้องหยอดยา และอยู่นิ่งๆ สายตาจะสู้แสงไม่ได้ ถ้าเดินก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
ระหว่างนี้มีเสียงโทร.ดังขึ้น ได้ยินว่า แม่อยู่กับพ่อแก่ในห้องตรวจ รอข้างนอกแหละ
ถ้าจะคุยไปคุยข่างนอก บอกแล้าให้ปิดโทร. มีเสียงตวาดดังราว 100เดซิเบล มาจากชายร่างอ้วน สวมชุดซาฟารีสีเทา
ชายเสื้อเปียกคราบน้ำ เหมือนเช็ดมือกับชายเสื้อ น่าจะเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
ห้องตรวจอีกฝากสำหรับอ่านสายตา เจ้าหน้าส่งเสียงดุๆ ว่า คุณป้าคะ อ่านแถวบนค่ะ
อ่านแถวบน ได้ยินไหม แถวบนที่ตัวหนังสือมันตัวโตๆน่ะ อ่านแถวล่างทำไม
คุณป้าอ่านตามมือนะคะ มือชี้ที่ไหนคะ อ่านค่ะ อ่านเรื่อยๆ เสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน
ดิฉันชะเง้อไปหมอในห้อง ใช่แม่เราไหม โดนดุแบบนี้ แต่ไม่ใช่ค่ะ
สุดท้ายคุณป้าพูดขึ้นเบาๆ ว่า ดุจัง ดุจังเลย นิดหน่อยไม่ได้เลยนะ
ดิฉันแอบขำ แต่ไม่กล้ามองหน้าเจ้าหน้าที่
มีเสียงโทร.ดังขึ้นอีกครั้ง ไปเลย อยากโทร ไปโทรข้างนอก เบื่อไอ้พูดไม่รู้เรื่อง ชายอ้วนคนเดิม แผดเสียงมาอีกระลอก
ดิฉันเดินออกมารอนอกห้อง เสียงเจ้าหน้าทีเรียกชื่อแม่ เข้าพบคุณหมอ ดิฉันชะโงกไปมองในห้อง ที่ไม่ได้ปิดประตู คนที่ตรวจแม่อยู่ ก็คือชายอ้วนที่แผดเสียงตะกี้
จากนั้นคุณหมอ ให้ไปรับยา เราได้ยามาเพิมอีก 2 ขวด กับยาที่เป็นครีมชนิดป้าย และนัดมาดูผลอีกวันพฤหัสหน้า
ดิฉันบอกแม่ว่า ไม่มาแล้านะ รพ.นี้ บอกพ่อว่ากลับบ้านไปก่อนก็ได้ แล้วก็นั่งแท็กซี่ไปรพ. พ่อก็ตามไปด้วย
เราไปรพ.หู ตา คอ จมูก ทำบัตรคนไข้ใหม่ และได้พบ คุณหมอใน 10 นาทีต่อมา คุณหมอส่องกล้องดูแล้วบอกว่า เป็นแผลที่กระจกตา
คุณหมอก่อนหน้านี้รักษายังไง ได้ตรวจละเอียดหรือเปล่า
ดิฉันก็เล่าทั้งหมดไป
จากนั้น คุณหมอ ก็ให้ไปพบคุณหมออีกท่าน ที่เชี่ยวชาญด้านกระจกตากว่า
คุณหมอท่านนี้ ให้เราดูที่กล้อง แล้วบอกว่า เห็นไหม มันเป็นสีขาวขุ่นๆที่ตรงกลางตา แต่มันแปลกมาก มันออกเขียวๆ
หมอว่า มันน่าจะเป็นเชื้อ ไวรัส เดี๋ยวหมอให้ยาต้านไวรัสไปทานด้วย
นัดอีกทีวันเสาร์ อาทิตย์ ไม่เอาดีกว่าพรุ่งนี้เลย หมอกลัวว่ามันจะช้าไป ตกลงนัดพรุ่งนี้ช่วงบ่ายถึงห้าโมงเย็นนะ คุณหมอหยอดยา
และสอนวิธี ใช้ยา ยาหยอด ยาป้าย และน้ำตาเทียม
เราได้รับยาทานอีก4 อย่าง ยาแก้อักเสบ แก้ปวด ยาต้านไวรัส ค่ายาค่ารักษาไม่แพงนัก
วันต่อมา คุณแม่ได้รับการตรวจจากคุณหมอท่านเดิมอีกครั้ง คุณหมอบอกว่า แผลที่กระจกตา เล็กลงแล้ว และนัดให้ไปตรวจอีกครั้งวันจันทร์นี้
เลยอยากจะบอกกับทุกคนว่า หากพ่อ แม่ เจ็บป่วย ควรต้องใส่ใจท่านมากๆ รีบพาไปหาหมอ
ถ้าปล่อยไว้นานไม่ได้รับการรักษาที่ดี ก็อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
การออมเงินส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล ยามเจ็บป่วยเป็นสิ่งจำเป็น
จริงอยู่ ตอนนี้เราทำงานได้ มีประกันสัคม เราอาจเลือก รพ.ดีๆได้
แต่ถ้าวันหนึ่ง เราไม่ได้ทำงาน แก่ชราลงไป
ไม่มีเงินในส่วนนี้ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ใครจะดูแล..... ถ้าเราไม่มีเงิน .....ไม่มีครอบครัวที่ดี....
อย่าลืมเก็บเงินไว้สำลองฉุกเฉิน กรณีเจ็บป่วยตอนแก่กันนะ
แต่การบริการมันจะแตกต่างราวฟ้ากับเหว ถ้าเทียบกับคุณไปรพ.เอกชน ที่เจ้าหน้าที่ คุณหมอ คุณพยาบาล คุณผู้ช่วยทั้งหลาย แทบจะอุ้มคุณขึ้นเตียงไปรักษา
เหตุเกิดจากคุณแม่ดิฉัน มีสิทธิ์ใช้บัตรทองนี้เช่นกัน ก่อนหน้านั้นเคยเข้ารับการรักษารพ.รัฐแถวสะพานพระนั่งเกล้า
ตอนนั้นรักษาโรคต้อเนื้อ โดยการลอกต้อเนื้อไปหนึ่งข้าง โดยคุณหมอผู้หญิงท่านหนึ่ง เสียดายไม่ได้จำชื่อไว้ แต่คุณหมอรักษาและให้บริการดีมาก
เวลาผ่านไป 5 ปี ตาข้างที่ยังไม่ได้ลอก มันพร่ามัวมาก แม่รู้สึกว่าเริ่มมองไม่ชัด และตาบวม จนตาแทบปิด จึงให้ดิฉันขับรถพาไปรพ.ที่เคยรักษาครั้งแรก
แต่คราวนี้ไปวันพฤหัส เราออกจากบ้านกันตั้งแต่ตีก่อนตีห้า เพื่อจะได้ไปรับบัตรคิวคนแรกๆ
เราได้คิวลำดับที่1 รอคุณหมอมาตรวจตอนเก้าโมง แม่เล่าอาการให้คุณหมอฟังว่า ปวดตา ตามัว มองไม่ชัด และถามคุณหมอว่าจะต้องลอกตาหรือไม่
คุณหมอตอบว่า ป้าจะรีบลอกไปทำไม ตา มันอยู่ได้อีกเป็นปีๆ
จากนั้น ก็ให้ยามาหยอดตา1 ขวด โดยให้ดิฉันไปรับยา
ครู่เดียวแม่ก็ตามมา ดิฉันถามแม่ว่าเสร็จแล้วเหรอ ทำไมเร็วจัง แม่บอกว่าเสร็จแล้ว เราก็กลับบ้านกันเลย (ซึ่งพลาดตรงต้องรอรับบัตรนัดจากคุณหมออีกครั้ง)
วันอาทิตย์แม่เริ่มมีอาการหนักขึ้น ตาปิด ปวดหัว อาเจียรหนัก เราจึงไปหาหมออีกครั้ง ในวันจันทร์
ซึ่งพบคุณหมออีกท่าน ก็เล่าอาการทุกอย่างให้คุณหมอฟัง คุณหมอบอกว่าให้รอวันพฤหัส เพราะประวัติคนไข้อยู่ที่คุณหมอท่านนั้น
และคุณหมอก็ให้ยาพารามาทานแก้ปวด 1 แผงใหญ่ เรารู้สึกซาบซึ้งใจมาก จึงพากับกลับ
ดิฉันถามแม่ว่า เราไปรักษากันที่รพ.เอกชนมั้ย อย่างนนทเวช ไม่ไกล แพงหน่อย ถ้าเค้ารักษาดีมันก็คุ้ม แต่พ่อบอกว่า ให้รอวันพฤหัสอีกที
บางทีคุณหมอ เค้าอาจจะลอก หรือรักษาให้ ถ้าไปรพ.เอกชน ถ้านอนคืนละเป็นหมื่น ดิฉันก็บอกพ่อว่า ตังค์ก็มี รักษาไปเหอะ เก็บเงินไว้รักษาตัวตอนแก่ไม่ใช่เหรอ
ไม่ต้องเก็บเงินไว้ให้พวกเราหรอก(ดิฉันกับน้อง)
พ่อบอกว่า ไม่เอา รอหมอวันพฤหัส จบกัน. ฉันแพ้
พอถึงวันนัด แม่ต้องเข้าตรวจในขั้นตอนเดิม วัดสายตา อ่านตัวเลข ตอนนี้ตาปิดสนิทไปข้างหนึ่งแล้ว
ฉันพาแม่เดินเข้าห้องขยายม่านตา เพื่ออ่านตัวเลข ก่อนเข้าห้อง มีป้ายแปะไว้ ให้ปิดโทร. หรือปิดเสียง ฉันรอหน้าห้อง
มีหลายคนไปกับญาติ เพราะขั้นตอนการขยายม่านตา จะต้องหยอดยา และอยู่นิ่งๆ สายตาจะสู้แสงไม่ได้ ถ้าเดินก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้
ระหว่างนี้มีเสียงโทร.ดังขึ้น ได้ยินว่า แม่อยู่กับพ่อแก่ในห้องตรวจ รอข้างนอกแหละ
ถ้าจะคุยไปคุยข่างนอก บอกแล้าให้ปิดโทร. มีเสียงตวาดดังราว 100เดซิเบล มาจากชายร่างอ้วน สวมชุดซาฟารีสีเทา
ชายเสื้อเปียกคราบน้ำ เหมือนเช็ดมือกับชายเสื้อ น่าจะเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ
ห้องตรวจอีกฝากสำหรับอ่านสายตา เจ้าหน้าส่งเสียงดุๆ ว่า คุณป้าคะ อ่านแถวบนค่ะ
อ่านแถวบน ได้ยินไหม แถวบนที่ตัวหนังสือมันตัวโตๆน่ะ อ่านแถวล่างทำไม
คุณป้าอ่านตามมือนะคะ มือชี้ที่ไหนคะ อ่านค่ะ อ่านเรื่อยๆ เสียงเข้มขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน
ดิฉันชะเง้อไปหมอในห้อง ใช่แม่เราไหม โดนดุแบบนี้ แต่ไม่ใช่ค่ะ
สุดท้ายคุณป้าพูดขึ้นเบาๆ ว่า ดุจัง ดุจังเลย นิดหน่อยไม่ได้เลยนะ
ดิฉันแอบขำ แต่ไม่กล้ามองหน้าเจ้าหน้าที่
มีเสียงโทร.ดังขึ้นอีกครั้ง ไปเลย อยากโทร ไปโทรข้างนอก เบื่อไอ้พูดไม่รู้เรื่อง ชายอ้วนคนเดิม แผดเสียงมาอีกระลอก
ดิฉันเดินออกมารอนอกห้อง เสียงเจ้าหน้าทีเรียกชื่อแม่ เข้าพบคุณหมอ ดิฉันชะโงกไปมองในห้อง ที่ไม่ได้ปิดประตู คนที่ตรวจแม่อยู่ ก็คือชายอ้วนที่แผดเสียงตะกี้
จากนั้นคุณหมอ ให้ไปรับยา เราได้ยามาเพิมอีก 2 ขวด กับยาที่เป็นครีมชนิดป้าย และนัดมาดูผลอีกวันพฤหัสหน้า
ดิฉันบอกแม่ว่า ไม่มาแล้านะ รพ.นี้ บอกพ่อว่ากลับบ้านไปก่อนก็ได้ แล้วก็นั่งแท็กซี่ไปรพ. พ่อก็ตามไปด้วย
เราไปรพ.หู ตา คอ จมูก ทำบัตรคนไข้ใหม่ และได้พบ คุณหมอใน 10 นาทีต่อมา คุณหมอส่องกล้องดูแล้วบอกว่า เป็นแผลที่กระจกตา
คุณหมอก่อนหน้านี้รักษายังไง ได้ตรวจละเอียดหรือเปล่า
ดิฉันก็เล่าทั้งหมดไป
จากนั้น คุณหมอ ก็ให้ไปพบคุณหมออีกท่าน ที่เชี่ยวชาญด้านกระจกตากว่า
คุณหมอท่านนี้ ให้เราดูที่กล้อง แล้วบอกว่า เห็นไหม มันเป็นสีขาวขุ่นๆที่ตรงกลางตา แต่มันแปลกมาก มันออกเขียวๆ
หมอว่า มันน่าจะเป็นเชื้อ ไวรัส เดี๋ยวหมอให้ยาต้านไวรัสไปทานด้วย
นัดอีกทีวันเสาร์ อาทิตย์ ไม่เอาดีกว่าพรุ่งนี้เลย หมอกลัวว่ามันจะช้าไป ตกลงนัดพรุ่งนี้ช่วงบ่ายถึงห้าโมงเย็นนะ คุณหมอหยอดยา
และสอนวิธี ใช้ยา ยาหยอด ยาป้าย และน้ำตาเทียม
เราได้รับยาทานอีก4 อย่าง ยาแก้อักเสบ แก้ปวด ยาต้านไวรัส ค่ายาค่ารักษาไม่แพงนัก
วันต่อมา คุณแม่ได้รับการตรวจจากคุณหมอท่านเดิมอีกครั้ง คุณหมอบอกว่า แผลที่กระจกตา เล็กลงแล้ว และนัดให้ไปตรวจอีกครั้งวันจันทร์นี้
เลยอยากจะบอกกับทุกคนว่า หากพ่อ แม่ เจ็บป่วย ควรต้องใส่ใจท่านมากๆ รีบพาไปหาหมอ
ถ้าปล่อยไว้นานไม่ได้รับการรักษาที่ดี ก็อาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต
การออมเงินส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล ยามเจ็บป่วยเป็นสิ่งจำเป็น
จริงอยู่ ตอนนี้เราทำงานได้ มีประกันสัคม เราอาจเลือก รพ.ดีๆได้
แต่ถ้าวันหนึ่ง เราไม่ได้ทำงาน แก่ชราลงไป
ไม่มีเงินในส่วนนี้ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ใครจะดูแล..... ถ้าเราไม่มีเงิน .....ไม่มีครอบครัวที่ดี....