" สัตว์ "ตอนที่ 30 :สัตว์ท่องไปมา..ในสังสารวัฏมานานมาก.. จนสัตว์ที่ไม่เคยเกิดเป็น " บุตรสาว "..นั้นไม่ง่ายเลย

กระทู้สนทนา


๙. ธีตุสูตร
             
[๔๕๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 

[..อนมตคฺโคยํ   ภิกฺขเว   สํสาโร  ปุพฺพา   โกฏิ  น  ปญฺญายติ  
อวิชฺชานีวรณานํ  สตฺตานํ  ตณฺหาสญฺโญชนานํ  สนฺธาวตํ   สํสรตํ    ฯ ]
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ 
เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ 
ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ 

[..น   โส   ภิกฺขเว  สตฺโต  สุลภรูโป  โย น ธีตา ภูตปุพฺโพ ..]
สัตว์ที่ไม่เคยเป็นธิดาโดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย 

ข้อนั้นเพราะเหตุไร

เพราะว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ เมื่อเหล่าสัตว์ผู้มีอวิชชาเป็นที่กางกั้น 
มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ ท่องเที่ยวไปมาอยู่ ที่สุดเบื้องต้นย่อมไม่ปรากฏ 

ภิกษุทั้งหลายพวกเธอได้เสวยทุกข์ ความเผ็ดร้อน ความพินาศ ได้เพิ่มพูนปฐพีที่เป็นป่าช้าตลอดกาลนาน 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุเพียงเท่านี้ พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่าย
ในสังขารทั้งปวง พอเพื่อจะคลายกำหนัด พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
จบสูตรที่ ๙



สรุป..
1. สิ่งที่เวียนว่ายในสังสารวัฏ.. สี่งนั้น..พระศาสดทรงเรียกว่า " สัตว์ - สตฺต - สตฺตา - สตฺโต "..
    นี่จากข้อความบาลีที่ว่า  " อวิชฺชานีวรณานํ  สตฺตานํ  ตณฺหาสญฺโญชนานํ  สนฺธาวตํ   สํสรตํ     "

2. พระองค์กล่าวว่า.. เพราะเหตุที่สังสารวัฏ..มันมีนานมาก..จนไม่สามารถหาเบื้องต้น..และ..เบื้องปลายได้
    ดังนั้น... สัตว์ผู้ยึดติด(ในอุปาทานขันธ์5)..ผู้ซึ่งไมเคยได้การเกิดเป็นบุตรสาว..นั้น  หายากมาก
    ทุกๆคน..เคยได้การเกิดเป็นบุตรสาวมาแล้วกันทุกๆคน.. 

3.  เราจึงคิดพิจารณาต่อไปได้..ว่า...
      แม้นปัจจุบันจะได้การเกิดอย่างไร  ในอดีตล้วนได้เป็นบุตรสาวมาแล้ว...
     เพราะว่า...ในอดีต..และ..ปัจจุบัน..เราก็คือ " สัตว์ตัวเดียวกัน - ตัวเดิม " 

4.  เมื่อเกิดชาติ...สัตว์ไม่ได้เกิด แต่...สัตว์ได้การเกิด...สิ่งที่เกิดชาติ..คือ..ขันธ์5เท่านั้น
     เมื่อตายมรณะ...สัตว์ไม่ได้ตาย..มรณะ แต่...สัตว์ได้การตาย..ได้มรณะ...สิ่งที่ตายมรณะ..คือ..ขันธ์5เท่านั้น
     ดังพุทธพจน์ที่ว่า..
     "  ทุกฺขเมว    อุปฺปชฺชมานํ   อุปฺปชฺชติ   ทุกฺขํ   นิรุชฺฌมานํ  นิรุชฺฌตีติ   น   กงฺขติ   น   วิจิกิจฺฉติ   ฯ   "
แปลว่า..   
     "  ทุกข์นั่นหละ..เมื่ออุบัติขึ้น..ก็อุบัติขึ้นมา   ทุกข์..เมื่อดับ..ก็ดับไป  <---(อริยสาวก)ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัย.. "
         ตรงนี้..พระองค์หมายถึง..กฏอิทัปปัจจยตา : หัวใจปฏิจจสมุปบาท..
         ที่ว่า "
         ทุกข์เกิด --->  อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ  --- เมื่อสิ่งนี้ มี สิ่งนี้ ย่อมมี
                               อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ --- เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
         ทุกข์ดับ --->   อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ  ---  เมื่อสิ่งนี้ ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี
                               อิมสฺส นิโรธา อิทํ นัรุชฺฌติ ---เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป  "
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่