https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=5000&Z=5111
๔. มาตุสูตร
[๔๕๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า
[..อนมตคฺโคยํ ภิกฺขเว สํสาโร ปุพฺพา โกฏิ น ปญฺญายติ
อวิชฺชานีวรณานํ
สตฺตานํ ตณฺหาสญฺโญชนานํ
สนฺธาวตํ สํสรตํ ฯ ]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
[..น โส ภิกฺขเว
สตฺโต สุลภรูโป โย น มาตา ภูตปุพฺโพ ..]
สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า
สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
สรุป..
1. สิ่งที่เวียนว่ายในสังสารวัฏ.. สี่งนั้น..พระศาสดทรงเรียกว่า "
สัตว์ - สตฺต - สตฺตา - สตฺโต "..
นี่จากข้อความบาลีที่ว่า "
อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสญฺโญชนานํ สนฺธาวตํ สํสรตํ "
2. พระองค์กล่าวว่า.. เพราะเหตุที่สังสารวัฏ..มันมีนานมาก..จนไม่สามารถหาเบื้องต้น..และ..เบื้องปลายได้
ดังนั้น... สัตว์ผู้ยึดติด(ในอุปาทานขันธ์5)..ผู้ซึ่งไมเคยได้การเกิดเป็นมารดา..นั้น ไม่มีเลย
ทุกๆคน..เคยได้การเกิดเป็นมารดามาแล้วกันทุกๆคน..
3.
เราจึงคิดพิจารณาต่อไปได้..ว่า...
แม้นปัจจุบันจะได้การเกิดเป็นผู้ชายก็ตาม ในอดีตล้วนได้เป็นมารดามาแล้ว...
เพราะว่า...ในอดีต..และ..ปัจจุบัน..เราก็คือ "
สัตว์ตัวเดียวกัน - ตัวเดิม "
4. เมื่อเกิดชาติ...สัตว์ไม่ได้เกิด แต่...สัตว์ได้การเกิด...สิ่งที่เกิดชาติ..คือ..ขันธ์5เท่านั้น
เมื่อตายมรณะ...สัตว์ไม่ได้ตาย..มรณะ แต่...สัตว์ได้การตาย..ได้มรณะ...สิ่งที่ตายมรณะ..คือ..ขันธ์5เท่านั้น
ดังพุทธพจน์ที่ว่า..
"
ทุกฺขเมว อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชติ ทุกฺขํ นิรุชฺฌมานํ นิรุชฺฌตีติ น กงฺขติ น วิจิกิจฺฉติ ฯ "
แปลว่า..
"
ทุกข์นั่นหละ..เมื่ออุบัติขึ้น..ก็อุบัติขึ้นมา ทุกข์นั่นหละ..เมื่อดับ..ก็ดับไป <---(อริยสาวก)ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัย.. "
" สัตว์ "ตอนที่ 25 :สัตว์ท่องไปมา..ในสังสารวัฏมานานมาก.. จนสัตว์ที่ไม่เคยเกิดเป็น " แม่ "..นั้นไม่มี
https://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=16&A=5000&Z=5111
๔. มาตุสูตร
[๔๕๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า
[..อนมตคฺโคยํ ภิกฺขเว สํสาโร ปุพฺพา โกฏิ น ปญฺญายติ
อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสญฺโญชนานํ สนฺธาวตํ สํสรตํ ฯ ]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
[..น โส ภิกฺขเว สตฺโต สุลภรูโป โย น มาตา ภูตปุพฺโพ ..]
สัตว์ที่ไม่เคยเป็นมารดา โดยกาลนานนี้ มิใช่หาได้ง่ายเลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า สงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ
พอเพื่อจะหลุดพ้น ดังนี้ ฯ
สรุป..
1. สิ่งที่เวียนว่ายในสังสารวัฏ.. สี่งนั้น..พระศาสดทรงเรียกว่า " สัตว์ - สตฺต - สตฺตา - สตฺโต "..
นี่จากข้อความบาลีที่ว่า " อวิชฺชานีวรณานํ สตฺตานํ ตณฺหาสญฺโญชนานํ สนฺธาวตํ สํสรตํ "
2. พระองค์กล่าวว่า.. เพราะเหตุที่สังสารวัฏ..มันมีนานมาก..จนไม่สามารถหาเบื้องต้น..และ..เบื้องปลายได้
ดังนั้น... สัตว์ผู้ยึดติด(ในอุปาทานขันธ์5)..ผู้ซึ่งไมเคยได้การเกิดเป็นมารดา..นั้น ไม่มีเลย
ทุกๆคน..เคยได้การเกิดเป็นมารดามาแล้วกันทุกๆคน..
3. เราจึงคิดพิจารณาต่อไปได้..ว่า...
แม้นปัจจุบันจะได้การเกิดเป็นผู้ชายก็ตาม ในอดีตล้วนได้เป็นมารดามาแล้ว...
เพราะว่า...ในอดีต..และ..ปัจจุบัน..เราก็คือ " สัตว์ตัวเดียวกัน - ตัวเดิม "
4. เมื่อเกิดชาติ...สัตว์ไม่ได้เกิด แต่...สัตว์ได้การเกิด...สิ่งที่เกิดชาติ..คือ..ขันธ์5เท่านั้น
เมื่อตายมรณะ...สัตว์ไม่ได้ตาย..มรณะ แต่...สัตว์ได้การตาย..ได้มรณะ...สิ่งที่ตายมรณะ..คือ..ขันธ์5เท่านั้น
ดังพุทธพจน์ที่ว่า..
" ทุกฺขเมว อุปฺปชฺชมานํ อุปฺปชฺชติ ทุกฺขํ นิรุชฺฌมานํ นิรุชฺฌตีติ น กงฺขติ น วิจิกิจฺฉติ ฯ "
แปลว่า..
" ทุกข์นั่นหละ..เมื่ออุบัติขึ้น..ก็อุบัติขึ้นมา ทุกข์นั่นหละ..เมื่อดับ..ก็ดับไป <---(อริยสาวก)ย่อมไม่เคลือบแคลงสงสัย.. "