สำหรับกระทู้นี้ ถ้าใครถามว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน สามารถช่วยบำรุงผิวได้จริงมั้ย?
คำตอบ คือ ช่วยบำรุงผิวได้จริง ค่ะ
ขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้จะไม่มีการเอ่ยถึงแบรนด์ใดๆเลยนะคะ และถ้ามีคอมเม้นต์ไหนมาเชียร์หรือเอ่ยชื่อถึงแบรนด์ไหนก็ตามให้ทุกคนกลับขึ้นมาไล่ดูเช็คลิสต์จากด้านบนนี้ได้ว่ามีครบตามที่แจ้งไว้มั้ย หรือถ้าไม่ครบมีข้อไหนที่ขาดแต่พอรับได้อันนี้ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของผู้บริโภคเลยค่ะ
เช็คลิสต์ที่นำมาให้อิงจากข้อมูลจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนที่มีอยู่ในอเมริกา และจากการศึกษาเรื่องการทานผลิตภัณ์เสริมอาหารคอลลาเจนนะคะ
ก่อนไปดูเช็คลิสต์ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจใหม่ หรือใครก็ตามที่บอกว่าคอลลาเจนกินเข้าไปถูกดึมซึมไปใช้ไม่ได้ หรือคอลลาเจนสามารถหาทานได้จากอาหารที่เป็นโปรตีน เพราะคอลลาเจนก็คือโปรตีนที่ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ต้องบอกว่านั่นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องแล้ว แต่ ใครที่คิดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนที่ขายที่กินกันมันคือคอลลาเจนทั้งดุ้นก็ต้องทำความเข้าใจซะใหม่ เนื่องจากที่เรากินกันมันไม่ได้อยู่ในสภาพของคอลลาเจนที่สมบูรณ์แต่อย่างใด มันถูกย่อยมาแล้วทั้งนั้น
คอลลาเจนที่เรากินกันเป็นอาหารเสริมถูก Hydrolyzed ถูกย่อยจนเป็นโครงสร้างที่เล็กลง แต่จะเล็กลงแค่ไหนก็แล้วแต่กรรมวิธีและเทคโนโลยีในการทำขึ้นมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบในการผลิตด้วย
บางคนเข้าใจว่า คอลลาเจนก็คือโปรตีน โปรตีนก็มีอยู่ในอาหาร เพราะฉะนั้นจะกินคอลลาเจนที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำไม
ต้องบอกก่อนว่า จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ คอลลาเจนที่เป็นอาหาร ถูกย่อยไปเป็น เส้นเปปไทด์ และย่อยเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึม กว่าจะย่อยได้เป็นกรดอะมิโนในขั้นตอนสุดท้ายบางทีอาจจะไม่เพียงพอต่อการนำเอาไปสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
และคอลลาเจนที่อยู่ตามร่างกาย ต่างมีความจำเพาะชนิดของกรดอะมิโนที่แตกต่างกันไปอีก เช่น กรดอะมิโนที่ผิวหนังและกระดูก จะมีสัดส่วนต่างจาก กรดอะมิโนที่ข้อต่อ หรือเอ็น และมีกรดอะมิโนชนิด Hydroxyproline ที่ไม่สามารถหาได้ จากอาหารใดเลย ต้องได้จากโปรตีนคอลลาเจน หรือร่างกายต้องเป็นคนสร้างเองขึ้นมา ในขณะเดียวกัน อายุมากขึ้น กับมลภาวะภายนอก เป็นปัจจัยให้เราสร้างคอลลาเจนได้ลดลง การฟื้นฟูคอลลาเจนที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ไม่เต็มที่ 100% ด้วยปัจจัยปัจจุบันไม่เอื้อให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้ดีเหมือนเดิมเพียงแค่กินอาหารให้ ครบ 5 หมู่ การกินคอลลาเจนเสริมจึงมีความสำคัญกับคนที่มีอายุมากกว่า 25 ปี ขึ้นไป
เช็คลิสต์เลือกคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย
1. เช็คความต้องการของตัวเองว่าอยากทานคอลลาเจนเพื่ออะไร เช่น เพื่อบำรุงผิว บำรุงกระดูก หรือ บำรุงเอ็น บำรุงข้อต่อ (เพื่อบำรุงผิวและกระดูกต้องคอลลาเจนชนิดที่ 1 นะ บำรุงเอ็นข้อต่อ ต้องคอลลาเจนชนิดที่2 ) ถ้าไม่ทราบข้อมูลตรงนี้ถามผู้ขายหรือปรึกษาเภสัชกรได้
2. เลือกคอลลาเจนโมเลกุลขนาดเล็ก ที่ดูดซึมได้รวดเร็ว เช่น คอลลาเจนไดเปปไทด์ โมเลกุลเล็ก ดูดซึมได้ไว มากกว่าคอลลาเจนเปปไทด์ และ ไตรเปปไทด์ บางแบรนด์จะเขียนหน้ากล่องแค่ว่า Hydrolyzed Collagen เป็นชื่อวิธีการผลิตให้คอลลาเจนมีขนาดเล็กลง ต้องถามอีกนะว่าเป็นคอลลาเจนแบบไหน ไดเปปไทด์หรือไตรเปปไทด์ (แต่ก็แอบบงง การตลาดแบบนี้ว่าทำไมไม่เขียนบอกไปเลยว่าเป็นไดหรือไตร ทำไมต้องเขียน Hydrolyzed Collagen เพราะเป็นชื่อวิธีการผลิตนะ ไม่ใช่ชื่อชนิดคอลลาเจน เป็นเทคนิคการตลาดที่เอาไว้ใช้)
3. เช็คแหล่งที่มาของคอลลาเจนว่าทำมาจากอะไร เช่น คอลลาเจนทำจากปลาน้ำจืด หรือปลาทะเล ทำจากส่วนเกล็ดหรือหนัง ข้อมูลส่วนนี้ทำให้เราทราบเพื่อป้องกันการแพ้อาหารจากทะเลได้ หรือบางคนที่เป็นสายวีแกนอาจต้องมองหาคอลลาเจนที่ทำจากพืช ซึ่งมีขายนะในท้องตลาด
4. เช็คปริมาณคอลลาเจน กินอาหารเสริมคอลลาเจนต้องได้คอลลาเจนจริงๆ เพื่อความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูงสุดในการทานคอลลาเจน จากหลายการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ต้องทานคอลลาเจนวันละ 5,000-10,000 mg เพื่อให้ร่างกายเพียงพอนำไปสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้ บางแบรนด์ต่อซองหรือต่อสคูปไม่ถึง 5,000 mg ต่อการกิน 1 ครั้ง เราก็ต้องกิน double หรือกินให้ถึงโดสนะ กลับกันบางแบรนด์ที่ให้คอลลาเจนมาน้อยๆ ราคาถูกบางคนอยากประหยัดก็เลยเลือกซื้อ แต่พอจะกินให้ถึงโดสเผลอๆอาจมีราคาที่แพงกว่าต่อการกิน1ครั้ง สรุปแล้วให้เลือกดูปริมาณคอลลาเจนที่ต้องทานต่อวัน เทียบกับราคาของคอลลาเจนด้วย
5. เช็คข้อมูลโภชนาการ เช่น น้ำตาล และไขมัน เพราะการทานคอลลาเจนต้องทานอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน แนะนำเลือกคอลลาเจนที่ไม่ผสมน้ำตาลและไขมัน 0% จะดีมาก ระวัง!! อ้วนไม่รู้ตัว
6. เลือกแบรนด์ที่มีการตรวจหาและบอกปริมาณกรดอะมิโนในคอลลาเจนไว้ข้างกล่อง อันนี้สำคัญมาก เพราะคอลลาเจนในอเมริกา มีการแจ้งแล้ว แต่บ้านเรา อย. ยังไม่ได้บังคับ เพื่อให้มั่นใจว่าคอลลาเจนที่ทานเข้าไป มีส่วนผสมของกรดอะมิโนที่ร่างกายจะนำเอาไปใช้ในการสร้างคอลลาเจนได้จริง แสดงถึงความโปร่งใสและความใส่ใจต่อผู้บริโภคของแบรนด์นั้นๆด้วย
7. ถ้าแบรนด์ไหน ระบุเรื่องการล็อคโมเลกุลก็จะดีมากนะ เช่น มีการล็อคโมเลกุล Pro-Hyp เพราะเป็นตัวไดเปปไทด์ ที่วิ่งไปที่ผิวได้เลย การที่บอกว่าเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่ดูดซึมได้ดีที่สุดก็จริง แต่ถ้าไม่มีการล็อคโมเลกุลตัวนี้ก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
8. เช็คดูส่วนผสมอื่นๆ เช่นพวกวิตามิน ที่ใส่มาในสูตรด้วย อย่าหลงเชื่อสูตรที่ใส่มา 10 20 ตัว เพราะแต่ละตัวที่ใส่มาอาจจะใส่มาแค่จิ้ดเดียว อันนี้ก็ดูยากมาก เพราะผู้บริโภคต้องมาคอยนั่งเช็คว่าตัวไหน ต้องได้กี่ mg เช่น Ceramide ที่ใส่เพื่อผิวชุ่มชื้นแข็งแรง บางแบรนด์ใส่ 20 mg บางแบรนด์ ใส่ 10 mg บางแบรนด์ใส่ 40-80 mg(จริงๆต้องใส่ 40-80mg ตามเปเปอร์) เราเองแทบไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง เหมือนกับพาราหรือวิตามินซีนที่มีรหลายโดส 60,80 250,500, 1,000 mg
เอาเป็นว่า ลองถามเภสัช หรืออ่านข้อมูลสารสกัดตัวอื่นๆเพิ่มใน google ดู
นี่แหละ 8 เช็คลิสต์ที่เราตั้งใจสรุปมาให้จากการอ่านเปเปอร์ ถ้าแบรนด์ไหนเข้าข่าย 8 ข้อนี้ เลือกกินได้โดยไม่ต้องสนใจคำโฆษณาหรือดาราพรีเซนเตอร์เลย เพราะเราเชื่อว่าแบรนด์ไหนก็ตามที่มีครบ นั่นเป็นการแสดงความโปร่งใสและซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ
จบการรีวิว จ้า
สรุปเช็คสิสต์ วิธีการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจน ไม่ให้ตกเป็นทาสการตลาด
คำตอบ คือ ช่วยบำรุงผิวได้จริง ค่ะ
ขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้จะไม่มีการเอ่ยถึงแบรนด์ใดๆเลยนะคะ และถ้ามีคอมเม้นต์ไหนมาเชียร์หรือเอ่ยชื่อถึงแบรนด์ไหนก็ตามให้ทุกคนกลับขึ้นมาไล่ดูเช็คลิสต์จากด้านบนนี้ได้ว่ามีครบตามที่แจ้งไว้มั้ย หรือถ้าไม่ครบมีข้อไหนที่ขาดแต่พอรับได้อันนี้ก็ขึ้นกับวิจารณญาณของผู้บริโภคเลยค่ะ
เช็คลิสต์ที่นำมาให้อิงจากข้อมูลจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนที่มีอยู่ในอเมริกา และจากการศึกษาเรื่องการทานผลิตภัณ์เสริมอาหารคอลลาเจนนะคะ
ก่อนไปดูเช็คลิสต์ขอให้ทุกคนทำความเข้าใจใหม่ หรือใครก็ตามที่บอกว่าคอลลาเจนกินเข้าไปถูกดึมซึมไปใช้ไม่ได้ หรือคอลลาเจนสามารถหาทานได้จากอาหารที่เป็นโปรตีน เพราะคอลลาเจนก็คือโปรตีนที่ถูกย่อยเป็นกรดอะมิโน ต้องบอกว่านั่นเป็นคำกล่าวที่ถูกต้องแล้ว แต่ ใครที่คิดว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนที่ขายที่กินกันมันคือคอลลาเจนทั้งดุ้นก็ต้องทำความเข้าใจซะใหม่ เนื่องจากที่เรากินกันมันไม่ได้อยู่ในสภาพของคอลลาเจนที่สมบูรณ์แต่อย่างใด มันถูกย่อยมาแล้วทั้งนั้น
คอลลาเจนที่เรากินกันเป็นอาหารเสริมถูก Hydrolyzed ถูกย่อยจนเป็นโครงสร้างที่เล็กลง แต่จะเล็กลงแค่ไหนก็แล้วแต่กรรมวิธีและเทคโนโลยีในการทำขึ้นมา นอกจากนี้ยังรวมไปถึงแหล่งที่มาของวัตถุดิบในการผลิตด้วย
บางคนเข้าใจว่า คอลลาเจนก็คือโปรตีน โปรตีนก็มีอยู่ในอาหาร เพราะฉะนั้นจะกินคอลลาเจนที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารทำไม
ต้องบอกก่อนว่า จากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ คอลลาเจนที่เป็นอาหาร ถูกย่อยไปเป็น เส้นเปปไทด์ และย่อยเป็นกรดอะมิโนเพื่อดูดซึม กว่าจะย่อยได้เป็นกรดอะมิโนในขั้นตอนสุดท้ายบางทีอาจจะไม่เพียงพอต่อการนำเอาไปสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
และคอลลาเจนที่อยู่ตามร่างกาย ต่างมีความจำเพาะชนิดของกรดอะมิโนที่แตกต่างกันไปอีก เช่น กรดอะมิโนที่ผิวหนังและกระดูก จะมีสัดส่วนต่างจาก กรดอะมิโนที่ข้อต่อ หรือเอ็น และมีกรดอะมิโนชนิด Hydroxyproline ที่ไม่สามารถหาได้ จากอาหารใดเลย ต้องได้จากโปรตีนคอลลาเจน หรือร่างกายต้องเป็นคนสร้างเองขึ้นมา ในขณะเดียวกัน อายุมากขึ้น กับมลภาวะภายนอก เป็นปัจจัยให้เราสร้างคอลลาเจนได้ลดลง การฟื้นฟูคอลลาเจนที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ไม่เต็มที่ 100% ด้วยปัจจัยปัจจุบันไม่เอื้อให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนได้ดีเหมือนเดิมเพียงแค่กินอาหารให้ ครบ 5 หมู่ การกินคอลลาเจนเสริมจึงมีความสำคัญกับคนที่มีอายุมากกว่า 25 ปี ขึ้นไป
เช็คลิสต์เลือกคอลลาเจนอย่างไรให้ได้ผลและปลอดภัย
1. เช็คความต้องการของตัวเองว่าอยากทานคอลลาเจนเพื่ออะไร เช่น เพื่อบำรุงผิว บำรุงกระดูก หรือ บำรุงเอ็น บำรุงข้อต่อ (เพื่อบำรุงผิวและกระดูกต้องคอลลาเจนชนิดที่ 1 นะ บำรุงเอ็นข้อต่อ ต้องคอลลาเจนชนิดที่2 ) ถ้าไม่ทราบข้อมูลตรงนี้ถามผู้ขายหรือปรึกษาเภสัชกรได้
2. เลือกคอลลาเจนโมเลกุลขนาดเล็ก ที่ดูดซึมได้รวดเร็ว เช่น คอลลาเจนไดเปปไทด์ โมเลกุลเล็ก ดูดซึมได้ไว มากกว่าคอลลาเจนเปปไทด์ และ ไตรเปปไทด์ บางแบรนด์จะเขียนหน้ากล่องแค่ว่า Hydrolyzed Collagen เป็นชื่อวิธีการผลิตให้คอลลาเจนมีขนาดเล็กลง ต้องถามอีกนะว่าเป็นคอลลาเจนแบบไหน ไดเปปไทด์หรือไตรเปปไทด์ (แต่ก็แอบบงง การตลาดแบบนี้ว่าทำไมไม่เขียนบอกไปเลยว่าเป็นไดหรือไตร ทำไมต้องเขียน Hydrolyzed Collagen เพราะเป็นชื่อวิธีการผลิตนะ ไม่ใช่ชื่อชนิดคอลลาเจน เป็นเทคนิคการตลาดที่เอาไว้ใช้)
3. เช็คแหล่งที่มาของคอลลาเจนว่าทำมาจากอะไร เช่น คอลลาเจนทำจากปลาน้ำจืด หรือปลาทะเล ทำจากส่วนเกล็ดหรือหนัง ข้อมูลส่วนนี้ทำให้เราทราบเพื่อป้องกันการแพ้อาหารจากทะเลได้ หรือบางคนที่เป็นสายวีแกนอาจต้องมองหาคอลลาเจนที่ทำจากพืช ซึ่งมีขายนะในท้องตลาด
4. เช็คปริมาณคอลลาเจน กินอาหารเสริมคอลลาเจนต้องได้คอลลาเจนจริงๆ เพื่อความคุ้มค่าและประสิทธิภาพสูงสุดในการทานคอลลาเจน จากหลายการศึกษาที่น่าเชื่อถือ ต้องทานคอลลาเจนวันละ 5,000-10,000 mg เพื่อให้ร่างกายเพียงพอนำไปสร้างคอลลาเจนในร่างกายได้ บางแบรนด์ต่อซองหรือต่อสคูปไม่ถึง 5,000 mg ต่อการกิน 1 ครั้ง เราก็ต้องกิน double หรือกินให้ถึงโดสนะ กลับกันบางแบรนด์ที่ให้คอลลาเจนมาน้อยๆ ราคาถูกบางคนอยากประหยัดก็เลยเลือกซื้อ แต่พอจะกินให้ถึงโดสเผลอๆอาจมีราคาที่แพงกว่าต่อการกิน1ครั้ง สรุปแล้วให้เลือกดูปริมาณคอลลาเจนที่ต้องทานต่อวัน เทียบกับราคาของคอลลาเจนด้วย
5. เช็คข้อมูลโภชนาการ เช่น น้ำตาล และไขมัน เพราะการทานคอลลาเจนต้องทานอย่างต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน แนะนำเลือกคอลลาเจนที่ไม่ผสมน้ำตาลและไขมัน 0% จะดีมาก ระวัง!! อ้วนไม่รู้ตัว
6. เลือกแบรนด์ที่มีการตรวจหาและบอกปริมาณกรดอะมิโนในคอลลาเจนไว้ข้างกล่อง อันนี้สำคัญมาก เพราะคอลลาเจนในอเมริกา มีการแจ้งแล้ว แต่บ้านเรา อย. ยังไม่ได้บังคับ เพื่อให้มั่นใจว่าคอลลาเจนที่ทานเข้าไป มีส่วนผสมของกรดอะมิโนที่ร่างกายจะนำเอาไปใช้ในการสร้างคอลลาเจนได้จริง แสดงถึงความโปร่งใสและความใส่ใจต่อผู้บริโภคของแบรนด์นั้นๆด้วย
7. ถ้าแบรนด์ไหน ระบุเรื่องการล็อคโมเลกุลก็จะดีมากนะ เช่น มีการล็อคโมเลกุล Pro-Hyp เพราะเป็นตัวไดเปปไทด์ ที่วิ่งไปที่ผิวได้เลย การที่บอกว่าเป็นคอลลาเจนไดเปปไทด์ที่ดูดซึมได้ดีที่สุดก็จริง แต่ถ้าไม่มีการล็อคโมเลกุลตัวนี้ก็ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่
8. เช็คดูส่วนผสมอื่นๆ เช่นพวกวิตามิน ที่ใส่มาในสูตรด้วย อย่าหลงเชื่อสูตรที่ใส่มา 10 20 ตัว เพราะแต่ละตัวที่ใส่มาอาจจะใส่มาแค่จิ้ดเดียว อันนี้ก็ดูยากมาก เพราะผู้บริโภคต้องมาคอยนั่งเช็คว่าตัวไหน ต้องได้กี่ mg เช่น Ceramide ที่ใส่เพื่อผิวชุ่มชื้นแข็งแรง บางแบรนด์ใส่ 20 mg บางแบรนด์ ใส่ 10 mg บางแบรนด์ใส่ 40-80 mg(จริงๆต้องใส่ 40-80mg ตามเปเปอร์) เราเองแทบไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง เหมือนกับพาราหรือวิตามินซีนที่มีรหลายโดส 60,80 250,500, 1,000 mg
เอาเป็นว่า ลองถามเภสัช หรืออ่านข้อมูลสารสกัดตัวอื่นๆเพิ่มใน google ดู
นี่แหละ 8 เช็คลิสต์ที่เราตั้งใจสรุปมาให้จากการอ่านเปเปอร์ ถ้าแบรนด์ไหนเข้าข่าย 8 ข้อนี้ เลือกกินได้โดยไม่ต้องสนใจคำโฆษณาหรือดาราพรีเซนเตอร์เลย เพราะเราเชื่อว่าแบรนด์ไหนก็ตามที่มีครบ นั่นเป็นการแสดงความโปร่งใสและซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคอย่างเราๆ
จบการรีวิว จ้า