JJNY : 5in1 จวกรัฐไทยสมคบคิดเมียนมา│ทัพบกปลูกป่า│เงินบาทอ่อนค่าหนัก│ดัชนี KR-ECI มิ.ย.ต่ำ│คนไทยแห่เติมน้ำมันปั๊มมาเลเซีย

‘กลุ่ม 24 มิ.ย.-เครือข่ายคนรุ่นใหม่ฯ’ จวก รัฐไทย สมคบคิดเมียนมาเข่นฆ่าฝ่ายต่อต้าน [เผล่ะจัง] 
https://www.matichon.co.th/politics/news_3440899
  
  
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ที่รัฐสภา กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยและเครือข่ายคนรุ่นใหม่นนทบุรี ยื่นหนังสือ ขอให้ตรวจสอบรัฐไทยสมคบรัฐเมียนมาละเมิดอธิปไตยไทยใช้เครื่องบินรบถล่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงและตรวจสอบการยินยอมให้กองทหารเมียนมาใช้ภาคพื้นดินเขตแดนไทยโจมตีรัฐกะเหรี่ยง ผ่านนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล (ก.ก.)
 
โดย น.ส.อาทิตยา พรพรหม สมาชิกกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย กล่าวว่า จากกรณีวันที่ 30 มิถุนายน เวลา 11.16 น. เครื่องบินรบเมียนมา MIG-29 รุกล้ำเข้ามาในน่านฟ้าไทย ซึ่งเป็นพื้นที่สู้รบในฝั่งรัฐกะเหรี่ยงของเมียนมา โดยบินผ่านเพื่ออ้อมไปยิงถล่มใส่ฝ่ายที่ต่อต้านในฝั่งเมียนมา ทำให้ชาวบ้านในบริเวณนั้นเกิดความแตกตื่นจนต้องเข้าไปหลบในหลุมหลบภัย ทั้งนี้โรงเรียนในบริเวณต้องหยุดการสอนทันที เพราะนักเรียนต้องไปหลบในหลุมหลบภัย ผู้ปกครองต้องมารับนักเรียนกลับบ้าน รวมถึงมีกระสุนยิงไปยังรถยนต์ชาวบ้านคนไทยเสียหาย
 
นอกจากนี้ยังมีผู้อพยพลี้ภัยสงครามเข้ามาถึง 576 คน และมีผู้หนีภัยคนบาดเจ็บอีกจำนวนมากมายที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลในเขตแดนไทย ภายหลัง วันที่ 1 กรกฎาคม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวว่า เขาต้องตีวงเลี้ยวจึงล้ำเข้ามาในเขตประเทศไทยเล็กน้อย ย้ำว่าไม่ใช่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต คำกล่าวเช่นนี้ เป็นการยินยอมให้รัฐ [เผล่ะจัง] เมียนมา ใช้ดินแดนไทยไปทำสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวกะเหรี่ยง ดังนั้นการยินยอมให้เมียนมารุกล้ำในไทยไม่เพียงแต่เป็นการทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดน ยังเป็นการสมคบคิดทำลายล้างชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นอาชญากรสงคราม
 
นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข สมาชิกกลุ่ม 24 มิถุนาฯ กล่าวว่า ก่อนหน้าการส่งเครื่องบินรบลุกล้ำเข้ามาน่านฟ้าไทย ในวันที่ 29 มิถุนายน พล.ท.อภิเชษฐ์ ซื่อสัตย์ แม่ทัพภาค 3 เดินทางไปกรุงเนปิดอว์ เมืองหลวงของเมียนมา เพื่อร่วมการประชุมคณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา จึงมีข้อสงสัยได้ว่า จะเป็นการสมรู้ร่วมคิดยินยอมให้เมียนใช้ดินแดนไทยต่อปฏิบัติการโจมตีทางอากาศแบบทำลายล้างในครั้งนี้หรือไม่ กลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตยจึงขอเรียกร้องต่อสมาชิกผู้แทนราษฎรดำเนินดังต่อไปนี้
 
1. ตรวจสอบการใช้งบประมาณกองทัพอากาศประจำปี 2566 เพราะเป็นการใช้งบประมาณที่สูงไปกับความหย่อนยานการปกป้องอธิปไตยดังกรณีเครื่องบินรบพม่ารุกล้ำไทย 
 
2. ตรวจสอบการสมรู้ร่วมคิดระหว่างรัฐไทยกับรัฐเมียนมาใช้เครื่องบินรบเข้ามาดินแดนไทยไปยิงถล่มกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงแบบทำลายล้างทั้งในด้านที่เป็นการสูญเสียอธิปไตยเหนือดินแดน
 
นายสมยศ กล่าวต่อว่า 
 
3. ตรวจสอบการยินยอมให้ทหารเมียนมาจำนวน 100 นายพร้อมอาวุธเข้ามาดินแดนไทยเข้าไปโจมตีเมือง Sone Se Myaing เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ตามเอกสารและแผนที่ที่ได้แนบมา 
 
4. ตรวจสอบความเสียหายทั้งที่เกิดกับชาวกะเหรี่ยงที่อพยพหนีภัยสงครามเข้ามาและชาวบ้านในพื้นที่ และให้มีการเยียวยาหรือชำระความเสียหายที่เกิดขึ้น
 
5. การที่พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทูตทหารเองก็ได้พูดคุยกันแล้ว เขาก็ขอโทษมา แล้วก็คุยกันแล้ว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็น [เผล่ะจัง] ทหารที่ไม่มีความรับผิดชอบทางสังคม ปราศจากศักดิ์ศรีของประเทศไทย ดังนั้น พล.อ.อาวุโส มิน ออง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้นำรัฐประหารเมียนมา ต้องกล่าวขอโทษและยืนยันเป็นทางการว่าจะไม่สมรู้ร่วมคิดกับทางการรัฐไทยในการใช้ดินแดนไทยเป็นฐานปฏิบัติการทางการทหารในการเข่นฆ่าประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์หรือประชาชนที่ต่อต้าน [เผล่ะจัง] ทหาร
 
ขณะที่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า วันนี้ (7 กรกฎาคม) จะมีการประชุมคณะกรรมธิการ (กมธ.) การต่างประเทศเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยได้เชิญกองทัพอากาศ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กระทรวงการต่างประเทศ และผู้ว่าราชการจังหวัดตาก มาเข้าร่วมการประชุมด้วย เรื่องนี้ตนถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะจะส่งผลกระทบอย่างชัดเจนต่อความมั่นใจของประชาชนที่จะอยู่อย่างปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าว สำหรับพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทยที่ติดกับเมียนมา ตนเชื่อว่ามีคนในพื้นที่ไม่ว่าชายแดนไทยหรือชายแดนเมียนมานั้นเป็นญาติกัน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมา ก็ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยเช่นกัน



กองทัพบกปลูกป่าทางอากาศ เพจอนุรักษ์บอกเป็นการรบกวนธรรมชาติ
https://www.ch7.com/amp/581204
 
(7 ก.ค.65) เพจเฟซบุ๊ก กองทัพบก Royal Thai Army โพสต์ภาพการปฏิบัติงาน ของหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 36 ร่วมกับ ชุดปฏิบัติการบินทหารบก หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 7  ในโครงการ ปลูกป่าทดแทนทางอากาศ
 
ในภาพได้แสดงให้เห็นถึงขั้นตอนการเตรียมเมล็ดพันธุ์ลูกหว้า โดยการใช้ดินเหนียวปั้นเป็นลูกกลม ๆ จำนวน 2,000 เมล็ด  จากนั้น จะนำขึ้น เฮลิคอปเตอร์ แล้วโปรบเมล็ดพันธุ์ลงในพื้นที่ป่าต้นน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติสาละวิน อ.แม่สะเรียงจ.แม่ฮ่องสอน โดยแสวงประโยชน์จากภารกิจบินส่งสิ่งอุปกรณ์ตามวงรอบประจำเดือน

หลังจากมีการเผยแพร่ภาพการปฏิบัติงานดังกล่าว ชาวเน็ตต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นและแชร์ไปจำนวนมาก เนื่องจาก ไม่เคยเห็นวิธีปลูกป่าในรูปแบบดังกล่าว จะสามารถทำได้จริงเหรอ ?

สำหรับการโปรยเมล็ดพันธุ์พืชทางอากาศ อาจได้ผลเพียงร้อยละ 30 -40 แต่เป็นทางเลือกในการฟื้นฟูสภาพป่าในพื้นที่เข้าถึงยาก
 
นอกจากนี้ทางเพจขยะมรสุม ยังได้แชร์โพสต์นี้ และแสดงความคิดเห็นว่า สิ่งที่ทำ ไม่ใช่การอนุรักษ์ แถมยังรบกวนธรรมชาติอีก หากเมล็ดที๋โปรยลงไปรอด ก็จะไปทดแทนที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้ทำให้ธรรมชาติดีขึ้น แต่ทำให้ธรรมชาติเสื่อมโทรม ที่แย่คือ โปรยในป่าที่สมบูรณ์
 
https://www.facebook.com/armyprcenter/posts/pfbid02otk4n1SBxUtr36cW92DqMLvcLJkg5aV1bfornfPkEcQkm27wCZAc1NDEK1t8xDZhl

https://www.facebook.com/MONSOONGARBAGE/posts/pfbid0vwdKU24ZCgu1xtpsH8TFNHRGS9yvvkD9fxpfiojULE2nt8EJtKXsaupp4dkF6xAbl
 


เงินบาทอ่อนค่าหนักในรอบ 7 ปี กังวลเศรษฐกิจจะถดถอย กดเงินบาทดิ่งต่อ
https://ch3plus.com/news/economy/ruangden/299886

เงินบาทเปิดตลาดวันนี้ ที่ระดับ 36.31 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าที่มากที่สุดในรอบเกือบ 7 ปี นับจากวันที่ 7 ก.ค.59 และยังอ่อนค่าที่สุดในภูมิภาค 2.64% โดยเป็นแรงกดดันจากการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของดอลล่าร์สหรัฐ ซึ่งพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดระดับใหม่ในรอบ 20 ปี และหากตลาดยังคงกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอย โดยเฉพาะในฝั่งยุโรป อาจเป็นปัจจัยหนุนให้นักลงทุนเข้าถือเงินดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าต่อได้อีก แต่จุดกลับตัวของดอลล่าร์ อาจเกิดขึ้นช่วงการประชุมเฟดปลายเดือนนี้ หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรง ค่าเงินบาทยังถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยไทยที่ยังอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 0.50% ซึ่งทำให้เกิดกระแสเงินไหลออกไปยังประเทศที่ดอกเบี้ยสูงกว่าอย่างเช่นสหรัฐ
 
ขณะที่วันนี้เยาวราชคึกคัก ประชาชนไปต่อคิวซื้อทองกันแน่นร้าน หลังราคาทองโลกร่วงแรง ฉุดทองในประเทศ 2 วันปรับลดลง 600 บาท ตามราคาทองโลก ที่ราคาปรับลงแรง ทำจุดต่ำสุดในรอบ 9 เดือนครึ่ง จากแรงกดดันเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า ทำสถิติสูงสุดในรอบ 20 ปี
 
รับชมทางยูทูปที่ : https://youtu.be/6StyRB7j0EA

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
 

 
กังวลค่าครองชีพพุ่ง ฉุดดัชนี KR-ECI เดือน มิ.ย. ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
https://www.prachachat.net/finance/news-975287

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) เดือน มิ.ย.2565 ขยับลงต่อเนื่องอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เหตุครัวเรือนกังวลระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้น หลังเงินเฟ้อพีกสุดรอบ 14 ปี
 
วันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนไทย (KR-ECI) ในระดับปัจจุบัน (มิ.ย.2565) ขยับลงต่อเนื่องอยู่ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 30.8 และ 32.9 แม้การจ้างงานและรายได้มีทิศทางที่ดีขึ้น แต่สถานการณ์ราคาสินค้าที่สูงขึ้นยังคงกดดันให้ดัชนีปรับลดลงต่อเนื่อง
 
ทั้งนี้ ดัชนีภาวะเศรษฐกิจและการครองชีพของครัวเรือนในเดือน มิ.ย.2565 ปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยดัชนี KR-ECI ปัจจุบันและ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 30.8 และ 32.9 จาก 31.2 และ 34.0 ในเดือน พ.ค.2565
 
แม้ว่าครัวเรือนจะมีมุมมองที่ดีขึ้นต่อภาวะรายได้และการจ้างงาน หลังภาครัฐมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 เพิ่มเติม ทั้งในส่วนของการเริ่มเปิดสถานบันเทิงในจังหวัดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยวและพื้นที่เฝ้าระวัง รวมถึงลดเงื่อนไข Thailand Pass เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้ง่ายขึ้น
 
อย่างไรก็ตาม ความกังวลเกี่ยวกับระดับราคาสินค้าที่สูงขึ้นสะท้อนจากระดับเงินเฟ้อในเดือนมิ.ย.2565 ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 14 ปี ยังคงกดดันดัชนีให้ลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
 
โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้สำรวจเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็นเรื่องระดับรายได้และการจ้างงานพบว่ามีครัวเรือนกว่า 41% ที่รายได้และการจ้างงานเริ่มกลับมาสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 แล้ว ขณะที่อีกกว่า 35% มีรายได้ลดลงจากเดิมเนื่องจากยังมีชั่วโมงการทำงานที่ลดลง
 
นอกจากนี้ ได้มีการสอบถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายว่าท่ามกลางระดับราคาสินค้าและพลังงานที่ปรับเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในหมวดใดที่ปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด ซึ่งผลสำรวจระบุว่าครัวเรือนมีค่าใช้จ่ายในหมวด พลังงาน สาธารณูปโภค และบริการพื้นฐานในชีวิตประจำวันปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด (73%) บ่งชี้ว่าในภาพรวมกำลังซื้อของภาคครัวเรือนยังไม่สามารถกลับมาได้เต็มที่ ในขณะที่ค่าใช้จ่ายจำเป็นมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น
    
ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าภาวะการครองชีพของครัวเรือนยังมีแนวโน้มเปราะบาง แม้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานจะเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น หลังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดในหลายด้าน แต่ระดับราคาสินค้าจำเป็นและบริการพื้นฐานที่ยังมีแนวโน้มสูงขึ้น เช่น ราคาแก๊สหุงต้มที่ทยอยปรับขึ้นราคาหรือการปรับขึ้นค่าโดยสารรถสาธารณะต่าง ๆ จะยังส่งผลให้ครัวเรือนมีความกังวลต่อค่าครองชีพและกดดันกำลังซื้อต่อเนื่อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่